“Red Lotus Lake” หรือ ทุ่งดอกบัวแดง จังหวัดอุดรธานี
ชื่อนี้คุ้นหูนักท่องเที่ยวมาในระยะหลังๆ
โดยเฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์ หรือวันวาเลนไทน์ สถานที่แห่งนี้ถือว่าเป็นสถานที่ยอดฮิต
ที่มีการจัดงาน ไม่แพ้วิวาห์ใต้ทะเลกันเลยครับ
แต่ความงดงามและมนต์ขลังของอุดรธานี หาได้มีแต่ทะเลบัวแดงไม่
เตรียมเก็บกระเป๋า จองตั๋วรถ ตั๋วเครื่องบิน ตั๋วเรือ แล้วตามผมมาเที่ยว
“อุดรธานี จังหวัดนี้ไม่ได้มีดีแค่…ทุ่งดอกบัวแดง”
คำขวัญประจำจังหวัดอุดรธานี
“หนองประจักษ์คู่เมือง ลือเลื่องแหล่งธรรมะ อารยธรรมบ้านเชียงมรดกโลกห้าพันปี
ธานีผ้าหมี่ขิด ธรรมชาติเนรมิตทะเลบัวแดง”
ตามคำขวัญจังหวัด ออกจากที่รับกระเป๋าในสนามบินมา
จะเห็นไหบ้านเชียงใบใหญ่ประดับที่สนามบินเพื่อบอกถึงสัญลักษณ์ประจำจังหวัดเลยก็ว่าได้
การเดินทางครั้งนี้ผมเลือกไฟลท์บินตรงจาก กทม. แล้วเช่ารถจากสนามบินขับเที่ยวเอง
มาถึงไฟลท์เช้าก็ต้องหาอาหารประจำพื้นเมืองทานกันก่อน เติมพลังก่อนไปต่อ
ผ่านมาเจอร้านนี้เคยได้ยินชื่อและมีคนเคยรีวิวไว้ ก็รีบตรงดิ่งเข้าไปทันที ร้านเอมโอช
เซ็ทอาหารเช้า
ไข่กระทะ มีไข่ 2 ฟอง บวกด้วยขนมปัง น้ำส้มคั้น 1 แก้ว และเพิ่มโอวัลตินเย็น อีก 1 ที่ ราคา 83 บาท
ทานอาหารเช้าเสร็จ ที่แรกที่เดินทางไปเที่ยว คือ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว หนองคาย
เอ้ย!!! โผล่มาได้ไง ก็ระยะทางไม่ไกลกันนี่นา แค่ประมาณ 50 กม.
จากตัวเมืองอุดรก็ถึงสะพานมิตรภาพแห่งนี้แล้วครับ
แต่!!! ผมไม่ได้ถ่ายรูปมานะครับ ฮ่าๆๆๆ ลมเย็นๆ เดินเล่นชิวๆก็เพียงพอแล้ว ^^
กลับจากสะพานมิตรภาพขับตรงเข้าตัวเมืองอุดรอีกรอบ ผ่านที่นี่ครับ บ้านนาข่า
บ้านนาข่า ที่นี่ถือเป็นหัตถศิลป์ถิ่นอีสานเลยก็ว่าได้
แหล่งช็อปผ้าที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามและคุณภาพดีเลิศ
ด้วยการสืบสานกันมาอย่างยาวนานของศิลปะหัตถกรรมไทยของชาวอีสาน
ที่คงเอกลักษณ์ลวดลายความเป็นอีสานไว้ในผ้าไหมคุณภาพดี ที่ทักทอด้วยเทคนิคชั้นสูง
ที่เรียกว่า ผ้าทอลายคิด หรือ ห้าไหมลายขิด ซึ่งเป็นผ้าพื้นเมืองของภาคอีสาน
ใครที่อยากหาของฝากติดไม้ติดมือ ที่นี่มีให้เลือกช้อปมากมายเลยครับ
เผลอแปปเดียวได้เวลาเที่ยงซะแล้ว ท้องเริ่มร้องไห้โฮๆ ว่าอยากได้อะไรลงท้องบ้าง
ได้ยินว่าที่นี่มีสาขาต้นตำรับของร้านแหนมเนืองชื่อดัง วีที แหนมเนือง
ก็จัดซะอย่าให้พลาด อยู่ กทม ไม่เคยทานมาทานถึงร้านต้นตำรับที่อุดรเลยนะ ^^
ด้านในมีที่นั่งเยอะมาก มีทั้งโซนด้านนอก กับ โซนห้องแอร์
ถ้านั่งโซนห้องแอร์จะคิดชาร์ตเพิ่มอีก 20 บาท ครับ
มื้อนี้จัดไปเบาๆ 2 คนรวมแล้ว 500 กว่าบาท
ถามว่าเยอะมั้ย ตามภาพด้านล่าง 2 ภาพเลยครับที่สั่งมาคราวนี้ ><
มีทั้งแหนมเนือง กุ้งพันอ้อย หมูยอแก้ว ขนมจีนทรงเครื่องแห้ง หมูทอด
ทานเสร็จ เดินทางต่อเพื่อไปเช็คอินที่พักอันหรูหรา อยู่ใกล้ทะเลบัวแดงซะด้วย
แต่โชคไม่ดีเหลือเกินที่ผมจดพิกัดที่พักมาผิด ผมไปจอดรถแถวบัวแดงเหมือนกัน
แต่อยู่คนละฟากของทุ่งทะเลบัวแดง
ถามว่าไกลมั้ยก็ ขับหลงมาไป-กลับ ประมาณ 100 โล ได้ครับ T___T
ถึงแล้วครับที่พักอันหรูหราของพวกผม
โฮมสเตย์บ้านเดียม สถานที่อยู่ติดกับทะเลบัวแดง รุ่งเช้าตื่นมาเดินไปขึ้นเรือได้เลยครับ
ถามว่าทำไมหรูหรา โฮมสเตย์เนี่ยนะ ? ตามมาครับแล้วจะรู้ ^^
ผมจองผ่านป้าแก้ว หาเบอร์จากในเน็ทเอาครับ
ป้าแก้วเป็นประธานชมรมกลุ่มโฮมสเตย์บ้านเดียม ซึ่งโฮมสเตย์บ้านเดียมนี้มีทั้งหมด 4 หลัง
แต่ละหลังจะมีห้องพักที่รองรับนักท่องเที่ยวได้ต่างกัน ตอนโทรจองควรบอกป้าแก้วด้วยนะครับว่าไปกี่คน
นอนรวมกันหรือแยกกัน ป้าเค้าจะได้หาบ้านที่ตรงกับความต้องการของเราให้
บ้านหลังนี้แหล่ะครับ โฮมสเตย์ที่ผมเข้าพักคืนนี้
เป็นบ้านของป้าลัดดา 1 ในสมาชิกกลุ่มโฮมสเตย์บ้านเดียม
ราคาต่อคนต่อคืน คนละ 200 บาท เท่านั้น ราคานี้เพียบพร้อม
มีทั้งแอร์ น้ำอุ่น และอาหารเช้าแบบจัดเต็ม หรูหรามั้ยครับ ราคาที่จ่ายกับสิ่งที่ได้รับ ^^
ป้าลัดดาบอกว่าถ้าจะจองที่พักจากป้าโดยตรงก็ได้นะไม่ต้องผ่านป้าแก้ว เลยถ่ายป้ายหน้าบ้านมาซะเลย
ผมขอไม่ถ่ายรูปด้านในบ้านนะครับ เนื่องจากเป็นที่พักแบบโฮมสเตย์ ซึ่งเป็นบ้านของป้าเค้าอยู่แล้ว
จะดูไม่ดีถ้าเอารูปในบ้านมาลงนะครับ ^^ เลยลงแค่รูปในห้องนอนแล้วกัน…
พอเริ่มค่ำเหล่าพลพรรคพวกชอบถ่ายรูปก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง
โดยครั้งนี้มีจุดหมายที่ตลาดคนเดิน ของจังหวัดอุดรธานี
ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับศาลหลักเมืองของที่นี่
ถนนคนเดินเมืองอุดร
ถนนคนเดินนี้เปิดทุกวันศุกร์ และ เสาร์ ตั้งแต่ประมาณ 17.00 – 22.00 ครับ
ใครไปเที่ยวอุดร สามารถไปเดินเล่นชิวๆได้นะ
สินค้าที่ขายที่นี่มีหลากหลาย ทั้งของกิน ของใช้ มือหนึ่ง มืองสอง
ถ้าหาของที่จะซื้อไปฝากผมว่าที่นี่ยังไม่ตอบโจทย์ครับ เพราะของที่ขายทั่วไป ยังไม่ได้เป็นของพื้นเมือง
แต่ถ้าจะมาเดินเล่นชิวๆ หาซื้อของจุกจิกหรือเดินหาอะไรทานไปด้วย ที่นี่คือคำตอบเลยครับ
ขากลับจากถนนคนเดินได้ขับรถผ่านวงเวียนที่มีผู้คนมากราบไหว้อยู่เนืองแน่น
ผมเลยหาที่จอดข้างทาง พร้อมกับหยิบกล้องลงไปตั้งกับพื้นเพื่อถ่ายรูปครับ
วงเวียนนี้คือ อนุสาวรีย์พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม
พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์ เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม
เป็นพระราชโอรสในพระบาท สมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งเมืองอุดรขึ้นเมื่อ ร.ศ 112 ทรงจัดวาง ระเบียบ ราชการ
ปกครองบ้านเมืองและรับราชการในหน้าที่สำคัญต่าง ๆ ซึ่งอำนวย ประโยชน์สุข
แก่ราษฎรนานับประการ อนุสาวรีย์พระองค์ท่าน จังนับ เป็นเกียรติ ประ วัติสูงสุด
ของชาวจังหวัดอุดรธานี ตราบเท่าทุกวันนี้
รุ่งอรุณที่เรารอคอยได้มาถึง เช้านี้อุณหภูมิหนาวกำลังดีประมาณ 13 องศา
พระอาทิตย์เริ่มฉายแสงขึ้นมาบนท้องฟ้า จากที่พักของเรามาที่จุดขึ้นเรือนี้เดินมาประมาณ 5 นาที
หรือจะขับรถมาจอดใกล้ๆก็ได้
ณ. จุดนี้เป็นที่ซื้อตั๋วขึ้นเรือเพื่อไปชมทะเลบัวแดง ไฮไลท์ของทริปนี้กันครับ
เรือมีทั้งเรือเล็ก และเรือใหญ่ เพื่อเพิ่มอรรถรสในการถ่ายภาพ ผมกับเพื่อนจึงเลือกเรือเล็ก
เพราะเชื่อพี่ตูน บอดี้แสลม ว่า เรือเล็กควรออกจากฝั่ง ^^
ราคาเรือเล็กคนละ 100 บาท อันนี้เป็นรอบใกล้นะครับ แค่รอบใกล้ก็เกินพอแล้วนะสำหรับผม ^^
แต่ภาพด้านล่างนี้เป็นเรือใหญ่ นั่งได้ไม่เกิน 10 คนต่อลำครับ
ถ้าอยากใกล้ชิดบัวแดงมากถึงมากที่สุด แนะนำว่าเป็นเรือเล็กไปเลยลำนึงนั่งได้ 2 คน (ไม่รวมคนขับเรือ)
มีเสื้อชูชีพให้พร้อมเลยครับ
ช่วงเวลาที่ควรมาดูดอกบัวแดง ประมาณ 7.00-11.00 น.
ดอกบัวแดงจะมีในช่วงเดือน ธันวาคม – มีนาคม
ถ้าพีคที่สุด เยอะที่สุดคงเป็นช่วงเดือน มกราคม ถึงกลางกุมภาพันธ์
ซึ่งในทริปนี้ผมมาในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ดอกไม้บานสวยพอดีเลยครับ
เมื่ออาทิตย์ขึ้น แสงสีทองส่องประกายลงทุ่งแห่งนี้
สวยมากครับ มีผู้คนมาชมความงามของทุ่งดอกบัวแดงแห่งนี้อยู่เนืองแน่นตลอดช่วงเวลา
ภาพของเรือใหญ่และเรือเล็ก ถ้าใครอยากใกล้ชิดดอกบัวแนะนำครับว่าต้องเรือเล็ก
น้ำในทุ่งนี้สูงประมาณ 1.5 เมตร ช่วงที่สูงที่สุดประมาณ 2.00 เมตร ครับ
จากการนั่งเรือเล็กคุณจะได้ภาพใกล้ๆแบบนี้
ทุ่งดอกบัวแดงนี้มีความกว้างประมาณ 2x,xxx ไร่ กว้างสุดลูกหูลูกตาเลยครับ
ป้าคนขับเรือลำของผมมมมมม…
รอบแรกถ่ายแล้วไม่สะใจ เลยบอกป้าแกว่าขออีกรอบแล้วกัน
ป้าเลยคิดเงินเพิ่มอีกคนละ 100 จัดไปครับป้า ไม่ได้มาบ่อยๆช่วยเมืองไทย เที่ยวเมืองไทย ครับ ^^
ป้าคงงงว่าไอ 2 ตัวนี้มันทำอัลลายยย
วุ่นวายอยู่บนเรือ เดี๋ยวคนนึงท้ายเรือ คนนึงหัวเรือสลับไปมา
ป้าของีบพักบนเรือดีกว่า ^^
พวกผมก็แค่อยากได้ภาพที่ดีที่สุด มุมที่ดีที่สุดเท่านั้นเองป้า อย่ารำคาญพวกผมนะครับ
ระหว่างที่เรือเล็กกำลังกลับเข้าฝั่งนั้น ได้หันไปเห็นฝูงนกอยู่จำนวนหนึ่งบินวนอยู่นานแต่แอบไกลไปหน่อย
แต่ภาพ ณ. ช่วงเวลานั้นสวยงามมากครับ
ระหว่างทางมีนกให้ถ่ายรูปอยู่มากมาย ไวครับต้องไวเท่านั้นถึงจะได้ ^^
เรือเล็กถึงฝั่งโดยปลอดภัย bye bye บัวแดง
ช่วงเวลาที่ได้อยู่เที่ยวที่นี่เป็นเวลาร่วม 2 ชม ลมเย็นๆ
พอขึ้นมาบนฝั่ง มีของขายอยู่เต็ม 2 ข้างทาง ทั้งของที่ระลึกและของทานยามเช้า
และมีคนมาเที่ยวชมบัวแดงอยู่เรื่อยๆไม่ขาดสาย
กลับถึงที่พักโฮมสเตย์ ป้าลัดดาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้
ทีแรกเห็นตกใจมาก ไหนตอนแรกที่คุยกับป้าแก้วมีแค่ข้าวต้ม แต่นี่คืออัลลายยยยย
ทำไมเยอะเยี่ยงนี้ ผมไม่รอช้าซัดข้าวต้ม แนวขลุกขลิกไป 4 ชาม อร่อยมากกกกกกกกครับ
บายบาย โฮมสเตย์บ้านเดียม พวกผมต้องเดินทางกันต่อแล้ว
สถานที่ต่อไปที่จะพาไปเที่ยวชม อารยธรรมบ้านเชียงมรดกโลกห้าพันปี
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง แบ่งเป็น 2 ส่วน
ส่วนที่ 1 ตั้งอยู่ทางด้านขวาของทางเข้าอยู่ใน
บริเวณวัดโพธิ์ศรีในเป็นพิพิธภัณฑ์เปิดที่เป็นแหล่งโบราณคดีแห่งแรกในไทย
ซึ่งแสดงขั้นตอนการขุดค้นทางโบราณคดีที่ยังคงลักษณะของศิลปวัตถุที่พบตามชั้นดิน
ส่วนที่ 2 ตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของทางเข้า
เป็นอาคารที่ จัดแสดงเกี่ยวกับเรื่องราวและวัฒนธรรมของบ้านเชียงในอดีต
ตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้ที่ แสดงถึงเทคโนโลยีในสมัยโบราณ รวมทั้งโบราณวัตถุและ
นิทรรศการบ้านเชียงที่เคยจัดแสดง ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา
นอกจากนั้นภายในบริเวณอาคารส่วนที่ 2 ยังมีห้องนิทรรศการ ห้องบรรยาย ฉายภาพยนตร์ ภาพนิ่ง และการให้บริการการศึกษาต่างๆ
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดให้เข้าชมทุกวันเว้นวันจันทร์ ตั้ง แต่เวลา 08.30-16.30 น. ค่าเข้าชม ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 150 บาท
หลังจากเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์บ้านเชียง รวมเวลาซื้อของฝากด้วยแล้ว
ได้ถึงเวลาที่พวกผมต้องรีบกลับไปขึ้นเครื่องที่สนามบิน
แต่ก่อนอื่นต้องหาอะไรทานไปก่อนเพราะเครื่องบินออก 18.50 น.
ถึง กทม. เกือบ 20.00 น. จะรอถึง กทม คงปวดท้องเป็นแน่
ขับรถเข้าตัวเมืองอุดร ซึ่งห่างจากพิพิธภัณฑ์ประมาณ 50 กม เพื่อมาทานอาหารเย็น ร้านแม่หยา
ภายในร้านเป็นร้านห้องแอร์ เข้ามาด้านในแล้วมีคนทานอยู่ค่อนข้างเยอะ
ร้านนี้เป็นร้านอาหารไทย เมนูหลากหลาย
ที่ผมสั่งคราวนี้คือ ข้าวอบทะเล ที่มีทั้งก้ามปู เนื้อปู กุ้ง ปลาหมึก ปลา หอย จัดเต็มครบทั้งทะเลเลยครับ
กระเพาะเนื้อ และแกงป่าไก่ รสชาติจัดจ้าน
ปิดท้ายการเดินทางครั้งนี้ด้วยภาพทุ่งดอกบัวแดง ที่บานเต็มทุ่ง
ภาพแบบนี้ถ้าไม่ออกไปให้เห็นด้วยตาตัวเอง คงไม่เชื่อว่าสถานที่นี้จะมีอยู่จริง
อย่างที่ผมได้บอกไปในตอนต้น อุดรธานีชื่อนี้ไม่ได้มีดีแค่ดอกบัวแดง
ช่วงเวลาที่ผมได้ไปอยู่ที่นั่น 2 วัน 1 คืน ถือว่าช่างน้อยนิดไปหน่อย
ถ้ามีโอกาสอีกคงกลับไปเที่ยว ไปพักโฮมสเตย์อันหรูหราที่บ้านป้าลัดดาอีกแน่นอน
หลังจากอ่านรีวิวนี้จบ ถ้าใครอยากจะไปให้เห็นกับตาตัวเอง
ต้องบอกเลยว่าช่วงนี้ไม่เหลือให้ดูแล้วครับ ต้องรออีกทีช่วงปลายปี
ประมาณเดือนธันวาคม – ต้นมีนาคม
“เรือเล็กควรออกจากฝั่ง” ผมเป็นพนักงานออฟฟิต ทำงานประจำวันจันทร์ถึงศุกร์
และได้วันลาพักร้อนปีละ 12 วัน ผมคิดว่าชีวิตนึงของคนเรา ถ้าไม่ออกไปเจอ ไปหา ไปพบโลกกว้าง แล้วเมื่อไหร่ ?
อย่าคิดที่จะรอเมื่อตอนเกษียณ เพราะบางทีคำนั้นอาจไม่ได้ใช้กับตัวเราในอนาคตก็เป็นได้
“เที่ยวเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้”
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
หรือจะสอบถามข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมโดยตรง กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
TAT Call Center 1672 เบอร์เดียวเที่ยวทั่วไทย หรือ www.tourismthailand.org
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^