ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ลมหนาวก็โชยมาเอื่อยๆ ความคิดจะขึ้นเหนือไปโต้ลมหนาวเพื่อ Count Down ปีใหม่ก็ผุดขึ้นมาในหัวของผมทันที เมื่อคิดๆ ดูว่าจะไปจังหวัดไหนดี ก็นึกถึง จังหวัดลำพูน-ลำปาง ขึ้นมา เพราะเป็นจังหวัดที่เต็มไปด้วยอารยธรรมที่งดงาม มีพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ให้ไปขอพรเพื่อเป็นสิริมงคล มีประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งยังเป็นจังหวัดที่ผมเคยไปตอนเด็กๆ ซึ่งตอนนั้นยังจำอะไรไม่ได้มากนัก เลยอยากกลับลองไปสัมผัสด้วยตัวเองอีกสักครั้ง เก็บกระเป๋า ไปตามหาความหนาวและย้อนร้อยประวัติเมืองละโว้กันครับ…“เฮือนถิ่นละโว้ แอ่วเมืองลำพูน-ลำปาง”
การเดินทางไปลำพูนนั้น หากจะไปทางเครื่องบิน เราจะต้องนั่งเครื่องไปลงที่จังหวัดลำปางก่อนแล้วขับรถต่อไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมงเศษๆ ครั้งนี้ผมใช้บริการของนกแอร์ โดยเที่ยวบิน DD8522 ออกจากกรุงเทพฯ เวลา 16:05 น. เป็นเครื่องขนาดไม่ใหญ่มาก ผังที่นั่งเป็นแบบ 2-2 ทั้งลำสามารถจุผู้โดยสารได้ 86 คน สำหรับเรื่องน้ำหนักกระเป๋า ตอนนี้เค้าออก Package มาให้เราเลือกได้ตามความต้องการ หากเราไม่มีกระเป๋าสัมภาระโหลดใต้ท้องเครื่องก็ให้เลือกแบบ Nok Lite แต่หากมีกระเป๋าโหลด (น้ำหนักไม่เกิน 15/20 กก. สำหรับเที่ยวบินใน/ระหว่างประเทศ) ให้จองแบบ Nok X-Tra แต่หากอยากได้บริการอาหารบนเครื่องต้องเลือกแบบ Nok MAX เลยครับ ทุกแบบสามารถเลือกที่นั่งล่วงหน้าได้และสามารถเอากระเป๋าถือขึ้นเครื่องได้ไม่เกิน 7 กก. แถมพนักงานบนเครื่องยัง Friendly Service ยิ้มรับตลอดไฟลท์บินจนถึงลำปางเลยครับ
ระหว่างทางแม้จะเป็นเพียงไฟลท์สั้นๆ แต่ก็มีเสิร์ฟน้ำนกชื่นใจให้ด้วยนะครับ
นั่งเพียง 1 ชั่วโมงเศษๆ ก็มาถึงสนามบินลำปางซึ่งเป็นสนามบินเล็กๆ พอรับกระเป๋าเสร็จก็รีบตรงไปรับรถเช่าทันที สำหรับรถเช่าที่นี่มีให้เลือก 3 เจ้าครับ AVIS, Eddy และ Thai Rent a Car หลังจากได้รถแล้ว ผมก็รีบขับรถมาที่โรงแรมที่จองไว้ที่ลำพูนชื่อว่า Thai Thani Loft & Life Lamphun ตัวโรงแรมตกแต่งสไตล์ปูนเปือย ดีไซน์เก๋ๆ ดูทันสมัยดีครับ
พอเช็คอินเสร็จปุ๊บท้องก็เริ่มร้อง เลยรีบมุ่งหน้าไปยังร้านอาหาร ครัวต้นฝ้าย ซึ่งอยู่บนถนนไชยมงคล ใกล้กับถนนคนเดิน เพื่อมาลองลิ้มชิมอาหารเหนือแบบต้นตำรับกันครับ
เริ่มต้นจานแรกด้วยออเดิร์ฟหละปูน ที่มีทั้งไส้อั่ว จิ้มส้ม หมูยอ แคปหมู น้ำพริกอ่องและผักเคียง ได้อารมณ์ของอาหารเหนือเลยจ้าว
ตามมาด้วยอาหารพื้นเมืองอื่นๆ อย่างแกงฮังเลลำไย ที่รสชาติคล้ายมัสมั่นไก่แต่มีกลิ่นเครื่องแกงฮังเลที่แตกต่างสักเล็กน้อย เนื่องจากที่ลำพูนนี้ขึ้นชื่อเรื่องลำไยมาก อาหารหลายๆ อย่างของที่นี่เลยมีลำไยเป็นส่วนประกอบ ให้รสชาติที่อร่อยไปอีกแบบ
จานต่อมาที่ผมลองสั่งเพราะเห็นว่าไม่เหมือนใครดี นั่นคือ ยำสตรอเบอร์รี่กุ้งสด ที่รสชาติเปรี้ยวหวานเข้ากันอย่างลงตัวทีเดียว ตบท้ายด้วยกะหล่ำปลีผัดน้ำปลาที่ผัดได้ที่ ผักส้ดสด รสกลมกล่อม ทานเพลินเลยครับ ร้านนี้บรรยากาศดี อาหารอร่อย บริการเป็นเลิศ แนะนำๆ นะค้าบ ^^
เมื่ออิ่มท้องกันแล้ว เราก็มาเดินเล่นกันที่ ถนนคนเดิน ซึ่งจะมีทุกวันศุกร์ เวลา 17:00-23:00 น. หากใครขับรถมา สามารถเอารถมาจอดที่ด้านข้างของตลาดได้ จะมีคนเก็บค่าที่จอดอยู่ ของขายที่นี่ก็มีหลากหลาย ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม เสื้อผ้า กระเป๋า งานแฮนเมด ของเล่น รวมไปถึง Gadget ต่างๆ มากมาย
ตามคำขวัญของจังหวัดลำพูนที่ว่า “พระธาตุเด่น พระรอดขลัง ลำไยดัง กระเทียมดี ประเพณีงาม จามเทวี ศรีหริภุญชัย” แน่นอนเลยว่าต้องเริ่มที่ พระธาตุหริภุญชัย ซึ่งเป็นโบราณสถานคู่บ้านคู่เมืองลำพูน เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิดวรมหาวิหารที่ก่อสร้างในสมัยพระเจ้าอาทิตยราช
เดิมทีเป็นพระราชวังของพระเจ้าอาทิตยาราชกษัตริย์ผู้ครองนครหริภุญชัยองค์ที่ 33 ต่อจากพระนางจามเทวี องค์ปฐมบรมกษัตริย์ของเมืองหริภุญชัย ที่บริเวณกำแพงพระราชวังแบ่งออกเป็น 2 ชั้น คือ ชั้นนอกและชั้นใน พระเจ้าอาทิตยราชได้ถวายพระราชวังของพระองค์ให้เป็นสังฆารามไว้กับทางพระพุทธศาสนา ได้รื้อกำแพงชั้นนอกออก แล้วปั้นสิงห์ประดับเครื่องทรงคู่หนึ่งไว้ที่ซุ้มประตูด้านทิศตะวันออก ตามคติโบราณทางเหนือซึ่งนิยมสร้างสิงห์เฝ้าวัด
บริเวณชั้นใน (เขตพุทธาวาส) มีองค์พระธาตุที่บรรจุอัฐิของพระพุทธเจ้า องค์พระธาตุนี้นับเป็นปูชนียสถานอันสำคัญยิ่งในล้านนาไทย เป็นวัดประจำปีเกิดของปีระกา และเป็นหนึ่งในแปดจอมเจดีย์แห่งสยามที่คัดสรรโดยกรมพระยาดำรงราชานุภาพผู้ซึ่งเป็นบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย
ที่ด้านข้างมีหอธรรมหรือหอพระไตรปิฏก สร้างโดยพระเมืองแก้ว กษัตริย์ผู้ครองเมืองเชียงใหม่และพระราชมารดา ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นอาคาร 2 ชั้น หันไปทางทิศตะวันตก อาคารชั้นล่างก่ออิฐถือปูน มีบันไดทางขึ้นทอดยาวขึ้นไปสู่อาคารชั้นบนซึ่งเป็นเครื่องไม้ ตกแต่งไม้โครงสร้างด้วยการแกะสลักลายพันธุ์พฤกษาปิดทองล่องชาด ผนังอาคารตกแต่งด้วยลายฉลุไม้ปิดทองล่องชาดประดับกระจก หลังคามุงด้วยกระเบื้องโลหะ
นอกจากนี้ในบริเวณวัดยังมีสถานที่สำคัญต่างๆ ทั้งเขาสิเนรุ มุมหรดี(วิหารสะดือเมือง) วิหารพระพุทธ วิหารพระบาทสี่รอย หอกังสดาล พระพุทธรูปปางไสยาสน์ ฯลฯ ให้ได้ชมกันอีกด้วย
จากพระธาตุหริภุญชัย มีบริการรถราง (สีเหลือง) นำเที่ยวไปยังสถานที่สำคัญต่างๆ (ตามที่จะกล่าวถึงต่อไป) ซึ่งมีวันละ 2 รอบ คือรอบ 9:30 น. และรอบ 13:00 น. โดยสามารถซื้อตั๋วและขึ้นได้ที่บริเวณด้านหน้าพระธาตุหริภุญชัย ราคาคนละ 50 บาท
เมื่อซื้อตั๋วเสร็จเรียบร้อย รอสักพักเจ้าหน้าที่จะเรียกขึ้นรถซึ่งสถานที่แรกที่ไปคือ พิพิธภัณฑ์ชุมชนเมืองลำพูน ที่แต่เดิมเป็นคุ้มเจ้าสัมพันธ์วงษ์ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2445 สมัยเจ้าหลวงจักรคำขจรศักดิ์ ลักษณะรูปทรงอาคารเป็นทรงปั้นหยางดงาม ตัวอาคารเป็นเรือนขนาดใหญ่ 2 ชั้น ชั้นล่างก่ออิฐถือปูน ส่วนชั้นบนเป็นโครงสร้างไม้ เนื่องจากเป็นอาคารขนาดใหญ่ จึงมีเสามากถึง 51 ต้น
ปัจจุบันเทศบาลเมืองลำพูนจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์ ประเพณี วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนชาวลำพูนเมื่อราว 100 ปีที่ผ่านมา เช่น ภาพถ่ายเก่า ร้านขายเครื่องเขียนผลิตภัณฑ์ของใช้รุ่นเก่า รวมทั้งลอตเตอรี่ราคาใบละ 5 บาท กล่องไม้ขีดโบราณ ของใช้ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนให้ได้ชมกัน
เดินทางกันไปต่อที่ คุ้มเจ้ายอดเรือน ซึ่งเป็นเรือนสรไนของเจ้ายอดเรือน ณ ลำพูน ชายาเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ ณ ลำพูน เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์สุดท้ายได้สร้างขึ้นให้แก่เจ้ายอดเรือนเมื่อปี พ.ศ. 2470 นับเป็นเรือนพักอาศัยในระดับเจ้าครองนครที่มีสภาพดีมาก มีความเก่าแก่และรักษาสภาพเดิมที่ค่อนข้างสมบูรณ์ เป็นสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นจนเรียกได้ว่า เป็นเอกลักษณ์ของเรือนไม้ที่ได้รับอิทธิพลตะวันตกที่เข้ามาแพร่หลายยังล้านนาในช่วงปลายรัชกาลที่ 5-6 ที่เรียกว่า “เฮือนสมัยกลาง” สถานที่นี้ไม่สามารถเข้าไปชมด้านในได้นะครับ ดูได้จากนอกบ้านเท่านั้น
แต่ละสถานที่เที่ยวอยู่ไม่ไกล ลงปุ๊บ ขึ้นปั๊บ ถึงแล้ว!!! ต่อมาเป็น อนุสาวรีย์พระนางจามเทวี ซึ่งเป็นองค์ปฐมกษัตริย์แห่งนครหริภุญชัย พระนางเป็นปราชญ์ที่มีความกล้าหาญทางคุณธรรม และยังมีพระสิริโฉมงดงาม พระนางได้นำพุทธศาสนา ศิลปวัฒนธรรมมาเผยแพร่ในดินแดนล้านนาไทย ซึ่งทำให้ล้านนาไทยเจริญรุ่งเรืองมาจนถึงทุกวันนี้ อนุสาวรีย์นี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นปีที่ฉลอง 200 ปีกรุงรัตนโกสินทร์
ต่อมาเป็นวัดจามเทวี สร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. 1298 เป็นฝีมือของขอม ลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมซ้อนชั้น แบบพุทธคยาในประเทศอินเดีย รูปแบบทางสถาปัตยกรรมเป็นเจดีย์สี่เหลี่ยมห่อด้วยศิลาแลง องค์เจดีย์มีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยมซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไป 5 ชั้น แต่ละชั้นมีพระพุทธรูปปางประทานอภัยประทับยืนอยู่ตามซุ้มด้านละ 3 องค์ ทั้ง 4 ด้าน รวมทั้งหมด 60 องค์ ภายในบรรจุอัฐิพระนางจามเทวี ต่อมายอดพระเจดีย์หักหายไป ชาวบ้านจึงเรียกว่า “กู่กุด” หรือมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “พระเจดีย์สุวรรณจังโกฏิ”
พระนางจามเทวีได้สละราชสมบัติ บวชเป็นชีที่วัดนี้ เมื่อพระชนมายุ 60 ปี จนถึงพระชนมายุ 92 ปี ได้สละสังขาร เจ้าชายมหันตยศพระราชโอรสได้ถวายพระเพลิงพระสรีระ และได้สร้างเจดีย์นี้ นอกจากนั้นยังมีรัตนเจดีย์ เจดีย์ทรง 8 เหลี่ยม ตั้งอยู่ทางขวาของวิหาร และมีกู่ครูบาเจ้าศรีวิชัยอิริยาบถยืนทั้ง 4 ด้าน 4 ทิศ และเป็นสถานที่พระราชทานเพลิงศพครูบาศรีวิชัยด้วย
จากนั้นเดินทางต่อไปที่ วัดมหาวัน ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองลำพูน วัดนี้เป็นวัดหนึ่งในสี่ของวัดสี่มุมเมืองที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุด สร้างมาตั้งแต่ครั้งพระนางจามเทวีเสด็จขึ้นครองเมืองหริภุญชัย มีพระพุทธสักขีปฏิมากร หรือพระศิลาดำ เรียกว่า พระรอดหลวง หรือแม่พระรอด ซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่บนแท่นแก้วหน้าองค์พระประธานในวิหาร มีความสำคัญและเป็นแม่พิมพ์พระสกุลลำพูน หนึ่งในพระเครื่องชุดเบญจภาคี
อย่าเพิ่งเบื่อเข้าวัดกันนะ เพราะที่ลำพูนนี่วัดเยอะมากๆๆๆ แถมกระจุกรวมตัวอยู่ใกล้ๆกันอีกด้วย เดินทางมาต่อที่ถัดไปคือ วัดพระคงฤาษี (อาพัทธาราม) ซึ่งเป็นวัดในสี่มุมเมือง อยู่ทางด้านทิศเหนือ สร้างขึ้นในสมัยพระนางจามเทวี เป็นพระอารามหลวงในสมัยนั้น วัดนี้มีชื่อเสียงเนื่องด้วยมีพระพิมพ์ที่เรียกว่า “พระคง” บริเวณวัดมีเจดีย์ที่มีลักษณะแปลกกว่าเจดีย์องค์อื่นๆ ในเมืองลำพูน เชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นมาพร้อมกับวัดนี้ มีซุ้มคูหาสี่ด้านประดิษฐานพระพุทธรูปและรูปพระฤาษี
อีกหนึ่งวัดที่มีความสำคัญนั่นก็คือ วัดสันป่ายางหลวง ที่แต่เดิมเป็นศาสนสถานของศาสนาพราหมณ์ มีพระจากพม่าเข้ามาเผยแผ่ศาสนา ชาวบ้านเลื่อมใสจึงเปลี่ยนเทวสถานเป็นวัด ชื่อว่า “ขอมลำโพง” เป็นวัดทางพระพุทธศาสนาวัดแรกของล้านนา ต่อมาในปี พ.ศ. 1202 ได้บูรณปฏิสังขรณ์วัด และเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า “วัดอาพัฒนารามป่าไม้ยางหลวง” วัดนี้ใช้เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงศพพระนางจามเทวี และเปลี่ยนชื่อเป็นวัดสันป่ายางหลวงจนถึงปัจจุบัน เป็นวัดที่สงบ วิเวก ร่มเย็นด้วยต้นยางใหญ่น้อย
รถรางที่ขึ้นชมเมืองและสถานที่ต่างๆ มีเจ้าหน้าที่คอยให้ความรู้ในแต่ละสถานที่ด้วยนะครับ ถือว่าคุ้มค่ากับราคาที่ไม่แพงเลย
กู่ช้าง-กู่ม้า มีลักษณะเป็นสถูปทรงกระบอกปลายมน ศิลปะแบบพยู่ (ศรีเกษตรในพม่า) เป็นสุสานช้างศึก-ม้าศึกคู่บารมีของพระนางจามเทวี ช้างศึกชื่อว่า “ภู่ก่ำงาเขียว” ซึ่งหมายถึงช้างผิวสีคล้ำ งาสีเขียวทรงอานุภาพฤทธิ์ในยามสงคราม ชาวเมืองถือว่ากู่ช้าง-กู่ม้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมือง
นักท่องเที่ยวสามารถเดินลอดท้องช้างเพื่อความเป็นสิริมงคลได้ด้วย
มาไปต่อกันที่ วัดพระยืน เป็นวัดฝ่ายอรัญวาลี จัดเป็นหนึ่งในวัดสี่มุมเมืองตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก มีเจดีย์ประธานทรงปราสาทสร้างเลียนแบบสถาปัตยกรรมพม่า สมัยพุกามพญากือนาได้อาราธนาพระสุมนเถระจากสุโขทัยมาเผยแผ่ศาสนาในล้านนาโดยให้พำนักที่วัดพระยืน ก่อนที่จะไปสร้างวัดสวนดอก เชียงใหม่ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ และบูรณะใหม่ในสมัยเจ้าหลวงอินทยงยศโชติ ภายในวัดมีสิ่งที่น่าสนใจคือพระพุทธรูปเก่าแก่และหลักศิลาจารึกสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช มีเจดีย์ทรงปราสาทที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางเปิดโลก และพบภาพพระบฏโบราณ มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ที่ด้านหน้าวัดมีท้าวเวสสุวรรณตั้งตะหง่านอยู่
สถานที่สุดท้ายที่เราจะไปเยือนกันนั่นคือ วัดต้นแก้ว ซึ่งในอดีตมีชื่อว่าวัดเชตวนาราม สมัยหริภุญชัยพบศิลาจารึกอักษรมอญโบราณระบุถึงชื่อกษัตริย์ผู้มีนามว่า พญาสรรพสิทธิ์ ได้ทรงผนวชระหว่างครองราชย์ และสร้างสถูป 3 องค์
ในส่วนวัดต้นแก้วนั้นยังมีสิ่งที่น่าสนใจ นั่นก็คือ พระเจดีย์ต้นก๊อ ซึ่งเป็นสถูปทรงกลมล้านนา พระพุทธรูปทรงเครื่องในวิหาร โถงพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านชาวยอง และโรงทอผ้าฝ้ายแบบโบราณ
รถรางจะมาส่งที่หน้าวัดพระธาตุหริภุญชัยที่เดิมตอนขึ้นรถ ใช้เวลานั่งรถรางชมเมืองประมาณ 2.50 ชม. จากนั้นเดินข้ามาถนนฝั่งตรงข้ามพระธาตุฯ จะเจอกับถนนสายวัฒนธรรม ซึ่งมีของขายมากมาย ทั้งอาหาร ผลไม้ เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ และของใช้ต่างๆ
ที่บริเวณคูเมือง ก็มีร้านขายสินค้า OTOP ให้ได้ซื้อกลับบ้าน ทั้งของขึ้นชื่ออย่างลำไยอบแห้ง และลำไยแปรรูปต่างๆด้วยครับ
มาชิมอาหารพื้นเมืองกันบ้าง แค่เดินบนสะพานข้ามคูเมืองก็จะพบร้านอาหารเด็ดๆ มากมาย ครั้งนี้ผมขอลอง ร้านก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นลำไย (เวียงยอง) ที่เค้าบอกว่าหากไม่มาลองร้านนี้ ก็เหมือนมาไม่ถึงลำพูน โดยเมนูที่ลองสั่งมาทานมีทั้งก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นลำไยที่มีเนื้อลำไยใส่มาให้เห็นกันเลย รสชาติกลมกล่อมครับ
พร้อมด้วยข้าวซอยซี่โครงหมูที่มีขายเฉพาะเสาร์ อาทิตย์ แล้วตบท้ายด้วยน้ำลำไยที่จัดว่าเด็ดทีเดียว คนที่นี่เค้ามีไอเดียเก๋ๆ เอาลำไยซึ่งเป็นผลไม้ประจำจังหวัดมาเป็นส่วนประกอบในอาหารต่างๆ มากมาย ทั้งก๋วยเตี๋ยว ซาลาเปา คุ้กกี้ ชา กาแฟ เค้ก บราวนี่ ท๊อฟฟี่ กาละแม โกโก้ ที่ล้วนมีลำไยผสมอยู่ทั้งนั้น
ก่อนออกจากจังหวัดลำพูน ขอลิ้มลองของหวานกันสักเล็กน้อยกับร้าน Milk n More Café ร้านคาเฟ่น่ารักๆ เมนูแนะนำคือ Galaxy Milkshake สีหวาน น่ารัก และนมชาร์โคล พร้อมด้วยคิวบิกวาฟเฟิล ที่เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมชอคโกแลตและวิปครีม อร่อย ชื่นใจ
อีกทั้งยังมีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปด้วย
หลังจากเที่ยวในเมืองลำพูนกันมาพอสมควรแล้ว เราก็มุ่งหน้ากันต่อที่ อุทยานแห่งชาติดอยขุนตาล ขับรถไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 มาไม่นานก็ถึง แต่ทางเข้ามีความลาดชันสูง อีกทั้งบางช่วงเป็นโค้งหักศอก ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับนะครับ ทางเข้าอุทยานทำเป็นอุโมงค์ขุนตาล เก๋เชียว ค่าเข้าผู้ใหญ่คนละ 20 บาท เด็กคนละ 10 บาท รถยนต์คันละ 30 บาท (ราคาคนไทย) ที่นี่สามารถกางเต๊นท์ได้ด้วยนะครับ อากาศดีๆ แบบนี้ นักท่องเที่ยวเริ่มมากางเต๊นท์นอนที่ลานชมดาวกันแล้ว
อุทยานแห่งชาติดอยขุนตาลเป็นดินแดนที่คาบเกี่ยวระหว่างจังหวัดลำพูนและลำปาง มีเส้นแบ่งเขตจังหวัดอยู่บริเวณด้านหน้าของศูนย์บริการให้เราได้เห็นกันครับ ทางอุทยานก็แสนจะใจดีทำแท่นไม้ให้เราได้ขึ้นไปแชะภาพกันได้อย่างสวยงาม
ขับรถลงมาจากอุทยานเล็กน้อย ก็มาถึง สถานีรถไฟขุนตาน ซึ่งอยู่เหนือจากระดับน้ำทะเลถึง 578 เมตร อุโมงค์ขุนตาน เป็นอุโมงค์ทางรถไฟลอดผ่านที่ยาวที่สุดในประเทศไทย จากจำนวนทั้งสิ้น 7 อุโมงค์ มีความยาวถึง 1,352.15 เมตร เป็นทางรถไฟเชื่อมต่อจาก กทม.มายังเชียงใหม่ ปัจจุบันที่สถานีนี้ยังเปิดใช้งานตามปกติ มีรถไฟวิ่งผ่านทุกวัน วันละหลายรอบ
ได้มาชมรถไฟวิ่งลอดอุโมงค์บนเขา สวยแปลกตา หาชมได้ยากจริงๆ
หลังจากเที่ยวลำพูนกันมาครบแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่เมืองรถม้า ลำปาง กันครับ
ขับรถจากสถานีรถไฟขุนตานมาชั่วโมงเศษก็มาถึงที่พักของเราที่จังหวัดลำปาง ที่พักนี้มีชื่อว่า บ้านคำออน เป็นบ้านไม้สักที่ก่อสร้างด้วยศิลปะแบบล้านนา มีอายุกว่า 100 ปี ตั้งอยู่ในชุมชนท่ามะโอ ซึ่งเป็นชุมชนที่มีวัฒนธรรมและวิถีการดำเนินชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตัวบ้านได้รับการบูรณะเป็นอย่างดี มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
ชั้นล่างของบ้านคำออนมีแกลเลอรี่แสดงของโบราณให้ได้ชมกันด้วยครับ
อาหารเช้าของที่นี่เป็นอาหารพื้นเมืองที่มาเป็นสำรับเลย มีทั้งแกงกระด้างที่มีเฉพาะหน้าหนาว ไส้อั่ว หมูทอด หมูปิ้ง ข้าวเหนียว ของหวาน ผลไม้ จัดมาให้เป็นเซ็ทๆ
ห่างจากบ้านคำออนไม่ไกลนัก (ประมาณ 5 หลังคาเรือน) ก็จะได้พบกับ บ้านเสานัก ซึ่งเป็นบ้านไม้สักที่มีเสามากถึง 116 ต้น ซึ่งปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ด้านศิลปวัฒนธรรมของจังหวัดลำปาง ภายในมีข้าวของเครื่องใช้โบราณมากมาย แต่เนื่องจากวันที่ผมไปมีจัดงานแต่งงานที่บ้านเสานัก เลยได้แต่เก็บบรรยากาศด้านนอกมาฝากกัน
มาถึงลำปางทั้งที จะไม่นั่งรถม้าก็กระไรอยู่ เลยให้เจ้าหน้าที่ที่บ้านคำออนช่วยเรียกรถม้าให้ เรียกปุ๊บ มาปั๊บ ทันใจจริงเชียว ค่าบริการ 1 ชั่วโมง อยู่ที่ 400 บาท โดยเค้าจะพาเราไปชมสถานที่สำคัญต่างๆ พร้อมชมรอบตัวเมือง อากาศเย็นๆ แบบนี้ นั่งกันเพลินเลย
สถานที่แรกที่เราแวะเที่ยวกันก็คือ วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม ซึ่งเป็นวัดที่เก่าแก่อายุนับพันปี มีความสวยงาม เคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 1979 เป็นเวลานานเกือบ 32 ปี มีตำนานเล่าว่าพระมหาเถระของวัดนี้ได้พบแก้วมรกตในแตงโม (ภาษาเหนือเรียกว่าหมากเต้า) และนำมาแกะสลักเป็นพระพุทธรูป และต่อมาได้อันเชิญไปประดิษฐานที่วัดพระธาตุลำปางหลวงจนถึงปัจจุบัน ภายในวัดมีพระธาตุดอนเต้าซึ่งบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า
เอาบรรยากาศรอบเมืองลำปางที่ถ่ายจากบนรถม้ามาฝากกันครับ ^^
จากนั้นมุ่งหน้าสู่ อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน มาต้ม & ทานไข่ต้มน้ำแร่กันครับ
เดินเข้ามาปุ๊บก็จะเห็นผู้คนมากมายเดินหิ้วชะลอมที่บรรจุไข่ไก่/ไข่นกกระทามากันเต็มไปหมด เพราะที่นี่มีบ่อน้ำร้อนที่มีอุณหภูมิสุงสุดถึง 82องศา สามารถต้มไข่ให้สุกได้ภายใน 15 นาที โดยไข่ที่ต้มได้นั้น ไข่ขาวจะเหลว ไข่แดงจะสุกเหมือนไข่ออนเซ็น หากไม่ได้เตรียมมา สามารถซื้อไข่สดที่ด้านในอุทยาน
ที่นี่ผู้คนนิยมมาเล่นน้ำ นั่งปิกนิคกัน อีกทั้งยังมีห้องอาบน้ำแร่ด้วย
ที่ลำปางก็มีถนนคนเดินนะ ชื่อว่า กาดกองต้า เปิดวันเสาร์-อาทิตย์ ตลาดยาวเป็นกิโลเลยครับ ของขายก็มีให้เลือกมากมาย ทั้งอาหาร เสื้อผ้า ของใช้ ของฝาก คนก็เยอะมากๆ เช่นกัน ระหว่างทางก็เมืองอาคารเก่าสวยๆ ให้เราได้ชมกันมากมาย
อาหารที่ผมลองแล้วชอบ ได้แก่ ลูกชิ้นเขียง ซึ่งเป็นลูกชิ้นหมูลูกโตมาก เวลาทานเค้าจะให้เขียงเล็กๆ พร้อมมีดมาให้เราหั่นทาน
อีกร้านหนึ่งก็คือไข่ลวกน้ำแร่ ที่ลวกมาจากอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน เราสามารถเลือกได้ว่าจะทานแบบใส่ซีอิ๊วหรือน้ำยำครับ
ถ้าเป็นอาหารจานหลักขอยกให้ร้านนี้เลย ร้านอิ่มหมี ที่มีทั้งข้าวซอย ยำขนมจีนกรอบ คนเยอะ แต่คุ้มค่าการรอคอย
จะมีแต่ของคาวอย่างเดียวก็คงแปลกอยู่ ก่อนกลับ กทม. เลยมาแวะทานของหวานกันสักเล็กน้อยที่ร้าน White Coffee and Bakery
เมนูที่ผมลิ้มลองครั้งนี้ คือ Dark Chocolate Chip ปั่น และ Lemon Mint Soda และที่เด็ดสุดๆคือของหวาน อาทิ White Chocolate Lava และ Thai Tea Mouse ต้องลองมาทานให้ได้นะครับ
มาลำปางทั้งที คงต้องไม่พลาดที่จะไปกราบนมัสการ พระธาตุลำปางหลวง นะครับ ก่อนกลับเลยขอเอาฤกษ์เอาชัยแวะมาไหว้พระธาตุสักหน่อย วัดนี้ป็นวัดไม้ที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย มีพระธาตุลำปางหลวงซึ่งเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนปีฉลู ด้วยว่าวัดนี้เริ่มสร้างในปีฉลูและเสร็จในปีฉลูเช่นกัน มีความสวยงามด้วยศิลปะสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นในแนวกำแพงใหญ่ที่ทอดยาว บันไดด้านหน้าเป็นนาคสองขั้น หัวนาคชั้นแรกเป็นมังกรคล้ายนาคตามคตินิยมทางเหนือ ชั้นที่สองเป็นหัวนาคหัวเดียว
พระธาตุลำปางหลวงฐานเป็นบัวลูกแก้ว องค์เป็นทรงกลมแบบล้านนา ภายนอกบุด้วยทองจังโก ยอดฉัตรทำด้วยทองคำ มีลายแกะสลักดุนเป็นลวดลายประจำยามแบบต่างๆ
ภายในวิหารหลวงมีซุ้มปราสาททองซึ่งเป็นที่ประดิษฐาพระเจ้าล้านทอง ด้านหลังเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าทันใจ บนแผงไม้คอสองมีภาพจิตรกรรมเก่าแก่ งดงาม เรื่องทศชาติและพรหมจักร
วิธีการขอพรของที่นี่ ให้เรานำเทียนมาอธิษฐานขอพรก่อน แล้วเดินวนรอบพระธาตุ 3 รอบ แล้วจึงค่อยนำเทียนมาจุด
ที่ด้านหลังมีซุ้มพระพุทธบาท ด้วยการหักเหของแสง ทำให้ปรากฏภาพพระธาตุและวิหารด้านมุมกลับในซุ้มพระพุทธบาทนี้ แต่ซุ้มนี้ผู้หญิงไม่สามารถเข้าได้นะ
อิ่มเอมกับบรรยากาศสไตล์ล้านนากันแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องเดินทาง โดยสารนกแอร์ของเราเพื่อกลับกรุงเทพฯ กันละครับ ขากลับผมได้ทำเช็คอินออนไลน์และได้เลือกที่นั่งจากทางเว็บไซท์ล่วงหน้า ซึ่งใช้งานไม่ยาก สะดวกสบาย เว็บไซท์กแอร์ -> https://www.nokair.com/
เมื่อถึงเค้าเตอร์ก็โหลดสัมภาระชิว แล้วเดินขึ้นเครื่องตัวปลิวได้เลย
ออกจากสนามบินลำปางเวลา 18:50 น. ประมาณ 20:00 น. ก็มาถึงสนามบินดอนเมืองแล้ว
เนื่องจากในเช้าวันรุ่งขึ้น ผมมีธุระที่ต้องทำแถวดอนเมืองตั้งแต่เช้าตรู่ เลยได้มีโอกาสมาพักที่โรงแรมดอนเมืองโฮเต็ล ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารงานของทิพย์แมนชั่น อยู่ห่างจากสนามบินดอนเมืองเพียง 800 เมตร (นับจากเดินข้ามสะพานออกมาจากสนามบิน แล้วเรียกรถต่อ)
โรงแรมนี้มีห้องให้เลือกหลายแบบ หลายสไตล์ ตัวโรงแรมมี 4 อาคาร โดยแต่ละอาคารก็จะเป็นห้องคนละแบบกัน ราคาเป็นมิตร แต่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบถ้วน ทั้งแอร์ ทีวี เครื่องทำน้ำอุ่น ไดร์เป่าผม ตู้เย็น โต๊ะ เก้าอี้ Wi-Fi เตียงก็เป็นเตียงสปริงนอนสบาย ห้องก็สะอาด มีที่จอดรถมากมายซึ่งผู้เข้าพักสามารถจอดรถได้ฟรีในคืนที่พัก (หากต้องการฝากรถไว้ต่อก็เสียค่าบริการเพียง 100 บาท/คืนเท่านั้น) ส่วนเรื่องความปลอดภัยก็หายห่วง เพราะมี CC TV ทุกชั้น มีคนเฝ้าตลอดและพนักงานต้อนรับตลอด 24 ชั่วโมง อีกทั้งยังมีอาหารเช้าแบบ Continental Breakfast ให้บริการฟรี ตั้งแต่ตี 4 จนถึง 11:00 น. ทุกวัน และมีบริการรับฝากกระเป๋าฟรีด้วย
นอกจากนี้ทางโรงแรมยังมีบริการรถตู้รับ-ส่งไปยังสนามบินดอนเมือง จากโรงแรมไปสนามบินจะให้บริการตั้งแต่เวลา 4.00-9.00 น. ราคาคนละ 35 บาท (นอกเหนือจากเวลานี้ สามารถให้ทางโรงแรมเรียก Taxi ให้ได้นะครับ) ถ้าเป็นจากสนามบินมาโรงแรม ให้บริการเวลา 22.00-3.00 น. ราคาคนละ 50 บาท
มาดูตึกแรกกันครับ เป็นตึกที่เราเจอก่อนเมื่อเข้ามาในซอยสรณคมน์ 3 ซึ่งทุกคนที่มาพักจะต้องมาเช็คอิน/เช็คเอ้าท์ที่ตึกนี้ นั่นก็คือ ตึก Modern ตึกนี้เป็นตึกที่ Renovate ใหม่ให้เป็นสไตล์ Modern แล้วเสร็จเมื่อเดือน พ.ค. 2560 ที่ผ่านมานี้เอง การตกแต่งจะเน้นความเรียบหรูแต่มีสไตล์ ตัวอาคารมี 4 ชั้น มีห้องพักทั้งหมด 28 ห้อง แบ่งเป็นห้องแบบ Modern King Bed ที่สามารถรองรับได้มากสุด 3 คน จำนวน 10 / ห้อง Modern Twin Bed สามารถรองรับได้มากสุด 2 คน 12 ห้อง และห้อง Modern Triple Room สามารถรองรับได้มากสุด 3 คน มีจำนวน 6 ห้อง แต่ละห้องมีพื้นที่ใช้สอย 20 ตารางเมตร
ห้องที่ตึก Modern นี้มีจุดเด่นคือห้องน้ำและห้องอาบน้ำแยกกัน ทำให้สามารถแยกกันใช้ได้ ตอบโจทย์เวลาเช้าๆ ที่ต้องรีบอาบน้ำเพื่อเตรียมเดินทางกันครับ
ฝั่งตรงข้ามจะเป็นตึก Value ซึ่งเป็นห้องที่ราคาประหยัดสุด ประมาณ 650-700 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง) เน้นความสะดวกเรียบง่าย แต่มีสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งทีวี ตู้เย็น กาต้มน้ำ และไดร์เป่าผม ทุกห้อง มีทั้งหมด 17 ห้อง แบ่งเป็นห้อง Value Double Bed เตียงคู่ เข้าพักได้ 2 คน มี 13 ห้อง และห้อง Value Twin Bed มีเตียงเดี่ยว 2 เตียง เข้าพักได้ 2 คน มีจำนวน 4 ห้อง ขนาดห้องทั้ง 2 แบบ อยู่ที่ 12 ตารางเมตร
เดินเข้ามาในซอยอีกเล็กน้อย จะเจอกับตึก Family ห้องพักจะอยู่ที่ชั้น 1 เพื่อความสะดวกในการขนย้ายข้าวของ เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีของเยอะๆ พวกรถเข็นเด็ก หรืออุปกรณ์อื่นๆ เพราะไม่ต้องแบกของขึ้นลงให้เหนื่อย ห้องพักมีให้เลือกทั้งแบบ Family for 3 มีทั้งเตียงคู่และเตียงเดี่ยว สามารถพักได้ 3 คน ขนาดห้อง 20 ตารางเมตร
และห้องพักแบบ Family for 4 ซึ่งมีเตียงคู่ 1 เตียง และ Bunk Bed (เตียง 2 ชั้น) อีก 1 เตียง สามารถเข้าพักได้ถึง 4 คน ขนาดห้อง 22 ตารางเมตร มีจำนวนอย่างละ 4 ห้อง
ส่วนตึกด้านในสุด ที่อยู่ใกล้กับที่จอดรถ คือตึก Delight ซึ่งมี Snack Bar อยู่ที่ชั้น G มีทั้งเครื่องดื่ม ขนม ชา กาแฟ ไว้ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
ตึกนี้มี 5 ชั้น 44 ห้อง โดยแบ่งเป็น Delight King Bed ห้องเตียงคู่ที่รองรับได้ถึง 3 คน มีจำนวน 34 ห้อง และห้อง Delight Twin Bed ห้องเตียงเดี่ยวที่รองรับได้ 3 คน มีจำนวน 10 ห้อง ซึ่งแต่ละห้องมีขนาด 20 ตารางเมตร จุดเด่นของห้อง Delight คือประตูห้องน้ำที่เป็นกระจกบานใหญ่ สามารถส่องได้แบบเต็มๆ ในห้องก็มีทีวี ตู้เย็น ไดร์เป่าผม
สำหรับใครที่อยากทราบเรื่องสถานที่เที่ยวใกล้ๆ หรือร้านอาหาร สามารถสอบถามได้ที่เคาน์เตอร์ที่ตึก Modern ได้เลยครับ มีแผนที่พร้อมพนักงานไว้คอยให้คำแนะนำ นับว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ต้องมาขึ้นเครื่องหรือลงเครื่องที่สนามบินดอนเมือง หรือนักท่องเที่ยวที่ต้อง Transit เพราะสามารถ Check In ได้ตั้งแต่ 7 โมงเช้า และ Check Out เวลา 12:00 น. เดินทางก็สะดวก ราคาประหยัด แต่อัดแน่นด้วยคุณภาพ
สอบถามราคาหรือจองห้องพักได้ที่ www.donmuanghotel.com หรือโทร. 099-116-6365
พิเศษ !! เมื่อจองห้องพักตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มกราคม 2561 เพียงกรอก Promo Code: D1119 รับส่วนลดทันที่ 10% (สามารถเข้าพักได้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2561)
ก่อนจบรีวิว อยากขอนำเสนอ “ร้านค้าประชารัฐสุขใจ” ซึ่งจะมี ในปั๊ม ปตท. ทั่วประเทศหลายแห่ง
สำหรับสินค้าที่จำหน่ายในร้านค้าประชารัฐสุขใจนั้น สสว.ร่วมกับกรมพัฒนาชุมชน และผู้ว่าราชการจังหวัด
ได้คัดเลือกสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์เด่นของแต่ละจังหวัด เพื่อนำมาวางขายในร้านค้าประชารัฐสุขใจ
ประจำจังหวัดนั้นๆ ส่วนสินค้าที่ยังไม่ผ่านการคัดเลือก เพราะอาจมีข้อจำกัดด้านคุณภาพของตัวสินค้า
หรือแพ็คเกจ สสว.จะช่วยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยในพื้นที่
กระทรวงอุตสาหกรรม พช. เป็นต้น เพื่อช่วยพัฒนาและปรับปรุงตัวสินค้า
หากต้องการข้อมูลการท่องเที่ยวเพิ่มเติมเราสามารถไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
TAT Call Center 1672 เบอร์เดียวเที่ยวทั่วไทย หรือ www.tourismthailand.org
ลำพูน-ลำปาง เมืองเล็กๆที่น่ารักทั้งทางธรรมชาติและวิถัความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่น
หยุดยาวปีใหม่นี้ ถ้าได้ผ่าน 2 จังหวัดเล็กๆนี้ อย่าลืมแวะมาแอ่ว หรือถ้าใครกำลังวางแพลนเที่ยวหลังปีใหม่
แนะนำเลยว่า “ลำพูน-ลำปาง” จะไม่ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างเราผิดหวัง ^^
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^