ถ้าฝุ่นกรุงเทพฯ จะเยอะขนาดนี้ เราหนีไปพักผ่อนที่ เชียงใหม่ กันดีกว่า แม้ว่าจะยังมีฝุ่นกวนใจบ้าง แต่ก็ยังน้อยกว่ากรุงเทพฯ อยู่พอสมควร ยิ่งช่วงนี้ดอกไม้หลากสีบานให้เห็นกันเต็มไปหมด ทั้งดอกนางพญาเสือโคร่ง ดอกคัตเตอร์ ดอกมากาเร็ต ฯลฯ ใครที่ติดตามเรามาอย่างต่อเนื่อง คงจะเห็นว่าเรารีวิวต่างประเทศมาเยอะแล้ว ช่วงนี้เลยขอเปลี่ยนบรรยากาศมาเที่ยวในไทยกันบ้าง แต่จะลงใต้ ไปทะเลก็บ่อยเกินไป ครั้งนี้เลยขอขึ้นเขา ไปชมทุ่งดอกไม้ ชิมอาหารเหนือ สัมผัสบรรยากาศแบบล้านนากันบ้าง พร้อมทั้งอัพเดท…“เชียงใหม่ มุมมองใหม่” ที่ไม่ได้มีแค่วัดวาอาราม ให้เหล่านักท่องเที่ยวได้ออกไปสัมผัสความสวยงามแบบที่ไม่เคยเห็นในเชียงใหม่มาก่อน
เราเดินทางโดย การบินไทย ด้วยเหตุผลที่เป็นสายการบินที่ให้บริการแบบ Full Service มีบริการอาหารร้อนบนเครื่อง อีกทั้งยังรวมน้ำหนักกระเป๋ามาให้เรียบร้อย ส่วนเรื่องราคา ขอบอกเลยว่าเดี๋ยวนี้ราคาการบินไทยในประเทศไม่แพงอย่างที่คิด ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ขาละ 2,xxx เท่านั้น เวลาเดินทางก็มีให้เลือกตลอดทั้งวัน ทั้งเช้า สาย บ่าย เย็น เราเลือกโดยสารในชั้นธุรกิจ เครื่องที่นั่งเป็นรุ่น AIRBUS A330-300 ผังที่นั่งชั้นธุรกิจเป็นแบบ 2-2-2 เบาะที่นั่งเอนได้เยอะ แต่ไม่ถึง 180 องศา มีบริการอาหารและเครื่องดื่ม ใช้เวลาเดินทางแค่ชั่วโมงเศษๆ ก็มาถึงสนามบินเชียงใหม่แล้ว ใครอยากรู้ว่าชั้นธุรกิจของการบินไทยเขาบริการประทับใจอย่างที่คนอื่นว่ากันหรือไม่ ลองบินในประเทศดูก่อน เดี๋ยวติดใจค่อยไปต่างประเทศกันยาวๆ ละกันเนอะ
แน่นอนว่าก่อนจะเดินทาง เราต้องทำการเช็คอินกันล่วงหน้า แต่เดี๋ยวนี้ใช่ว่าจะต้องเช็คอินออนไลน์ผ่านหน้าเว็บไซต์ของสายการบินเท่านั้น เพราะเราสามารถเช็คอินออนไลน์ผ่านทาง Application ของ Traveloka ได้แล้ว แต่ต้องซื้อตั๋วเครื่องบินผ่านทาง Traveloka เท่านั้น ซื้อผ่านช่องทางอื่นไม่สามารถทำเช็คอินออนไลน์ได้นะ ซึ่งตั๋วเครื่องบินของทาง Traveloka มีทั้งชั้น Economy , Premium Economy , Business และ First Class อย่างรอบนี้ผมจองชั้นธุรกิจของสายการบินไทยไป เชียงใหม่ (BKK – CNX – BKK) กับทาง Traveloka -> https://www.traveloka.com/th-th/flight/to/Chiang-Mai.CNX/
หลายคนอาจสงสัยว่าจำเป็นต้องเช็คอินออนไลน์ด้วยเหรอ แค่ไปต่อแถวที่เคาน์เตอร์สนามบินได้มั้ย? จริงๆ แล้วเราสามารถเช็คอินล่วงหน้าทางออนไลน์หรือไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์ที่สนามบินก็ได้ แต่หลายคนคงอาจจะเคยเห็นแถวเช็คอินที่สนามบินแล้วว่าจะมีช่องเช็คอินธรรมดา และช่อง Baggage Drop หากเราได้ทำการเช็คอินออนไลน์ไว้ล่วงหน้า เราก็จะสามารถเข้าช่อง Baggage Drop ได้เลย ทำให้มีเวลาเหลือก่อนขึ้นเครื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีที่เราไม่มีกระเป๋าที่จะโหลด เราก็ไม่ต้องเสียเวลามาเช็คอินที่เคาน์เตอร์ เพราะเราสามารถใช้ Boarding Pass แบบออนไลน์หรือปริ้น Boarding Pass ออกมา (แล้วแต่ข้อกำหนดของแต่ละสายการบิน) ผ่าน Scan กระเป๋า และ ตม. แล้วรอจนถึงเวลา Boarding ก็สามารถเดินเข้า Gate ได้สบายๆ นับเป็นบริการที่สะดวก รวดเร็ว ช่วยทำให้การเดินทางง่ายขึ้นกว่าที่เคยด้วย
สามารถเช็คอินออนไลน์กับ Traveloka โดยตรง ผ่าน Application หรือหน้าเว็บที่ https://www.traveloka.com/th-th/checkin ได้เลย ซึ่งขั้นตอนก็ไม่ยุ่งยาก ทำตาม 5 Steps นี้ ก็ได้บัตรโดยสารออกมาเป็นที่เรียบร้อย
การเดินทางในเชียงใหม่ครั้งนี้ เราใช้บริการรถเช่าของ Thai Rent A Car ที่ได้มาตรฐาน มีรถให้เลือกหลายขนาดทั้งเล็กและใหญ่ตามความต้องการ ราคาเริ่มต้นแค่ 650 บาท ต่อวันเท่านั้น การจองก็ทำได้ง่ายๆ ผ่านทางเว็บไซต์ www.thairentacar.com หรือทาง Call Center หมายเลข 1647 ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
เนื่องจากเราไปกันแค่ 2 คน เลยเลือกจองรถ Toyota Yaris เครื่อง 1,200 CC. ซึ่งประหยัดทั้งน้ำมันและค่าใช้จ่าย เมื่อไปถึงเคาน์เตอร์ แจ้งชื่อและหมายเลขการจอง พร้อมทั้งยื่นใบขับขี่ และบัตรเครดิตเพื่อกันวงเงิน ตามด้วยเซ็นต์เอกสารนิดหน่อย ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที เดินไปรับรถที่ลานจอดรถซึ่งอยู่ตรงข้ามประตูทางออกได้เลย (ไวมาก) พอถึงลานจอดปุ๊บ เจ้าหน้าที่ของบริษัทก็มายืนรอเราที่รถแล้ว สภาพรถใหม่มาก ทั้งภายนอกและภายในสะอาดเนี้ยบ ที่เก็บสัมภาระด้านหลังกว้างขวาง ใส่กระเป๋า 2 ใบใหญ่ได้สบายๆ
อีกข้อดีของการเช่ารถ คือ สะดวกเวลาที่เราเดินทางไปเที่ยว สามารถปรับเปลี่ยนแผนการเดินทางได้อย่างคล่องตัว จะรับ/คืนรถก็ไม่เสียเวลาแต่อย่างใด ใครชอบความคล่องตัวและอยากเที่ยวได้หลายๆ ที่ แนะนำเช่ารถขับเอง สบายสุดๆ
สถานที่แรกที่เราไปเที่ยวกัน คือ สุรชัยฟาร์ม 2 ซึ่งเป็นทุ่งดอกมากาเร็ตหลากสี นับเป็นไฮไลท์เลยทีเดียว เพราะตอนที่ลงรูปนี้ใน Facebook ส่วนตัว มีคนถามกันเข้ามามากมายว่าอยู่ที่ไหน ที่แห่งนี้มีความพิเศษกว่าที่อื่นๆ คือ เป็นทุ่งดอกมากาเร็ตสีรุ้ง เพราะเขาจะคุมสีดอกไม้ในแต่ละแปลง เมื่อถึงฤดูที่ดอกไม้ออกดอก ก็จะเห็นเป็นเหมือนรุ้ง นับเป็นมุมถ่ายภาพที่ดูสวยงามมากๆ และเป็นจุดเช็คอินใหม่ที่ไม่ควรพลาด ในบริเวณฟาร์มจะมีนั่งร้านไว้ให้เราสามารถขึ้นไปถ่ายรูปได้ สายถ่ายรูปฟินแน่เพราะทางฟาร์มเขาเตรียมพร็อพไว้ให้เราได้เลือกไปใช้ประกอบการถ่ายรูปเพียบ ทั้งมงกุฎ ช่อดอกไม้ ร่ม เก้าอี้นั่งกลางสวน ฯลฯ
ใครจะมาที่นี่ ลองตามข่าวอัพเดทกันที่หมายเลขโทรศัพท์ 083-865-5087 เพราะถ้าฟาร์มนี้เขาเก็บเกี่ยวแล้ว อาจจะต้องขยับไปที่ฟาร์ม 3 นะจ้ะ สุรชัยฟาร์ม 2 เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 07.00-18.00น. ค่าเข้าชมคนละ 50 บาท (ไม่ต้องจองล่วงหน้า) โดยทางฟาร์มจะมีน้ำดื่มและขนมให้บริการด้วย สามารถนั่งเล่นพร้อมชมดอกไม้สวยๆ ได้อย่างลืมเวลากันเลย
อีกหนึ่งฟาร์มที่ยังคงฮิตไม่เลิก นั่นก็คือ I LOVE FLOWER FARM สวนดอกไม้ขนาด 8 ไร่ ที่โดดเด่นด้วยดอกคัตเตอร์สีขาวละมุน ดอกมาร์กาเร็ต สีม่วงอ่อน และดอกลาเวนเดอร์สีม่วงสด ที่นี่จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวเพียง 200 คนต่อวันเท่านั้น เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยเราจะต้องจองคิวผ่านทาง Inbox ของ Facebook Page: I love flower Farm หรือโทรสอบถามที่เบอร์ 082-897-2679, 088-266-7885 โดยการเข้าไปชมสวนนั้นต้องมาจอดรถที่ลานกว้างชุมชน และนั่งรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง เข้าไปชมในแต่ละสวน เพื่อลดการจราจรแออัดบริเวณสวนแถบนั้น
ที่นี่มีมุมถ่ายรูปให้เลือกมากมาย และด้วยความที่มีพื้นที่มาก ทำให้คนไม่แออัดกันมากนัก สวนดอกไม้นี้สามารถมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี เพราะเขาจะปลูกดอกไม้สลับสับเปลี่ยนกันไปในแต่ละฤดู
เปิดให้บริการทุกวันเวลา 9.00-18.00 น. ค่าเข้าชมคนละ 70 บาท โดยจะได้รับน้ำดื่มสมุนไพร และขนมพื้นบ้าน (จะแตกต่างกันในแต่ละวัน) คนละ 1 เซ็ต
ใครที่ชื่นชอบความงามของดอกนางพญาเสือโคร่งหรือดอกซากุระเมืองไทย ต้องไม่พลาดกับ ขุนช่างเคี่ยน หรือชื่ออย่างเป็นทางการ คือ สถานีวิจัยและศูนย์อบรมเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ช่วงเวลาที่จะเห็นดอกพญาเสือโคร่งบานสะพรั่ง คือ ช่วงเดือนมกราคม ถึง ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเราจะได้เห็นดอกนางพญาเสือโคร่งสีชมพูสด บานสะพรั่งเต็มต้นตลอดทาง
ระหว่างทางเราแวะกันที่คาเฟ่น้องใหม่ อย่างร้าน Klin Mai Hom Cafe & Bar หรือที่บางคนเรียกกันว่า “คาเฟ่สวนดอกไม้ในกล่องดำ หรือพาวิลเลียนสีดำ” ด้านนอกมีลักษณะเหมือนเป็นกล่องสีดำใหญ่ๆ ดูน่าค้นหา พอเดินผ่านประตูเข้าไปด้านใน จะเจอกับงานเซรามิคจัดตั้งโชว์แต่ค่อนข้างมืด ส่วนด้านในสุดเป็นคาเฟ่ในบรรยากาศเรือนเพาะชำสีขาวสว่างตา รายล้อมไปด้วยพืชพรรณนานาชนิดที่ส่งกลิ่นหอมต้อนรับฤดูหนาว มีโครงสร้างฝ้ากึ่งโปร่งใส ทำให้แสงส่องเข้ามาในสวนเพื่อให้เกิดเอฟเฟคที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา
บริเวณโดยรอบ มีโต๊ะนั่งกระจายอยู่ ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัด มุมถ่ายรูปก็เยอะ บางจังหวะจะมีไอน้ำพ่นออกมา ให้ความสดชื่น ชุ่มฉ่ำ เราสามารถสั่งเครื่องดื่มได้ที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า เมนูที่เราสั่งคือ กาแฟอัญชัน และแดงโซดามะนาว คาเฟ่นี้ตั้งอยู่ในซอยวัดร่ำเปิง เลยบ้านข้างวัดไปเล็กน้อย อยู่ฝั่งตรงข้ามโครงการลานดิน เปิดให้บริการเวลา 8.00-20.00 น.
เที่ยวมาเต็มอิ่มแล้ว มาดูที่พักของเรากันบ้างดีกว่า ครั้งนี้เราพักที่โรงแรมดุสิตทั้ง 2 แห่ง คือ Dusit D2 และ Dusit Princess ซึ่งได้อารมณ์ที่แตกต่างกัน เริ่มจาก Dusit D2 ซึ่งเป็นโรงแรม 5 ดาว ตั้งอยู่ใจกลางเมืองที่ถนนช้างคลาน ห้องพักมีมากถึง 131 ห้อง มีให้เลือกทั้งห้องแบบ ดีลักซ์ คลับดีลักซ์ สตูดิโอสวีท และดี สวีท ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ บริเวณ Lobby ตกแต่งด้วยสีส้มผสมเอิร์ธโทน ให้ความรู้สึกสดใส กระปรี้กระเปร่า มีพื้นที่กว้างขวาง ให้ความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบาย ด้านในมีบาร์ขนาดย่อม สามารถมานั่งเล่น คุยงาน หรือพักผ่อนได้อย่างชิลๆ
มาดูห้องพักกันบ้าง ห้องที่เราพักครั้งนี้เป็นห้องสวีท อยู่ชั้นบนสุดของโรงแรม มีพื้นที่ใช้สอยทั้งหมด 64 ตารางเมตร แบ่งเป็นห้องนั่งเล่น ห้องนอน และห้องน้ำ พอเปิดประตูเข้ามาปุ๊บ จะเจอกับมินิบาร์อยู่ในตู้ทางด้านด้านซ้าย ซึ่งมีทั้งตู้เย็น กาต้มน้ำ และกระติกน้ำแข็ง ถัดเข้ามาเป็นห้องนั่งเล่น มีโต๊ะนั่งทำงานพร้อมกล่องใสสีส้มที่ใส่ของที่ระลึกเซอร์ไพรซ์ในแต่ละวัน บริเวณริมหน้าต่างมีโซฟาสำหรับริมนั่งเล่นพร้อมเคาน์เตอร์ชา กาแฟ ถัดไปด้านในเป็นห้องนอน ซึ่งสามารถปิดประตูเพื่อกั้นระหว่างห้องนอนและห้องนั่งเล่นได้ กลางห้องเป็นเตียงแบบ King Size นุ่มๆ พร้อมด้วยโซฟาริมหน้าต่าง
ส่วนของห้องน้ำ แบ่งโซนแห้งและเปียก มีอ่างอาบน้ำอยู่ติดกับหน้าต่าง สามารถแช่ตัวเพื่อความผ่อนคลาย พร้อมดูโทรทัศน์ในห้องนอนได้เพลินๆ Amenities ต่างๆ มีให้อย่างครบครัน ที่ด้านข้างของห้องน้ำเป็น Walk in Closet มีตู้เสื้อผ้า ชั้นวางของ และพื้นที่แต่งตัว พร้อมเตารีด นับว่าเป็นห้องที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
สำหรับอาหารเช้า เรารับประทานกันที่ Café SOI ซึ่งให้บริการแบบ All Day Dining อาหารเช้าเป็นแบบ International Buffet มีไลน์ให้เลือกทั้งซีเรียล ขนมปังสังขยา เบเกอรี่ต่างๆ สลัด ข้าวต้ม โจ๊ก ซุปมิโซะ ยำกุนเชียง น้ำพริก ปลานึ่ง ผัดผัก เมนูไข่ต่างๆ แพนเค้ก ก๋วยเตี๋ยว ไส้กรอก แฮม ข้าวผัดสับปะรด ผัดไท และเมนูจานร้อนที่สลับสับเปลี่ยนมาในแต่ละวัน ตบท้ายด้วยโยเกิร์ต ชา กาแฟ และผลไม้ต่างๆ รสชาติดีงามตามแบบฉบับของดุสิต
นอกจากนี้ทางโรงแรมยังมี Facility ต่างๆ อาทิ Fitness สระว่ายน้ำ Play Area ของเด็ก สปา Club Lounge ห้องประชุม และที่จอดรถ ไว้ให้บริการด้วย
ส่วนคืนที่ 2 เราเปลี่ยนบรรยากาศมาพักที่ Dusit Princess กันบ้าง ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว ตั้งอยู่ไม่ห่างจาก Dusit D2 มากนัก มีห้องพักมากถึง 148 ห้อง แบ่งเป็นหลายประเภททั้งสุพีเรีย / ดีลักซ์ / เอ็กเซ็กคลูทีฟพลัส / จูเนีย์สวีท / สวีท 1 ห้องนอน / สวีท 2 ห้องนอน โดยทุกห้องตกแต่งด้วยในสไตล์ไทยประยุกต์ มีหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดรับสายลมและแสงแดด
เรามาถึงก่อนเวลาเช็คอินเล็กน้อย เลยตัดสินใจทานอาหารกลางวันที่นี่ซะเลย เพราะได้ยินมาว่าติ่มซำบุฟเฟ่ต์ที่นี่เด็ดมาก โดยบุฟเฟ่ต์ติ่มซำนี้เสิร์ฟที่ห้องอาหาร JASMINE ซึ่งอยู่ชั้น 2 ของโรงแรม โดยให้บริการเวลา 11:30 – 14:30 น. ราคาสุดแสนจะดีงาม เพียง 399 บาท Net (ไม่มีบวกเพิ่ม) บางช่วงจะมีโปรโมชั่น มา 4 จ่าย 3 และใครที่เป็นสมาชิก Dusit Gold สามารถลดได้ 10% ด้วย
เมนูติ่มซำมีให้เลือกมากมายทั้งปอเปี๊ยะ เผือกทอด กุยช่ายทอด เกี๊ยวทอด ลูกชิ้นกุ้งทอด ขนมจีบ ฮะเก๋า ซาลาเปา สาหร่าย หมูนึ่งไข่เค็ม ปลาหมึกไส้หมู บล็อกโคลีไส้กุ้ง ซี่โครงหมู เห็ดหอมยัดไส้ ก๋วยเตี๋ยวหลอด ขาไก่ กุ้งซอสสามรส หอยจ๊อ ซุปเป็ด ซุปปลาเค็ม ซุปห้าเซียน ราดหน้า บะหมี่ผัด ข้าวผัด สามารถสั่งทานได้แบบไม่อั้น ส่วนของหวานมีให้เลือกทั้งเต้าฮวย เห็ดหิมะ ผลไม้รวม และสาคูแคนตาลูป อิ่มกันแบบจุกๆ ในราคาสบายกระเป๋า
พอได้เวลาเช็คอินปุ๊บ เราเข้าห้องพักกันดีกว่า ครั้งนี้เราพักห้องดีลักซ์ ซึ่งมีพื้นที่ใช้สอย 32 ตารางเมตร เปิดประตูเข้ามาจะเจอกับห้องน้ำทางด้านขวามือ มีอ่างอาบน้ำขนาดกะทัดรัด ส่วนห้องนอนเป็นเตียง King Size ขนาดใหญ่ มินิบาร์ โต๊ะทำงาน และเก้าอี้นั่งเล่นบริเวณริมหน้าต่าง
อาหารเช้าที่นี่เสิร์ฟที่ห้องอาหาร Jasmine ในสไตล์ International Buffet ที่มีทั้งสลัด ซีเรียลรสต่างๆ เมนูไข่ต่างๆ เบคอน ไส้กรอก แพนเค้ก วาฟเฟิล ก๋วยเตี๋ยว โจ๊ก ข้าวต้ม ซุป เมนูจานร้อน อาทิ หมูอบซอสเห็ด ไก่เปรี้ยวหวาน ข้าวผัดรถไฟ ผัดหมี่ซั่ว ฯลฯ พร้อมทั้งชา กาแฟ และผลไม้ตามฤดูกาล
ใครที่ไม่ค่อยได้เดินทางไปเที่ยวภาคเหนือ ขอแนะนำให้ลองไปเที่ยวเชียงใหม่ นอกจากได้สัมผัสลมหนาว หรือการชมความงามแบบล้านนาตามวัดวาต่างๆแล้ว เชียงใหม่ ยังมีมุมใหม่ๆ ถ่ายรูปกับทุ่งดอกไม้หลากสี ร้านกาแฟสำหรับสายชิลให้อัพเดทร้านอีกมากมาย และยังได้ชิมอาหารเหนือแต๊ๆ แค่คิดก็ม่วนขนาดละเจ้า ^^
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^