หากพูดถึงเขาใหญ่ คงจะนึกถึงวิวธรรมชาติที่รายล้อมด้วยขุนเขาน้อยใหญ่
สัตว์ป่านานาชนิด ทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม อากาศบริสุทธิ์ที่ชวนให้พาร่างไปสูดโอโซนให้ชุ่มปอด
พร้อมด้วยอาหารรสเลิศตามร้านต่างๆ และอีกสิ่งหนึ่งที่จะไม่ลืมนึกถึง ก็คงจะเป็นที่พักสวยๆ
บรรยากาศดี สงบ สักแห่ง แล้วเพื่อนๆ หละครับ นึกถึงอะไรกันบ้าง?
วันนี้ผมจะพาไปเช็คลิสต์กับ 5 ร้านเด็ดที่ไม่ควรพลาด ไปดื่มด่ำกับอาหารรสชาติล้ำๆ
พร้อมด้วยมุมถ่ายภาพเก๋ๆ เพื่อเอาไว้อัพลงโซเชี่ยลให้เพื่อนๆ อิจฉาเล่น ^^
ตบท้ายด้วยโรงแรมน้องใหม่ ในเครือที่มีชื่อเสียงของไทย ถ้าอยากรู้แล้วว่าเป็นที่ไหน
ไป….ไปเริ่ม #บันทึกเที่ยว กับ !!! “Dusit D2 เขาใหญ่”
ใช้เวลาขับรถจากกรุงเทพฯ เพียง 2 ชม. เศษๆ ก็มาถึงถนนธนะรัชต์ ซึ่งเป็นประตูสู่เขาใหญ่
ขับเพลินๆ จนมาถึง กม.12 เห็นร้านอาหารและคาเฟ่น่ารักๆ สะดุดตา
1. The Mew Cafe in The Park
ร้านที่มีบรรยากาศสบายๆ ท่ามกลางธรรมชาติ มีครบทั้งเรื่องกิน ชิว ช้อป
ซึ่งทางร้านจะเน้นการคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ และปรุงอาหารแบบสดใหม่สไตล์โฮมเมด
ด้านในของร้านตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ พร้อมด้วยโซฟานุ่มๆ ให้ทิ้งตัวได้อย่างสบาย
ด้านนอกรายล้อมด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม และมีลำธารเล็กๆ ไหลผ่าน
เมนูเด็ดของร้านขอยกให้ Homemade Scone with Three Sauces
สโคนหอมๆ กรอบนอกนุ่มใน รสชาติเยี่ยม เสิร์ฟพร้อมซอส 3 ชนิด ได้แก่
Cream, Passion Fruit Curd และ Mixed Berry Jam หวานหอมเข้ากั๊นเข้ากัน
นอกจากนี้ยังมีเมนูเด็ดๆ อย่างพิซซ่าหน้าแซลมอน แป้งบางกรอบ ปลาแซลมอนสด
จานต่อมาเป็นข้าวเหนียวหมูย่างจิ้มแจ่ว อาหารบ้านๆ ที่ทานเพลิน เผลอแป๊บเดียว เกลี้ยงจานซะงั้น
และอีกหนึ่งเมนูก็คือสปาเก็ตตี้เบค่อน ที่เส้นสปาเก็ตตี้นุ่มกับซอสรสกลมกล่อม
สำหรับเครื่องดื่มเป็นน้ำอัญชันมะนาว ให้ความสดชื่นได้เป็นอย่างดี
และของหวานที่แนะนำให้ลิ้มลองนอกจากสโคนแล้วก็ Chocolate Lava
นอกจากนี้ ที่ด้านข้างยังมีร้านขายของให้ได้เลือกซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านอีกด้วย
ถัดมาไม่ไกล ประมาณ กม.4 มีร้านอาหาร ที่เค้าว่าเป็นเสมือนแลนด์มาร์คแห่งใหม่
2. Ribs Mannn
หากใครที่เคยได้ยินชื่อของร้าน Smoke House ย่อมไม่ควรพลาดกับร้านใหม่ที่มาแทนที่
บรรยากาศของร้านดูโอ่อ่า หรูหรา รายล้อมด้วยภูเขา ร่มรื่น ตัวร้านมีทั้งแบบ indoor และ outdoor
ในช่วงปลายปีหรือหน้าหนาวก็จะมีดนตรีสดมาเล่นให้ฟังเพลินๆ ด้วย
อาหารที่แนะนำ คือ เบอร์เกอร์หมูเนื้อนุ่ม ฉ่ำลิ้น เสิร์ฟพร้อมเฟรนฟรายส์อวบๆ
รสชาติอาหารไม่ต้องพูดถึง เอาใจไปเลยเต็มๆ หลังจากฟินกับของคาวแล้ว
ก็มาต่อกันที่ของหวานอย่างบิงซูที่มีทั้ง Oreo บราวนี่ ราดด้วยซอสคาราเมล ตกแต่งน่ารัก
พร้อมเครื่องเคียงครบเซ็ต น้องๆหนูๆ เห็นแล้ว คงอดใจไม่ไหวแน่
ต่อมาอีกร้านที่เด็ดไม่แพ้กัน นั่นก็คือ มีเมนูอาหารแต่ละอย่างน่าทานมาก เลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียว
3. Midwinter Green
เมนูที่เลือกในครั้งนี้ คือ สลัดแซลม่อน ที่มีผักนานาชนิด สด อร่อย
และพลาดไม่ได้กับเมนูไฮไลท์อย่างพิซซ่ามิดวินเทอร์ พิซซ่าแบบพัฟ ที่เป็นซิกเนเจอร์ของร้าน
ขอแถมอีกหนึ่งเมนูที่ไม่ควรพลาด นั่นคือ ทีโบนเสต็ก ที่หมักจนได้เนื้อหมูที่นุ่ม ไม่เหนียว
แค่หั่นลงไปก็รู้สึกได้ถึงความนิ่ม ฉ่ำของเนื้อหมู เสิร์ฟพร้อมมันบด และสลัดผัก
หลังจากทานอิ่ม ลองออกมาเดินเล่นรอบๆ ร้าน ซึ่งมีจุดให้ถ่ายรูปมากมาย
ราวกับได้หลุดเข้าไปอยู่ในเทพนิยาย เสมือนเจ้าชายที่กำลังเดินตามหาเจ้าหญิง
ในปราสาทอันกว้างขวางใหญ่โต ^^
มาต่อกันที่ร้านถัดไป สำหรับใครที่อยากลิ้มรสอาหารไทย และเครื่องดื่มอร่อย ขอแนะนำ
4. Coffee in the Garden
ร้านกาแฟในสวน ตัวร้านเป็นอาคารไม้ชั้นเดียว มีการนำสังกะสีมาประดับเก๋ๆ
อาหารที่มาลองในวันนี้คือ ขนมจีนน้ำยาปู เนื้อปูเยอะถูกใจมากครับ
ส่วนเครื่องดื่ม ได้ลองสั่งลาเต้เย็นกับช็อคโกแลตโฟลท รสชาติหวานมัน ชื่นใจ
ขอตบท้ายด้วยร้านไอศกรีมที่ไม่เหมือนใคร
5. Bar I Tim
ซึ่งเมนูทีเด็ดของร้านคือ สามแซ่บ ที่มีไอศกรีมรสชาติสุดเอ็คคลูซีฟ
อย่างมะม่วงน้ำปลาหวาน มะยมพริกเกลือ และกระท้อนทรงเครื่อง รสชาติกลมกล่อม
ครั้งแรกที่ไปไอศกรีมกระท้อนทรงเครื่องหมด เลยได้มะเฟืองมาแทน
ครั้งนี้เลยต้องแก้มือให้ได้ แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ จบมื้อแบบสบายท้องไปตามๆ กัน
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องของที่พักในทริปนี้กันบ้าง ครั้งนี้ผมได้มีโอกาสมาพักที่โรงแรมแถวเขาใหญ่
โรงแรม Dusit D2 เขาใหญ่
เป็นโรงแรมรูปแบบใหม่ในเครือดุสิต ที่เน้นความ Modern ตั้งอยู่ใกล้อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
มีทิวทัศน์แนวเทือกเขาใหญ่ที่สวยงาม ซึ่งได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกอีกด้วย
อีกหนึ่งข้อดีคือ ทางโรงแรมอนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้ามาพักได้
ไม่ต้องปล่อยให้น้องๆ รอเหงาอยู่ที่บ้านอีกต่อไป ^^
ด้านหน้าโรงแรมมีน้ำพุคอยต้อนรับแขกที่มาเยือน บริเวณ Lobby เป็นแบบเปิดโล่ง
ตกแต่งด้วยหินอ่อน ให้ความรู้สึกหรูหรา สบายตา เดินมาถึงพนักงานก็ต้อนรับด้วย Welcome Drink
ที่เป็นน้ำตะไคร้ ให้ความรู้สึกสดชื่น หายเหนื่อยจากการเดินทางเป็นปลิดทิ้ง
โรงแรมแห่งนี้มีห้องพักหลากหลายรูปแบบ จำนวนรวม 79 ห้อง ตกแต่งแบบทันสมัย มีให้เลือกทั้งแบบ
ดีลักซ์ (Deluxe) 75 ห้อง , ดี คอร์เนอร์ สวีท (D’ Corner) 2 ห้อง และ
แบบดูเพล็กซ์ สวีท
(Duplex) 2 ห้อง ทุกห้องเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
ตัวตึกมีทั้งหมด 4 ตึก ตึก 1 และ 2 อยู่ทางซ้ายของ Lobby สามารถเดินไปได้
แต่ทางโรงแรมมีบริการรถกอล์ฟ ส่วนตึก 3 และ 4 อยู่ทางขวาของ Lobby ใกล้บริเวณที่จอดรถ
ตัวอาคารมีลิฟต์บริการทุกอาคาร
ห้องพักที่ผมเข้าพักครั้งนี้เป็นแบบ Deluxe พอเปิดประตูเข้าไปก็สะดุดตากับอ่างน้ำที่อยู่กึ่งกลางของห้อง
สามารถแช่น้ำมองวิวเขาใหญ่ได้อย่างชิว แต่หากต้องการความเป็นส่วนตัว
ก็สามารถลากผ้าม่านขนาดใหญ่มากั้นระหว่างห้องนอนกับห้องน้ำได้ครับ
วิวห้องนอน สวยงามตามท้องเรื่อง มองออกไปนอกห้อง จะเห็นผืนหญ้ากับภูเขา
พร้อมด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม สบายตา สบายปอดจริงๆ ^^
ถ้าห้องอยู่ชั้นบนจะมีระเบียงส่วนตัว ให้สามารถออกไปนั่งชมวิวให้ชุ่มปอดได้เต็มที่
แต่ถ้าห้องอยู่ชั้นล่าง จะสามารถเดินออกไปที่สวนด้านหลังได้ มีดีคนละสไตล์
ห้องอาบน้ำมีทั้งฝักบัวธรรมดาและ Rain Shower
ประตูห้องอาบน้ำใช้ประตูร่วมกับห้องสุขา สามารถเปิดกลับไปกลับมาได้
อุปกรณ์เครื่องใช้ในห้องก็มีให้พร้อมแทบไม่ต้องขออะไรเพิ่มจากทางโรงแรมเลย
มาเรื่องของอาหารกันดีกว่า ที่นี่มีกิมมิคเก๋ๆในการรับประทานอาหารเย็นแบบสุดพิเศษใน รังไหม (Cocoon)
บนยอดไม้
ที่เสิร์ฟอาหารนานาชาติแบบเซ็ต ให้บริการในช่วงเวลา18:00-22:00 น.
จากที่ดูมาบรรยากาศสวยงามเกินบรรยาย หากมีโอกาสได้ไปอีกครั้ง
รับรองไม่พลาดดินเนอร์ที่นี่สักมื้อเป็นแน่ หากใครสนใจขอแนะนำให้โทรมาจองล่วงหน้านะครับ
ในส่วนห้องอาหารหลักของที่นี่มีชื่อว่า Musi Grill นำเสนออาหารรสเลิศ
พร้อมห้องที่แบ่งเป็นส่วนตัว
ที่รองรับได้ถึง 6 ท่าน มีทั้งโซนด้านในและโซนด้านนอกรับลมเย็นสบาย
เป็นห้องอาหารแบบ All Day Eating ที่ให้บริการทั้งมื้อเช้า กลางวันและเย็นในที่เดียวกัน
เริ่มที่อาหารเช้า ซึ่งจะให้บริการแบบ International Buffet
มีทั้งสลัดผักสด ขนมอบหลายหลากแบบ อาหารไทย จีน ฝรั่ง มีให้เลือกมากมาย พร้อมทั้งซีเรียล
และน้ำผลไม้ต่างๆ ด้านนอกยังมีซุ้มอาหารพิเศษที่ผลัดเปลี่ยนกันไปในแต่ละวัน
อย่างก๋วยเตี๋ยว และน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋
สำหรับเมนูประเภทไข่ มีให้เลือกทั้ง Fried Egg, Omelet, Scramble Egg และ Boiled Egg
อีกทั้งยังสามารถสั่ง Side Dishes เพิ่มเติมได้ทั้ง Chicken Sausage, Ham, Bacon และ Potatoes
ในส่วนของอาหารมื้อค่ำ ผมได้ทานทั้ง 2 คืนที่เข้าพัก ซึ่งทุกคืนวันศุกร์และวันเสาร์จะมีดนตรีสด เพลงชิวๆ
ทานข้าวไป ฟังเพลงไป ได้บรรยากาศสุดๆ
รวมถึงมี BBQ Set และส้มตำ ให้ได้ลองสั่งมาทาน คู่กับอาหารด้วยครับ
โดย BBQ นี้จะมีเฉพาะแค่วันศุกร์และวันเสาร์เท่านั้น มีทั้งหมู ไก่ คอมโบและข้าวโพดปิ้งกลิ่นหอมๆ
คืนแรกผมลองสั่งเมนูแนะนำจากทางโรงแรมที่เป็นอาหารยุโรปอย่าง
ซุปครีมข้นกุ้ง ซีซ่าร์สลัด ปลาหมึกทอด พาสต้าไก่ย่างกับซอสโหระพา และ
พิซซ่า MIX ที่แบ่งหน้าครึ่งถาดระหว่าง D2 KY กับฮาวายเอี้ยน แป้งบางกรอบ
หอมชีส อร่อยสุดๆ แถมยังสามารถดูเชฟปั้นแป้งพิซซ่าและเอาเข้าตู้อบได้จากด้านหน้าด้วยครับ
ส่วนอาหารไทยที่ได้ลิ้มลอง ผมลองแต่เมนูที่แนะนำจากทางโรงแรม เช่น
D2 รวมมิตร ที่มีทั้งสะเต๊ะไก่ ปอเปี๊ยะ ทอดมันกุ้ง และหมูแดดเดียว
ต่อด้วยผัดไทยกุ้งสดที่ให้กุ้งแบบไม่กั๊ก กุ้งผัดซอสมะขามก็อร่อยสุดๆ และปลากะพงขาวย่างชิ้นใหญ่ๆ
ปิดท้ายด้วยขนมหวานอย่าง Crème Brule หวานหอมอร่อยเข้าคู่กับ
เครื่องดื่มที่สั่งมาทานคู่กันอย่าง Cinderella และ Banana Milk Shake หอม สดชื่นนนนน ^^
มองไปทางสระน้ำ ก็จะพบกับบาร์เครื่องดื่ม D Bar ที่ตกแต่งอย่างมีสไตล์
ราวกับสังสรรค์กันอยู่ในสระน้ำเลยทีเดียว เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่
7.00-21.00 น.
แต่ถ้าวันไหนมีฝนตกลงมาโปรยปราย ก็จะปิดให้บริการในส่วนนี้ครับ
สามารถจิบเครื่องดื่มค็อกเทลที่ถูกผสมโดยผู้เชี่ยวชาญ หรือลิ้มลองรสไวน์ของเขาใหญ่
ในบรรยากาศที่เงียบสงบท่ามกลางสายลมแห่งขุนเขา ไม่ว่าจะช่วงกลางวันหรือกลางคืน
ก็สามารถดื่มด่ำความสุขได้ในท่ามกลางธรรมชาติของขุนเขาแห่งนี้ ฟินเลยครับ ^^
ที่ด้านข้างของห้องอาหาร เป็นสระว่ายน้ำกลางแจ้ง ที่ยาว 27 เมตร
มาพร้อมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของขุนเขา
สระที่นี่เป็นสระน้ำเกลือ (ไม่ใช่คลอรีน) ไม่ต้องกลัวผิวเสีย
หรือใครที่อยากจะนั่งชิวๆ ริมสระ พร้อมหนังสือเล่มโปรด หรือเพลงเพราะๆ
ที่นี่ก็มีที่นั่งให้เลือกมากมายหลายแบบ ทั้ง Day Bed ที่อยู่ในสระ
Bean Bag ด้านข้างสระ หรือเตียงนอนยาว ให้เอนกายได้อย่างสบายอารมณ์
นอกจากนี้ยังมีระเบียงชมวิว ไว้ให้ถ่ายรูปสวยๆ อีกด้วย
ลูกค้าที่เข้าพักสามารถเพลิดเพลินกับกิจกรรมต่างๆ ที่มีให้เลือกมากมายที่มีใน Dusit D2 อาทิเช่น
การเยี่ยมชมฟาร์มเลี้ยงอัลปาก้า ที่สามารถเข้าไปได้อย่างใกล้ชิด
หรือจะเป็นห้อง Fitness ที่มีอุปกรณ์ออกกำลังกายครบครัน
พร้อมด้วยโซนโยคะ และ Spa
ไว้คอยให้บริการอีกด้วย
ไฮไลท์สำหรับผู้ที่เข้าพักที่ดุสิตนี้กับกิจกรรมยอดฮิตอย่าง การปีนหน้าผาจำลอง
ซึ่งทางโรงแรมมีอุปกรณ์ให้ครบทั้งรองเท้าปีนหน้าผา และอุปกรณ์ที่จำเป็น
การปีนหน้าผาจำลองที่นี่มี 3 ขั้น เรียงตามความง่ายไปหายาก จากซ้ายไปขวา
ตอนแรกดูเหมือนจะง่าย แต่พอลองจริงก็เหนื่อยเอาการเลยทีเดียว มีทั้งแบบลองปีนเอง
โดยมีเจ้าหน้าที่คอยช่วย สรุปคือไปไม่รอดครับ 555 และผมได้ขอให้ผู้เชี่ยวชาญของทางโรงแรม
สาธิตให้ดูรอบนึง พี่เค้าขึ้นง่ายเลย แตกต่างกับพวกผมที่กว่าจะปีนขึ้นไปได้ถึงครึ่งทางก็เก่งแล้ว ><
และนอกจากนี้ทางโรงแรมยังมีกิจกรรมจักรยานให้ยืมปั่นรอบๆตัวโรงแรม
มีที่จอดจักรยานโดยเฉพาะ และมีโซนที่นำสัตว์เลี้ยงมาเดินเล่นในบริเวณลานหญ้าอีกด้วย
พูดได้ว่าที่นี่ตอบโจทย์ของการมาพักผ่อนอย่างแท้จริง ^^
เวลาแห่งความสุขได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นเคย หลายคนไปเขาใหญ่เพื่อพักผ่อน
เพื่อสังสรรค์กับเพื่อนๆ / ครอบครัว เพื่อจัดงานเลี้ยงที่ทำงาน หรือเพื่อไปฮันนีมูน
ที่นี่ล้วนตอบโจทย์การเข้าพักทุกรูปแบบ แบบที่ว่าคือหลังพิงเขาหน้ามองท้องฟ้า
และหลับตาสูดลมหายใจลึกๆให้ชุ่มปอดเพื่อน้อมรับกับวันพักผ่อนที่ดีวันนึง…
“Dusit D2 เขาใหญ่”
พิเศษช่วงนี้ Dusit D2 เขาใหญ่ มีแพคเกจ “คัมแอนด์เซเลเบรด มายเฟิสท์เบิร์ดเดย์”
เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 1 ปีที่โรงแรมเปิดให้บริการ ราคาห้องพักเริ่มต้นที่ 3,200 บาท
รวมอาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน และบัตรกำนัลรับประทานอาหารมูลค่า 500 บาท ต่อวัน
เริ่มวันนี้ – 30 พย. 2560 เมื่อจองผ่าน www.dusit.com
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^