เคยคิดมั้ยว่า วันหยุดพักผ่อนจากการทำงานในวันเสาร์ อาทิตย์
อยากจะไปหยุดชาร์ตแบตชาร์ตพลังชีวิตที่ไหนซักแห่ง แต่อยากจะไปที่ใกล้ๆ
ไม่ต้องขับรถไปไกล มีที่เที่ยวหลากหลาย มีที่ถ่ายรูปชิคๆคูลๆ
สามารถไปได้ทั้งครอบครัว หรือจะพาน้องๆเด็กๆไปเรียนรู้ประสบการณ์นอกห้องเรียน
คราวนี้คงไม่ต้องใช้เวลาคิด 3 วินาที เพราะใบ้มาถึงตรงนี้หลายคนคงมีคำตอบในใจ
แหล่งเรียนรู้ใกล้กรุงที่ผมจะพาหลานๆไปนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลา
หาอดีตของอำเภอที่หลายคนคุ้นชื่อ เพราะถ้าเอ่ยชื่อขึ้นมาทุกคนจะร้องอ๋อออ!!!
เพราะที่นี่คือ…“ไทรโยค” เราจะหนีกรุง นั่งไทม์แมชชีนย้อนอดีต
ตามผมกับหลานๆไปย้อนเวลาหาอดีตของอำเภอที่สำคัญทางประวัติศาสตร์
แต่กลับ (เกือบ) ถูกลืมในปัจจุบัน…
“หนีกรุงไปเที่ยวกาน (กาญจนบุรี) ไทรโยค ดินแดนแห่งความหลัง”
“ไทรโยค” ชื่อนี้ได้มาจากในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ได้เสด็จประพาสน้ำตกไทรโยคน้อย
ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีชื่อ พระองค์ได้ทอดพระเนตรและเห็นต้นไทรที่ขึ้นอยู่ริมธารจึงตั้งชื่อ น้ำตกไทรโยคน้อย
และเมื่อได้มีการจัดตั้งอำเภอขึ้นจึงตั้งชื่ออำเภอตามชื่อน้ำตกไทรโยค
สถานที่ท่องเที่ยวของไทรโยคมีทั้งทางธรรมชาติอย่างน้ำตกไทรโยค ล่องแพแม่น้ำแคว
หรือจะเป็นท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์แบบที่ผมพาหลานๆไปในครั้งนี้
จาก กทม ขับรถมุ่งหน้าสู่ตัวเมืองกาญจนบุรี ประมาณ 2 ชม.
สถานที่แรกที่ผมได้แวะให้เด็กๆได้เที่ยวก่อนเลยคือ สะพานข้ามแม่น้ำแคว
“สะพานข้ามแม่น้ำแคว” เป็นสะพานที่สำคัญที่สุดของเส้นทางรถไฟสายมรณะ
สร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ได้แก่
ทหารอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย ฮอลันดา และนิวซีแลนด์ หลายหมื่นคน
และกรรมกรชาวจีน ญวน ชวา มลายู ไทย พม่า อินเดีย อีกจำนวนมาก มาสร้างทางรถไฟ
เพื่อเป็นเส้นทางผ่านสู่ประเทศพม่า ซึ่งเส้นทางช่วงหนึ่งจะต้องข้ามแม่น้ำแควใหญ่
จึงต้องมีการสร้างสะพานขึ้น การสร้างสะพานและทางรถไฟสายนี้ เต็มไปด้วยความยากลำบาก
ความทารุณของสงครามและโรคภัย ตลอดจนการขาดแคลนอาหาร
ทำให้เชลยศึกหลายหมื่นคนต้องเสียชีวิตลง ><
ถึงอากาศจะร้อนแค่ไหน แต่เด็กๆก็ไม่หวั่น ^^
นักท่องเที่ยวสามารถเดินข้ามบนสะพานแห่งนี้ได้ ซึ่งปัจจุบันได้มีรถไฟใช้วิ่งบนรางนี้อยู่
เป็นขบวนรถไฟประจำ ธนบุรี-น้ำตก หรือ
ขบวนรถนำเที่ยวพิเศษ กรุงเทพ-น้ำตก (มีเฉพาะเสาร์ – อาทิตย์)
สามารถเช็ครอบเวลารถไฟได้จากลิ้งนี้ -> ตารางเวลาเดินรถไฟ
แล้วลงที่ สถานีสะพานข้ามแม่น้ำแคว ซึ่งสถานีอยู่ที่เชิงสะพานข้ามแม่น้ำพอดี
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สะพานข้ามแม่น้ำแควเดิมได้รับความเสียหาย
และรัฐบาลไทยได้ซ่อมแซมใหม่ภายหลังสงครามสิ้นสุดลง จนสามารถใช้งานได้ดังเดิม
ถ้าสังเกตจะเห็นว่าโครงสะพานเดิมนั้นจะเป็นเหล็กโค้ง
ส่วนที่โครงเป็นสี่เหลี่ยมนั้นมาจากการซ่อมแซมหลังเสียหาย
ปัจจุบันสะพานแห่งนี้ได้ถูกยกย่องให้เป็น “สัญลักษณ์แห่งสันติภาพ”
และได้มีการจัดงานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแคว
ซึ่งจัดในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคมของทุกปี
เพื่อรำลึกถึงความสำคัญของการสร้างทางรถไฟสายมรณะ
มีการแสดง นิทรรศการในทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี การแสดงพื้นบ้าน
การออกร้านจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง และการแสดง แสง สี เสียง บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำแควด้วยครับ
สถานีต่อไป ถ้ำกระแซ และทางรถไฟสายมรณะ
ขับรถต่อจากสะพานข้ามแม่น้ำแควมาประมาณ 45 กม. มุ่งสู่ที่หยุดรถไฟถ้ำกระแซ
เป็นที่หยุดรถของทางรถไฟสายมรณะ บริเวณสะพานถ้ำกระแซ
“ถ้ำกระแซ” เป็นถ้ำที่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวเนื่องกับสงครามโลกครั้งที่ 2
เนื่องจากเป็นถ้ำที่อยู่ติดกับบริเวณการสร้างเส้นทางรถไฟที่เป็นช่วงหน้าผาพอดี
ซึ่งเป็นจุดที่สร้างยากและเชื่อกันว่าจุดนี้ เป็นจุดที่อันตรายที่สุดของเส้นทางรถไฟ
อีกทั้งในอดีตยังเคยเป็นที่พักของเชลยศึกเมื่อครั้งสร้างเส้นทางรถไฟสายมรณะจากไทยไปพม่า
ถ้ำกระแซ เป็นถ้ำขนาดเล็ก สามารถเข้าไปไหว้พระขอพรหลวงพ่อถ้ำกระแซ
พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ชาวบ้านในเขตพื้นที่ใกล้เคียงให้ความนับถือ
รวมทั้งนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนมาที่นี่ต่างก็ไม่พลาดที่จะมาไหว้พระขอพรกัน
และจุดไฮไลท์ของที่นี่เลย คือ การเดินบนเส้นทางรถไฟสายมรณะ ที่มีความยาวกว่า 400 เมตร
บนหน้าผา เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดในลำน้ำแควน้อย และมีชื่อเสียงไปทั่วโลก
ใครมาเที่ยวเส้นทางรถไฟสายน้ำตกแล้วไม่ผ่านมาที่จุดนี้ ถือว่ามาไม่ถึงก็ว่าได้ ^^
“ทางรถไฟสายมรณะ” ตอนเด็กๆผมจำความได้ว่าการนั่งรถไฟผ่านตรงนี้มันเสียวขนาดไหน
สะพานไม้เก่าๆ รถไฟวิ่งช้าๆ นักท่องเที่ยวหลายคนตื่นตากับภาพเหตุการณ์นั้น
มาตอนนี้ผมได้มีโอกาสนำหลานตัวน้อยของผมได้มาสัมผัสประสบการณ์จริง
เพียงแต่ไม่ได้ขึ้นไปนั่งในขบวนรถไฟที่ว่า แต่ได้พามาเดินบนรางรถไฟ บนเส้นทางสายมรณะ
*** ข้อควรระวัง ***
ควรเชื่อฟังเจ้าหน้าที่ ห้ามกระโดด หรือวิ่งบนรางรถไฟ และควรระมัดระวังตอนเดินบนรางรถไฟ
การสร้างทางรถไฟสายนี้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากและสาเหตุที่ทำให้คนตายเยอะขนาดนี้
มาจากการขาดแคลนอาหารที่เชลยจะได้กินเพียงข้าวเพียงเล็กน้อย แพทย์ก็ไม่พอ
และยังได้รับการปฏิบัติอย่างป่าเถื่อนจากผู้คุมเชลยศึก และผู้ควบคุมทางรถไฟ
จนกระทั่งก่อสร้างเสร็จใช้ระยะเวลาทั้งหมด 17 เดือน สร้างความยินดีให้กับทหารญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก
แต่ก็ต้องสูญเสียชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนมากเช่นกันในการสร้างทางรถไฟประวัติศาสตร์สายนี้
จนเรียกกันว่า “ทางรถไฟสายมรณะ” ที่ต่างเปรียบเทียบชีวิตคนที่เสียชีวิต จากการสร้างว่า
“หนึ่งหมอนรองรถไฟต่อหนึ่งชีวิต”
ที่นี่เป็นทั้งจุดชมวิวที่มีความสวยงามแห่งหนึ่งและยังเป็นจุดสำคัญทางประวัติศาสตร์อีกด้วย
เมื่อได้เวลาที่รถไฟจะเข้าสถานีถ้ำกระแซ ทั้งนักท่องเที่ยวบนรถไฟขบวนนั้นเอง
และนักท่องเที่ยวที่รอถ่ายรูปตรงบริเวณรางรถไฟ ต่างก็แชะภาพกันรัวๆ
รถไฟขบวนนี้วิ่งช้ามาก เมื่อผ่านช่วงสะพานไม้และทางโค้งของสถานีนี้
ปัจจุบันก่อนที่รถไฟจะเข้าสถานี จะมีเจ้าหน้าที่มาเคลียร์นักท่องเที่ยว ไม่ให้ยืนบนรางรถไฟ
เพื่อป้องกันการเกิดอันตรายต่างๆ ถึงแม้รถไฟจะวิ่งช้าก็ตาม
ทำให้ไม่ต้องรีบร้อนในการถ่ายรูป แต่ควรใช้ความระมัดระวังในการยืนบริเวณนั้นมากกว่า ^^
สถานีสุดท้ายที่รถไฟขบวนนี้มาหยุดก็คือ สถานีน้ำตก หรือที่รู้จักกันก็คือ น้ำตกไทรโยคน้อย
ช่วงนี้น้ำบริเวณน้ำตกไทรโยคน้อยมีปริมาณน้อย ผมจึงไม่ได้แวะเที่ยว
แต่ฝั่งตรงข้ามของที่เที่ยวแห่งนี้ มีจุดพักรถ ซื้อของฝากมากมายหลายร้าน
หนึ่งในนั้นผมขอแนะนำ “ไส้อั่ววุ้นเส้น นพรัตน์” ของฝาก OTOP จากเมืองกาญจน์
มี 3 รสให้เลือกซื้อ ได้แก่ ไส้อั่วหมู ไส้อั่ววุ้นเส้น และไส้อั่วผสม ในราคาแพ็คละ 100 บาท
สามารถแช่ตู้เย็นเก็บได้นานเป็นเวลา 1 เดือน หรือจะซื้อทานเลยระหว่างเที่ยวก็ได้ครับ ^^
ถ้าใครชอบรสเผ็ดหน่อยๆ กลมกล่อม ผมแนะนำ ไส้อั่วผสม
แต่ถ้าใครที่ทานเผ็ดไม่ได้ ต้องลอง ไส้อั่ววุ่นเส้น รสดั้งเดิมเลยครับ
แวะเติมพลังท้องกันได้ที่แล้วก็มุ่งหน้าสู่จุดถัดไป ห่างออกไปประมาณ 20 กม.
มีอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญและเกี่ยวเนื่องกับประวัติศาสตร์
“ช่องเขาขาด พิพิธภัณฑ์สถานแห่งความทรงจำ” สถานที่แห่งนี้ดูแลโดยทหาร
ก่อนเข้าต้องแลกบัตรและเสียค่าบำรุงคันละ 40 บาท เปิดเวลา 8.00 – 16.00 น.
มี 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นส่วนของพิพิธภัณฑ์ ได้รับการออกแบบและสร้างสรรค์
โดยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลออสเตรเลีย เพื่อเป็นที่รวบรวมข้อมูล ภาพถ่าย
สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆในระหว่างการสร้างทางรถไฟสายมรณะ ที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือ
มินิเธียร์เตอร์ที่มีการฉายภาพยนตร์เงียบ ขาวดำ ซึ่งถ่ายทำจากเหตุการณ์จริง
ในระหว่างการสร้างทางรถไฟสายมรณะ
อีกส่วนหนึ่งเป็นทางเดินตามทางรถไฟช่องเขาขาด-สถานีหินตก
จากด้านหลังของพิพิธภัณฑ์มีบันไดเดินลงไปเส้นทางรถไฟสายมรณะ ซึ่งมีการปรับแต่งพื้นที่
เพื่อให้สามารถเดินชมได้สะดวกขึ้นตั้งแต่บริเวณช่องเขาขาดไปจนถึงสถานีหินตก
มีป้ายอธิบายเป็นระยะๆ การเดินไป-กลับตลอดระยะใช้เวลาไม่เกิน 4.30 ชม.
แต่สามารถเลือกเดินระยะสั้น จากพิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาด ไป-กลับใช้เวลาราว 1.30 ชม.
ทางเดินโรยกรวดก้อนใหญ่แบบทางรถไฟทั่วไป สองข้างทางเป็นป่าไผ่และไม้ใหญ่ บรรยากาศร่มรื่น
*** ข้อควรระวัง ***
ควรสวมใส่รองเท้าผ้าใบและเตรียมน้ำดื่มไปเองเพราะตลอดทางไม่มีร้านค้าระหว่างทาง
“ช่องเขาขาด” เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางรถไฟสายมรณะ
ตลอดเส้นทางรถไฟมีหลายจุดที่มีเนินหิน ภูเขา หน้าผา หรือหุบเหว ขวางอยู่จึงต้องขุดให้เป็นช่อง
เพื่อที่รถไฟสามารถวิ่งผ่านไปได้ซึ่งที่ช่องเขาขาด เป็นจุดที่ใหญ่ที่สุดบนเส้นทางนี้
การขุดเจาะช่องเขาขาดใช้เวลานานและล่าช้ากว่ากำหนด โดยงานส่วนใหญ่ล้วนใช้แรงคนทั้งสิ้น
เช่น การสกัดภูเขาด้วยมือ ต้องปีนลงไปสกัดในช่องเขาซึ่งบางช่วงสูงถึง 11 เมตร
ทำงานทั้งช่วงกลางวันที่ร้อนอบอ้าว และช่วงกลางคืนด้วยแสงไฟจากคบเพลิง
ทำให้สะท้อนเห็นเงาของเชลยศึกและผู้คุมบนผนัง ทำให้ที่นี่ได้รับการขนานนามว่า
“ช่องไฟนรก” หรือ “Hellfire Pass” ในภาษาอังกฤษ
บางช่วงยังเหลือร่องรอยของทางรถไฟ ไม้หมอน และเหล็กสกัดของเดิมให้เห็น
ที่จุดเริ่มต้นของเส้นทางเดิน มีหินรูปทรงพีรามิดสีดำตั้งอยู่
เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานและเสียชีวิต ในช่วงเวลานั้น
จุดหมายปลายทางของผมคือ “จุดชมวิวแควน้อย”
ที่เดินเลยจากจุดพีรามิดสีดำมาประมาณ 5 นาที
ที่นี่เมื่อมาถึง ให้ความรู้สึกร่มรื่น มองไปข้างหน้าเห็นต้นไม้เขียวขจี
ถึงแม้ว่าผมไปถึงช่วงบ่าย แต่ก็ยังรู้สึกไม่ได้ร้อนจนเกินไป เพื่อนั่งพักให้หายเหนื่อยและเดินกลับ
จากจุดเริ่มต้นตรงพิพิธภัณฑ์มาถึงจุดชมวิวแควน้อย
ใช้เวลาเดินเท้าไป-กลับ รวมระยะเวลา 1.30 ชม. พอดี ><
ผ่านเรื่องเครียดๆกับประวัติอันแสนเศร้ามามากพอแล้ว เด็กๆเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมา
หลังจากใช้พลังงานไปมากในช่วงที่แล้ว และได้มาที่ร้านอาหารและของฝากขึ้นชื่อ
“ครัวแม่สมสอง หมูพะโล้แดดเดียว” เป็นทั้งร้านอาหารที่เปิดตั้งแต่ 8.00 – 21.00 น.
และขายของฝากสินค้า OTOP ขึ้นชื่ออีกอย่างนั่นก็คือ หมูพะโล้แดดเดียว เจ้าแรกและเจ้าเดียว
ถ้ามาจากทางช่องเขาขาด ร้านอยู่เลยน้ำตกไทรโยคน้อยประมาณ 1 กม. ฝั่งเดียวกับน้ำตกไทรโยคน้อย
แต่ถ้ามาจากทางถ้ำกระแซหรือตัวเมืองกาญจน์ ร้านจะอยู่ถึงก่อนน้ำตกไทรโยคน้อย
ตั้งอยู่เยื้องตรงข้ามสถานีอนามัยท่าเสา มีป้ายด้านหน้าเห็นชัดเจน
หมูพะโล้แดดเดียว ของฝากที่การันตีรางวัลระดับ OTOP มากมาย
และยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการชนะเลิศระดับประเทศด้านการถนอมอาหารในปี 2541
อีกทั้งเมื่อไม่นานมานี้ยังได้ออกรายการครัวคุณต๋อยด้วยนะครับ
ราคาถุงเล็ก ถุงละ 100 บาท ถุงใหญ่ ถุงละ 250 บาท สามารถเก็บได้นาน 3 เดือน
เนื้อหมูที่ใช้คุณภาพดีเป็นหมูส่วนสะโพกหมักกับเครื่องพะโล้ทิ้งไว้ 1 ชม.
และนำไปตากแดดอีก 5 ชม. ก่อนที่จะมาทอดด้วยไฟอ่อนๆไล่เรียงขึ้นมา
จนเป็นของฝากขึ้นชื่อที่ห้ามพลาดเมื่อผ่านมาแถวนี้
บอกไว้เลยว่าถ้าจะหาซื้อมีขายที่นี่ที่เดียว ที่ร้านครัวแม่สมสอง เท่านั้นครับ
เมื่อเด็กๆอิ่มท้องแล้ว ขับรถย้อนกลับมาทางเดิมเพื่อมาชมอีกหนึ่งสถานที่ที่แปลกตา
และผมเองเพิ่งจะรู้ว่าตั้งอยู่ที่ไทรโยค นั่นก็คือ อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์
เปิดเวลา 9.00 – 17.00 น. ค่าเข้าชมคนไทย 10 บาท ต่างชาติ 40 บาท รถยนต์ 50 บาท
“ปราสาทเมืองสิงห์” มีจุดมุ่งหมายสร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธศาสนสถานในพุทธศาสนานิกายมหายาน
มีสถาปัตยกรรมและปฏิมากรรมคล้ายคลึงกับของขอม จากศิลาจารึกปราสาทพระขรรค์
เมืองพระนคร ประเทศกัมพูชา ซึ่งจารึกชื่อเมือง 23 เมือง ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงสร้างไว้
มีเมืองชื่อ ศรีชัยสิงห์บุรี ซึ่งสันนิษฐานกันว่า คือ เมืองปราสาทเมืองสิงห์ นี่เอง
แต่ในสมัยรัชกาลที่ 1 เมืองสิงห์ได้มีฐานะเป็นเมืองหน้าด่าน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5
ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล ดังนั้นจึงยุบเมืองสิงห์
ให้เหลือเป็นฐานะเพียงตำบลหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี
สถานที่นี้มีระบบนำชมแบบพึ่งพาตนเองด้วย QR Code เพียงแค่นำมือถือสแกนตามจุดต่างๆ
ก็จะมีประวัติในแต่ละสถานที่ขึ้นมาให้ฟังให้ชมเรียนรู้กัน โดยมีมากมายหลายภาษา
ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างชาติ งานนี้ฟรีนะครับไม่เสียค่าอะไรทั้งสินยกเว้น 4G
ที่นี่มีโบราณสถาน 4 ที่ และหลุมขุดค้นทางโบราณคดี 1 ที่
ผมจะเริ่มที่ โบราณสถานหมายเลข 2 ที่ตั้งอยู่ด้านข้างโบราณสถานหมายเลข 1
เป็นปราสาทซึ่งมีขนาดเล็กกว่า สภาพค่อนข้างชำรุดมาก
ตัวปราสาท ตั้งอยู่บนฐานเขียง รูปสี่เหลี่ยม ลดหลั่นกัน 2 ชั้นบริเวณด้านหน้ามีลานกว้าง
ก่อนเข้าสู่โคปุระ (ซุ้มประตู) ด้านหน้า บริเวณด้านซ้ายและด้านขวาหลังโคปุระเป็นระเบียงคด
จากการบูรณะได้มีการค้นพบประติมากรรม และแท่นฐาน วางเป็นแนวตามระเบียงคดจำนวนมาก
ส่วน โบราณสถานหมายเลข 3 ปรากฏเหลือเฉพาะส่วนฐาน ซึ่งมีขนาดเล็กก่อด้วยศิลาแลง
และ โบราณสถานหมายเลข 4 จะเหลือเฉพาะแนวก่อของศิลาแลงเท่านั้น
โบราณสถานหมายเลข 1 เป็นปราสาทที่มีความโดดเด่นและสมบูรณ์กว่าโบราณสถานจุดอื่น
ตั้งอยู่บริเวณใจกลางด้านหน้าของตัวเมือง มีชานศิลาแลงรูปกากบาทอยู่ด้านหน้าปราสาท
ถัดไปเป็นกำแพงแก้วล้อมรอบปราสาทและประตูกำแพง
ภายในกำแพงแก้วบริเวณด้านหน้าปราสาทเป็นลานศิลาแลงซึ่งต่อกับโคปุระ
ต่อเนื่องไปกับระเบียงคดซึ่งล้อมรอบตัวปราสาท ส่วนใจกลางคือ ปราสาทประธาน
ซึ่งตั้งอยู่บนฐานปัทม์รูปสี่เหลี่ยม มีมุขยื่นออกไปทั้งสี่ด้าน ส่วนยอดของเรือนธาตุได้ทลายลงไป
เป็นภาพที่แปลกตาที่เห็นปราสาทรูปแบบขอมตั้งอยู่ที่กาญจนบุรี
สถานที่แห่งนี้เมื่อก้าวเข้ามาแล้วรู้สึกถึงความขลัง มีมนตร์เสน่ห์
ส่วนเรื่องของความปราณีตนั้นผมว่าพอๆกับปราสาทพนมรุ้งเลยก็ว่าได้
เพียงแต่ที่นี่มีขนาดที่เล็กกว่า
ภายในปราสาทประธานเป็นที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
ซึ่งตั้งอยู่ด้านในตรงกลางปราสาท
บริเวณภายในปราสาทยังมีบรรณาลัยตั้งอยู่ด้านหน้าติดกับระเบียงคด
ซึ่งเป็นที่เก็บตำรา หรือคัมภีร์ต่างๆในสมัยก่อน
ก่อนกลับผมได้แวะอีกหนึ่งที่เที่ยว ที่จำลองขึ้นมาเพื่อให้ได้บรรยากาศย้อนยุค
เพียงขับรถผ่านจะเห็นประตูเมืองขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า
“เมืองมัลลิกา ร.ศ.124” เป็นเมืองย้อนยุคของวิถีชีวิตชาวสยามบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
ในสมัยรัชกาลที่ 5 วิถีชีวิตของชาวสยามในยุค ร.ศ.124 มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย
ที่เด่นชัดคือ การประกาศเลิกทาส เมื่อทาสได้รับความเป็นไท
พวกเขาต้องใช้ชีวิตอยู่อาศัยและทำมาหากินด้วยตนเอง
ต้องดำรงชีวิตให้อยู่รอด พึ่งตนเอง และอยู่ร่วมกับคนทุกหมู่เหล่า
การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเหล่านี้นับเป็นรากเหง้าสำคัญของคนไทยในยุคปัจจุบัน
เปิดเวลา 9.00 – 20.00 น. ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 250 บาท เด็ก 100 บาท
แต่ถ้าเข้าหลัง 17.30 น. ราคาจะปรับลดลง เป็นผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก ฟรี
แต่เวลาช่วงนี้ร้านค้าจะปิดไปแล้วค่อนข้างมาก ถ้าใครมาเน้นแต่ถ่ายรูปเล่น
ต้องการคนน้อยๆ ผมแนะนำเลยครับว่าเข้าหลัง 17.30 น. จะฟินสุดๆ ^^
อีกหนึ่งกิจกรรมที่ใครมาที่นี่ไม่ควรพลาดคือ เช่าชุดแต่งกายย้อนยุค
ราคาชุดแต่งกายผู้หญิง มีให้เลือก 2 แบบ
ราคา 200 บาท : ผ้าสไบ โจงกระเบน เครื่องประดับ เข็มรัด และร่ม
ราคา 300 บาท : เสื้อแขนหมูแฮม พร้อมแพรสะพาย โจงกระเบน เครื่องประดับ เข็มขัด และร่ม
ราคาชุดแต่งกายผู้ชาย มีให้เลือก 2 แบบ
ราคา 100 บาท : เสื้อกุยเฮง โจงกระเบน และผ้าคาดเอว
ราคา 300 บาท : เสื้อราชปะแตน โจงกระเบน
ราคาชุดแต่งกายของเด็ก
ราคา 50 บาท : เสื้อคอกระเช้าสำหรับผู้หญิง เสื้อกุยเฮงสำหรับผู้ชาย และโจงกระเบน
และเพื่อความเสมือนจริง ต้องนำเงินไปแลกเป็นเงินรูเพื่อใช้จับจ่ายด้านในด้วยครับ
อัตราการแลกเงินรู : 1 สตางค์ = 5 บาท
พร้อมแล้วก็…ยินดีต้อนรับสู่ เมืองมัลลิกา ร.ศ.124 ขอรับ ^^
เมื่อเข้ามาจะพบกับสะพานหันที่พาดข้ามคลองที่มีขายผลไม้แห้งต่างๆ นานาชนิด
พ่อค้าแม่ค้าในเมืองมัลลิกานี้ ทุกคนจะพูดด้วยภาษาโบราณ (แต่ไม่หยาบคาย)
เช่น เจ้าคะ/ขอรับ ลงท้ายเสียง รวมถึงการแต่งกายที่สอดคล้องกับยุคสมัย
ย่านการค้า มีทั้งขนมโบราณสมัยก่อนที่ทำสดๆให้ได้ชมกัน
รวมถึงตึกบริเวณนี้ได้มีรูปแบบที่จำลองมาจากของจริงอย่าง ถนนแพร่งนรา
ถนนแพร่งภูธร ถนนแพร่งสรรพศาสตร์ เป็นต้น ซึ่งเป็นย่านการค้าที่ขึ้นชื่อ
มีสินค้ามาก และทันสมัยในช่วงยุคสมัย ร.ศ.124
และยังมีหอชมเมือง ที่จำลองมาจากหอคอยคุก ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางของเมืองมัลลิกา
ใช้สำหรับชมความสวยงามของเมืองมัลลิกาแห่งนี้
เรือนคหบดี เป็นการจำลองเรือนไทยขนาดใหญ่ที่แสดงวิถีความเป็นอยู่ของชนชั้นปกครอง
ซึ่งมีกิจกรรมบนเรือน เช่น งานใบตอง งานดอกไม้ งานแกะสลักผลไม้
งานเหล่านี้จะใช้จริงในเมืองมัลลิกา
เด็กๆต่างสนุกสนานกับกิจกรรมที่จัดขึ้นในเมืองมัลลิกา
ไม่ว่าจะเป็นการขูดมะพร้าว หรืองานใบตอง อย่างน้อยครั้งหนึ่ง
เค้าก็เคยได้เรียนรู้วิถีชีวิตของคนยุคก่อนมาแล้วในเมืองแห่งนี้
ผมขอแนบเส้นทางสถานที่ต่างๆที่ผมได้ไปเที่ยวมาภายใน 1 วัน
ของอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี สามารถเสิร์ชหาได้จาก Google Map
แล้วปักพิกัดเพื่อเริ่มต้นเดินทางในวันหยุดนี้กันได้เลย ^^
ช่วงเวลานั่งไทม์แมชชีนย้อนอดีต กำลังจะหมดลง เพื่อกลับเข้าสู่โลกปัจจุบัน
ทริปสั้นๆในวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ เพียง 1 วัน แค่นี้ก็ทำให้หลานๆของผม
ได้เรียนรู้ประสบการณ์นอกห้องเรียน ได้เห็นของจริงที่นอกเหนือจากตำรา
รวมถึงได้ไปเที่ยวพร้อมหน้ากันในช่วงเวลาวันหยุดสั้นๆแบบนี้
ขอบคุณชาวบ้านที่น่ารักเมืองกาญจนบุรี ที่ต้อนรับ ยิ้มแย้มตลอดทาง
ขอบคุณเจ้าตัวน้อยหลานๆที่น่ารัก ที่ร่วมสนุกเฮฮา ร่วมป่วนในทริปนี้
ขอบคุณวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ ที่ทำให้ผมได้ไปชาร์ตแบตแล้วพร้อมที่จะกลับมาทำงานต่อไป
สุดสัปดาห์นี้อย่าลืมเพิ่มลิสต์ของอำเภอไทรโยคเข้าไปในแผนเที่ยวนะครับ ^^
เก็บเป๋าหนีกรุงไปเที่ยวกาน…
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^