“หากจะถามว่ามีประเทศไหนบ้าง ที่มองไปทางไหนก็สวยทุกมุม
คำตอบคงมีหลายที่ แต่ถ้าความสวยนั้นครอบคลุมทั้งธรรมชาติ ศิลปะ และความเป็นอยู่
ในมุมมองผมคงมีแค่ที่เดียว…สวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland)“
ประเทศในฝันของใครหลายคน ประเทศที่เหล่านักท่องเที่ยวนิยมมาชมความงาม
ของภูมิประเทศที่มีภูเขาหิมะเป็นเอกลักษณ์ ความสวยงามเหล่านี้ผ่านสายตา
นักท่องเที่ยวมามากมาย และยังมีอีกหลายคนที่อยากมาเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง
ผมเองก็มีความเชื่อที่ว่าสวิตเซอร์แลนด์ยังมีความสวยงามให้ได้เห็นอีกหลายมุมเช่นกัน
เตรียมเสื้อกันหนาวให้พร้อมและออกไปมองมุมใหม่ของสวิตเซอร์แลนด์…
“ชมวิวหลักล้านพร้อมความสวยงามทั่วทุกมุมมอง”
ตอนที่แล้วผมได้พาเพื่อนๆไปเที่ยว Belgium และ Luxembourg แบบ Road Trip
ภายในระยะเวลาสั้นๆ แล้วนั่งเครื่องบินต่อมาที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่จะพูดถึงในรีวิวนี้
Link รีวิวตอนที่แล้วครับ –> Belgium-Luxembourg รีวิวตอนแรก
และเพื่อให้ได้อรรถรสมากยิ่งขึ้น ลองกดรับชม VDO ที่มีความยาวแค่นาทีกว่าๆ
และเลือกเป็น HD และเปิดเสียงให้สุดๆไปเลยรับรองว่าฟินถึงใจแน่นอน ^^
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับ Swiss Travel Pass กันก่อน ใบเดียวเที่ยวทั่วสวิส
ไม่มีตั๋วเดินทางใบไหนที่ให้อิสระในการเดินทางไปทั่วสวิตเซอร์แลนด์ได้เท่า “สวิสพาส” อีกแล้ว
เป็นเพราะตั๋วใบนี้สามารถใช้โดยสารรถไฟของเครือข่ายการรถไฟสวิส (SBB CFF FFS)
รถโพสต์บัส (Post Bus) ที่วิ่งให้บริการไปยังเมืองต่างๆ ทั่วประเทศไม่จำกัดจำนวนครั้ง
นอกจากนั้นยังใช้ได้กับรถเมล์ รถราง และเรือล่องทะเลสาบต่างๆ
ยังไม่หมด!!! ตั๋วใบนี้ยังใช้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ได้อีกไม่ต่ำกว่า 4,000 แห่ง ฟรีอีกด้วย
แต่ถ้าจะขึ้นสู่ยอดเขาต่างๆ ก็สามารถใช้บัตรนี้เป็นส่วนลดได้ทั้งรถไฟสายภูเขา กระเช้าไฟฟ้า
หรือเคเบิ้ลคาร์ ก็จะได้รับส่วนลด 25-50% ผมว่าแค่นี้ก็คุ้มสำหรับนักท่องเที่ยวแล้วครับ
Swiss Travel Pass มีหลายแบบมีทั้งแบบที่ผมใช้ในทริปนี้อย่าง
– Swiss Travel Pass แบบใช้งานต่อเนื่อง
– Swiss Travel Pass Flex แบบเลือกวันใช้งานได้
และ Swiss Half Fare Card ที่จ่ายค่าโดยสารในราคา 50%
สามารถเข้าไปดูรายละเอียดของ Swiss Pass ได้จาก https://www.swiss-pass.ch/
หรือสั่งซื้อและสอบถามเพิ่มเติมจากตัวแทนจำหน่ายในเมืองไทยล่วงหน้า
และไปออกตั๋วจริงที่สถานีรถไฟที่สวิสได้ตามเบอร์โทรและเว็บไซท์ด้านล่างนี้ครับ
Diethelm Travel – (66)2-160-5200 ext 202-206
GM Tour & Travel – (66)2-676-1501 ext 819-820
Lostrip – (66)2-018-1351
RTS.net – (66)2-661-7157
TV Air Booking – (66)2-233-5160-63
ทางเว็บไซท์ www.raileurope.co.th
ตั๋ว Swiss Pass แบบต่อเนื่องจะเริ่มนับวันที่เปิดใช้ตั๋วเป็นวันแรก จะต่างกับของ Flexi
ที่สามารถเลือกวันใช้ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่วางแผนการเดินทางไม่ต่อเนื่อง ไม่ใช้ทุกวัน
พิเศษยิ่งขึ้น ในปีนี้ทางการท่องเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ร่วมมือกับ Swiss Pass
จัดแคมเปญให้นักท่องเที่ยวตามล่าหาตราประทับในแต่ละเมือง ซึ่งมีอยู่ 10 จุดสำคัญ
(โดยใน Booklet เล่มนี้จะมีบอกว่าตราประทับแต่ละจุดอยู่ที่ใด เมืองใด
แต่ไม่ต้องสะสมให้ครบทุกเมือง ทุกจุดก็ได้)
และนำส่งชิงรางวัลแพ็คเก็ตเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์พร้อมตั๋วเครื่องบิน 2 ท่าน
และบัตร Swiss Pass 8 วัน ชั้น 2 สำหรับ 2 ท่าน ซึ่งถือว่าเป็นรางวัลที่มีมูลค่าสูงพอสมควร
ส่วนเรื่องการติดต่อสื่อสาร ผมใช้ Pocket Wi-Fi ของ Tripizee
ค่าใช้จ่ายวันละ 280 บาท Internet ใช้ได้วันละ 500 MB เมื่อใช้ครบความเร็วจะถูกปรับลดลง
ส่วนเรื่องสัญญาณ Internet นั้นแม้บนยอดเขาสูงอย่างจุงเฟราก็ยังสามารถใช้อัพรูปได้รัวๆ
เมื่อเปิดใช้งาน Swiss Pass เรียบร้อยแล้ว ก็สามารถใช้เดินทางได้เกือบทุกรูปแบบในสวิส
รถไฟที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีหลายประเภท หลายรูปแบบ
และมีแบ่งเป็น First Class กับ Second Class สำหรับทริปนี้ผมใช้แบบ First Class
ความต่างของ 2 ชั้นนี้คือ แบบ First Class คนจะน้อยกว่า (เพราะราคาแพงกว่า) ที่นั่งน้อยกว่า
ความกว้างของเบาะ กว้างกว่านิดนึง และเอนได้มากกว่านิดนึง (ด้วยเพราะที่นั่งน้อยกว่า)
บางขบวนมีแค่ 1 โบกี้เท่านั้น ถ้าใครมาเป็นแบบครอบครัว หรือไม่อยากไปแย่งที่นั่ง
แนะนำว่า First Class คือคำตอบ ส่วนเรื่องความสะอาดคงไม่ต้องพูดถึง เพราะสะอาดมากกกกก
ไม่ว่าจะ First Class หรือ Second Class สะอาดเหมือนกันหมด ผู้ที่ถือบัตรโดยสารชั้น 1
สามารถไปนั่งกับผู้โดยสารชั้น 2 ได้ แต่ผู้โดยสารที่ถือบัตรชั้นอื่น ไม่สามารถมานั่งของชั้น 1 ได้นะครับ
ความตรงต่อเวลาก็เช่นกัน ที่ญี่ปุ่นรถไฟตรงเวลาเป๊ะแค่ไหน ที่สวิสก็ไม่น้อยหน้าตรงเป๊ะเหมือนกัน
จากสนามบินผมนั่งรถไฟมาที่เมืองลูเซิร์น รถไฟที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีวิ่งกันดึกดื่น
สามารถเข้าไปเช็ครอบรถไฟ หรือรายละเอียดอื่นๆได้จากเว็บ —> ตารางเวลารถไฟสวิตเซอร์แลนด์
หรือถ้าจะซื้อตั๋วแบบเป็นเที่ยวต่อเที่ยว ก็สามารถซื้อได้จากลิ้งค์ด้านบนเช่นกัน
จากสนามบิน ใช้เวลาประมาณ 1 ชม ก็จะมาถึงเมืองลูเซิร์น จุดหมายแรกของทริปนี้ ^^
ลูเซิร์น (Luzern)
เริ่มการเดินทางด้วยเมืองลูเซิร์นที่ตั้งอยู่เกือบจุดกึ่งกลางของประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เป็นเมืองที่ห้ามพลาด ไม่ว่าจะเป็นด้านวัฒนธรรมและธรรมชาติที่สวยงามของทะเลสาบและ
ขุนเขาที่ตั้งอยู่รอบตัวเมือง รวมทั้งเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางรถไฟ ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนในสวิส
สามารถเริ่มต้นได้จากที่นี่ทั้งนั้น จากซูริค เบิร์น หรือบาเซิล นั่งรถไฟไปลูเซิร์นใช้เวลาไม่เกิน 1 ชม
หรือจากอินเทอร์ลาเค่นโดยรถไฟ Golden Pass Line ใช้เวลาประมาณ 2 ชม
จุดแรกที่ผมจะพาไปเที่ยวนี้เป็น กำแพงเมืองเก่าลูเซิร์น หรือ มูเซกก์เมาเออร์ (Museggmauer)
ที่เห็นตั้งอยู่บนเนินเขาเหนือตัวเมือง ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี ระหว่างกำแพงเมืองแต่ละช่วง
มีหอคอยเป็นป้อมปราการอยู่ 9 แห่ง มีอยู่ 3 แห่งที่เปิดให้ขึ้นไปบนยอดหอคอยได้ คือ
Schirmerturm, Wachtturm และ Mannliturm และบนยอดหอคอย Wachtturm นั้น
มีนาฬิกาที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองตั้งอยู่ ด้วยความพิเศษนาฬิกาเรือนนี้จะตีบอกเวลา
ก่อนนาฬิกาเรือนอื่นในเมือง 1 นาที ทุกๆ ต้นชั่วโมง ใครได้ลองไปแล้วอย่าลืมพิสูจน์ดูด้วยนะครับ ^^
จากด้านบนหอคอยมองลงมาจะเห็นวิวเมืองลูเซิร์นและแนวเทือกเขาแอลป์ได้อย่างชัดเจน
การเดินทางมากำแพงเมืองเก่านี้ก็ไม่ยาก จากเขตเมืองเก่าเดินมาประมาณ 10 นาที
สามารถขึ้นไปเดินบนกำแพงเมืองได้ ซึ่งเปิดให้ขึ้นชมฟรีทุกวัน เวลา 8.00-19.00 น. ในช่วงฤดูร้อน
และในฤดูหนาวอาจปิดเร็วกว่านี้ หรือปิดในวันที่มีหิมะตก
สัญลักษณ์ของเมืองลูเซิร์นคงหนีไม่พ้น อนุสาวรีย์สิงโตสะอื้น หรือ เลอเวนแดงก์มัล (Lowen denkmal)
อนุสาวรีย์รูปสิงโตขนาดใหญ่ถูกแกะสลักอยู่บนหน้าผาหินแห่งนี้ เป็นของขวัญที่รัฐบาลฝรั่งเศสสร้างขึ้น
เพื่อเป็นเกียรติและรำลึกถึงทหารรับจ้างชาวสวิสหลายร้อยนายที่เสียชีวิตในการปกป้องพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และ
พระนางมารี อังตัวเนตต์ จากการถูกโจมตีในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส
แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบ ความกล้าหาญ และซื่อสัตย์
อนุสาวรีย์นี้ได้แกะเป็นรูปสิงโตที่ถูกหอกแทงทะลุหลัง นอนหมอบอยู่ข้างโล่ร่ำไห้ก่อนเสียชีวิต
ด้วยใบหน้าที่เศร้า เปรียบเหมือนพญาราชสีห์ที่ยิ่งใหญ่กำลังสิ้นท่า
ใครแวะมาลูเซิร์นก็อย่าลืมไปถ่ายรูปคู่กับสิงโตสะอื้นตัวนี้ด้วยนะครับ ^^
ลูเซิร์นเป็นเมืองที่มีทะเลสาบไว้นั่งชมวิวชิวๆ หรือจะเดินเล่นในเขตเมืองเก่าเพลินๆ
พอข้ามสะพานจากฝั่งรถไฟไปยังฝั่งเหนือก็จะเข้าสู่เขตเมืองเก่าลูเซิร์น ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างและอาคารยุคเก่า
ถนนในเขตเมืองเก่าเป็นถนนแคบๆ ที่ปูด้วยหินตามแบบฉบับเมืองในยุคกลาง
สองข้างทางเรียงรายไปด้วยร้านค้าที่ตกแต่งได้อย่างสวยงาม แม้กระทั่งช่วงวันที่ผมไปตรงกับวันอีสเตอร์
ร้านค้าละแวกนี้ก็ยังเปิดกันเต็มไปหมด และก็มีนักท่องเที่ยวเดินไม่ขาดสาย
อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองลูเซิร์น ที่เห็นภาพแล้วหลายคนรู้จักนั่นก็คือ
สะพานไม้โบราณคาเพลล์บรึคเคอ (Kapellbrucke) สะพานไม้แบบมีหลังคาคลุมที่ยาวและเก่าแก่
โดยมีหอคอยแปดเหลี่ยมตั้งอยู่เกือบกึ่งกลางสะพาน
สะพานไม้แห่งนี้ใช้เป็นทางสัญจรระหว่างสองฝั่งแม่น้ำและเป็นประตูระบายน้ำจากทะเลสาบออกสู่แม่น้ำรอยส์
เคยเกิดไฟไหม้จนสะพานเสียหายไปหลายส่วน ที่เห็นในปัจจุบันบางส่วนได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่
ถ้าได้ลองเดินข้ามสะพานแห่งนี้แล้วจะได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงาม เห็นภูเขาที่อยู่เหนือทะเลสาบลูเซิร์น
ขุนเขาโอบล้อมรอบโดยมีหงส์ขาวลอยอยู่กลางแม่น้ำ
ถ้าเดินเที่ยวในเมืองลูเซิร์น ผมมองว่าใช้เวลาประมาณครึ่งวันถึงเต็มวันก็เที่ยวได้ครบ
แต่ถ้าจะเดินทางไปภูเขาใกล้ๆ ยังไงก็ต้องบวกวันเพิ่มเข้าไปอีก
เมื่อเดินเล่นชมรอบเมืองลูเซิร์นเรียบร้อยแล้ว ผมได้มุ่งหน้าสู่เมืองอินเทอร์ลาเค่น กันต่อ
รถไฟของสวิสส่วนใหญ่หน้าต่างจะกว้าง มองเห็นวิวได้รอบทิศทาง
ระยะเวลาจากลูเซิร์นไปอินเทอร์ลาเค่นอยู่ที่ 2 ชม โดยรถไฟ
มองไปทางไหนก็เห็นแต่ภูเขาหิมะสวยๆล้อมรอบ
ผมเลือกที่พักในเมือง Interlaken West ซึ่งจะพลุกพล่านกว่าทาง Interlaken Ost
แต่ก็สามารถเดินทางไปมาได้ง่ายทั้งรถเมล์ รถไฟ หรือเดินเท้าประมาณ 10 นาที
อินเทอร์ลาเค่น (Interlaken)
เมืองระหว่างทะเลสาบ เมืองเล็กๆ แต่มีชื่อเสียงโด่งดัง ตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบทูนกับทะเลสาบรีเอนซ์
โดยมีทางน้ำไหลผ่านกลางเมือง เชื่อมทะเลสาบทั้ง 2 เข้าด้วยกัน ชื่อเมืองจึงมีความหมายว่า เมืองระหว่างทะเลสาบ
ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสสามารถมองเห็นยอดเขาจุงเฟราอันเลื่องชื่อได้จากในเมืองเลย
อินเทอร์ลาเค่นเป็นเมืองเล็กๆ แต่ก็มีโรงแรมหรูหราหลายแห่งตั้งอยู่เรียงรายบนถนน Hoheweg
ในอดีตเป็นเมืองยอดนิยมของบรรดาเศรษฐีที่มาพักผ่อนตากอากาศ
ปัจจุบันบรรยากาศความหรูหราก็ยังมีอยู่ ส่วนโรงแรมหรือที่พักราคาประหยัดก็มีอยู่หลายแห่ง
แต่สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเมืองนี้ก็คือยอดเขาจุงเฟรา
ที่สามารถมองเห็นได้จากตัวเมืองอินเทอร์ลาเค่นได้เลย นับว่าเป็นวิวที่คุ้มค่ากับการได้มาเยือนเมืองนี้
ที่อินเทอร์ลาเค่นมีจุดชมวิวที่อยู่ภายในตัวเมือง
เดินทางได้ง่าย ไม่ต้องนั่งรถไฟออกไปนอกเมือง และยังสามารถเห็นวิวสวยๆได้อีกด้วย
Harder Kulm ภูเขาทางตอนบนของอินเทอร์ลาเค่น แต่ละปีจะมีช่วงเวลาเปิดให้ขึ้นไปชมด้านบน
สำหรับของปี 2017 เปิดตั้งแต่วันที่ 14 เมษายน – 26 พฤศจิกายน 2017
รถรางที่ขึ้นไปยอดเขาจะออกทุกครึ่งชั่วโมง แล้วใช้เวลาแค่ 10 นาทีก็ถึงด้านบน
สำหรับผู้ที่ถือ Swiss Pass ลดครึ่งราคา นะครับ ^^
จุดชมวิวบนยอดเขาที่สามารถมองเห็นเมืองอินเทอร์ลาเค่นได้ทั้งเมือง
พร้อมด้วยทะเลสาบทั้ง 2 ทะเลสาบที่ขนาบข้างเมืองไว้ ได้แก่ Thun Lake และ Brienz Lake
พร้อมด้วยวิวเทือกเขาหิมะ 3 เทือกเขา ได้แก่ ไอเกอร์ เมินซ์ และจุงเฟรา
บนยอดเขาจะมีร้านอาหารสไตล์สวิตเซอร์แลนด์พร้อมที่นั่งริมเขาที่สามารถมองเห็นวิวได้อย่างเต็มตา
และยังมีจุดชมวิวแบบพาโนราม่าที่ยื่นตัวออกไปจากยอดเขาให้ไปยืนถ่ายรูปพร้อมชมวิวเมืองสวยๆ
ที่นี่ไม่ได้มีจำกัดเวลาในการขึ้นมาชม จะอยู่แชาด้านบนนานเท่าไรก็ได้
สำหรับผม อยู่เก็บภาพแสงสวยๆยามเย็นบริเวณนี้ไปเพลินๆ
มองเวลาอีกทีก็เกือบ 2 ชั่วโมงเต็มเลยครับ ><
ถ้ามองจากจุดชมวิวมุมสูงในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส จะเห็นยอดเขาสามเกลอประกอบไปด้วย
ยอดเขาไอเกอร์ เมินซ์ และจุงเฟรา ปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งปี เยื้องมาทางขวามือก็จะเห็นยอดเขาชิลธอร์น
ซึ่งเป็นยอดเขาที่นักท่องเที่ยวนิยมขึนไปเพื่อชมยอดเขาสามเกลอได้อย่างชัดเจนทั้ง 3 ลูก
โดยระหว่างภูเขาทั้ง 2 ด้านเรียกว่าหุบเขาเลาเทอร์บรุนเนน (เดี๋ยวจะพาไปชมในเมืองถัดไป)
มีหมู่บ้านตามเชิงเขาที่มีทิวทัศน์ธรรมชาติสวยงามน่าไปเยี่ยมชมหลายต่อหลายแห่ง
วิวมุมสูงพาโนราม่าแบบนี้ คือสิ่งที่นักท่องเที่ยวทั้งหลายโปรดปราน
เพราะจะทำให้ได้เห็นเมืองอินเทอร์ลาเค่น หรือเมืองระหว่างทะเลสาบถูกโอบล้อมด้วยภูเขาสูงแบบเต็มตา ^^
ลงมาจาก Harder Kulm แล้วสำหรับนักท่องเที่ยวที่ถือบัตร Swiss Pass
ยังสามารถนั่งรถไฟไปเที่ยวหมู่บ้านหรือเมืองใกล้เคียงได้อย่าง Lauterbrunnen
เพียงใช้เวลาประมาณ 40 นาทีจาก Interlaken West ด้วยรถไฟ สะดวกสบายสุดๆ
รถไฟขบวนที่จะไป Lauterbrunnen วิ่งผ่านหุบเขาที่มีต้นไม้เขียวครึ้มตลอด 2 ข้างทาง
ซึ่งหมู่บ้านแห่งนี้เป็นสถานีปลายทางของรถไฟจาก Interlaken
เลาเทอร์บรุนเนน (Lauterbrunnen)
เป็นหมู่บ้านในหุบเขาที่สวยอีกแห่งหนึ่งของสวิส โดยมีน้ำตกสูงชื่อชเตาบ์บาค (Staubbach Falls)
สายน้ำที่หล่นลงมาจากยอดเขากระจายออกเป็นละอองน้ำถูกกระแสลมพัดไปทั่ว
กลายเป็นม่านน้ำที่สวยงามแปลกตา จากสถานีรถไฟก็พอมองเห็นน้ำตกนี้และสามารถเดินไปชมได้
ใช้เวลาเที่ยวในหมู่บ้านนี้ไม่นาน ประมาณ 1-2 ชม ก็สามารถเดินชมได้ทั่ว
และแล้วก็มาถึงไฮไลท์ของการมาเยือนสวิตเซอร์แลนด์ นั่นก็คือการขึ้นไปบนยอดเขาจุงเฟรา
การเดินทางไปยอดเขาจุงเฟราเริ่มที่สถานี Interlaken Ost เป็นสถานีเริ่มต้น แต่ก่อนขึ้นให้ดูว่าไปเส้นทางไหน
เพราะเมื่อถึงสถานี Zweilutschinen ก็จะตัดขบวนแยกไปคนละทาง คือ
เส้นทาง Grindelwald กับเส้นทาง Lauterbrunnen ทั้ง 2 เส้นสามารถไปจุงเฟราได้โดยไต่ระดับความสูงเรื่อยๆ
ขึ้นไปยังสถานีไคลเนไชเดก (Kleine Scheidegg) ที่ระดับความสูง 2,061 เมตร
อันเป็นต้นทางของรถไฟไต่ขึ้นสู่ ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfraubahn)
ผู้ที่ถือบัตร Swiss Pass หากคิดจะเที่ยวเมืองบนหุบเขาเหล่านี้ให้ทั่ว รวมทั้งการขึ้นไปบนยอดเขาจุงเฟรา
แนะนำให้ซื้อตั๋วโดยสารเพิ่มมาจากสถานี Interlaken Ost ให้เรียบร้อยล่วงหน้าก่อน
เพื่อการเดินทางที่ต่อเนื่อง ส่วนตารางรถไฟมีให้หยิบฟรีในสถานีรถไฟทุกแห่งพร้อมแผนที่อย่างละเอียด
โดยรถไฟแต่ละขบวนจะออกห่างกันราวครึ่งชั่วโมง
ค่าโดยสารรถไฟขึ้นสู่ยอดเขาจุงเฟรา สำหรับผู้ถือตั๋ว Swiss Pass จะได้รับส่วนลด 25%จากราคาเต็ม
โดยคิดจากสถานี Grindelwald หรือ Wengen ส่วนกระเช้าขึ้นเขาต่างๆ ตรวจสอบได้จาก www.jungfrau.ch
Jungfraujoch : Top of Europe สถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป
Top of Europe ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นจุดที่สูงที่สุดในยุโรป แต่หมายถึงเป็นสถานีรถไฟที่อยู่สูงที่สุดในยุโรป
และยอดเขาจุงเฟราซึ่งสูง 4,158 เมตร ก็ไม่ได้สูงที่สุดในยุโรป เพราะยังเป็นรองยอดเขาอื่นๆ ในแนวเทือกเขาแอลป์
ทั้งยอดเขามัทเทอร์ฮอร์น (4,477 เมตร) และยอดเขามงต์บลัง (4,807 เมตร)”
มาถึงแล้วก็เตรียมตัวใส่เสื้อกันหนาวให้เรียบร้อย เพราะคุณจะได้สัมผัสหิมะแบบเต็มๆ
ขึ้นมาด้านบนจะเป็นลานกว้างที่เปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมวิวบนดาดฟ้า
สามารถชมวิวสัมผัสอากาศหนาว ลมพัดวูบวาบได้แบบรอบทิศทางบนความสูง 3,571 เมตร
จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของขุนเขา หิมะ และธารน้ำแข็ง
อันเป็นธรรมชาติที่หาชมได้ยาก และเป็นภาพที่สวยงามเหมือนกับภาพวาด
ด้านบนจะมีป้ายบอกทิศทางที่ตั้งของแต่ละยอดเขา ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่รู้จัก
เพราะอย่างน้อยตรงที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็คือ “ยอดเขาจุงเฟรา”
ถึงด้านบนแล้วก็อย่าลืมแวะถ่ายรูปคู่กับป้ายนี้ซักหน่อย ^^
ภายในสถานีจำลองเหมือนกับถ้ำใต้ภูเขา มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและร้านอาหารอยู่พอสมควร
รวมทั้งร้านขายของฝากให้เลือกซื้อกลับไปเป็นที่ระลึกได้หลากหลาย
จากสถานีมีลิฟต์พาขึ้นไปด้านบนซึ่งมีสถานที่ที่น่าสนใจอยู่ 2 จุด คือ
Ice Palace หรือวังน้ำแข็ง
เป็นสถานที่จัดแสดงประติมากรรมแกะสลักน้ำแข็ง ในถ้ำน้ำแข็งที่เจาะลึกลงไปในธารน้ำแข็งกว่า 30 เมตร
และ Sphinx Observation Terrace หรือหอสังเกตการณ์สฟิงซ์
เป็นสถานีทดลองโครงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลายด้าน รวมทั้งด้านดาราศาสตร์ และธรณีวิทยา
คอยติดตามการเปลี่ยนแปลงของเทือกเขาแอลป์ในด้านต่างๆ
หรืออยากจะออกไปสัมผัสหิมะ ท้าความหนาวได้จากลานด้านล่าง
ซึ่งมีป้ายบอกถึงเส้นทางทางออกชัดเจนตลอดทาง
ถึงแล้วนะยอดเขาจุงเฟรา ยอดเขาที่โด่งดังและมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวไม่ขาดสาย
ถือว่าผมโชคดีมากๆ ที่ได้ขึ้นมาในวันที่ฟ้าเปิดสดใสแบบนี้
ถ้าไม่อยากเสียเงินค่าตั๋วรถไฟแพงๆแล้วขึ้นมาเจออากาศแย่ๆ
ผมแนะนำให้ดูพยากรณ์อากาศบนยอดเขาจากทางสถานีรถไฟ Interlaken Ost ก่อนขึ้นมาด้านบน
ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ภาพสวยๆอากาศดี และฟินแบบผมนะครับ ^^
เต็มอิ่มกับหิมะได้ประมาณ 2 ชม เต็ม ผมก็ลงจากยอดเขาด้วยรถไฟเส้นทางเดิม
เพื่อกลับมาพักผ่อนที่อินเทอร์ลาเค่น ก่อนจะออกไปเดินเล่นชมเมืองยามเย็น
พร้อมกับเก็บแรงเที่ยวในวันต่อไป ^^
อินเทอร์ลาเค่นเปรียบเหมือนหัวใจของสวิสในการไปเที่ยวในที่ต่างๆ
ผมเลือกพักที่เมืองนี้ 3 วัน 2 คืน แล้วใช้รถไฟเดินทางไปเที่ยวในเมืองใกล้เคียงแทน
อย่างเมืองที่ผมจะพาไปเที่ยวต่อจากนี้ ขาไปผมนั่งรถไฟ แต่ขากลับผมเลือกล่องเรือชิวๆแทน
ทูน (Thun)
เมืองปราสาทงาม ทะเลสาบสวย ทูนตั้งอยู่ตรงปากแม่น้ำอาเรอ ซึ่งเริ่มต้นไหลออกจากทะเลสาบทูน
นอกจากเขตเมืองเก่าที่สวยงามแล้ว ยังสามารถล่องทะเลสาบทูนชมทิวทัศน์ไปได้ถึงอินเทอร์ลาเค่น
(ซึ่งขากลับผมก็เลือกวิธีล่องเรือนี้เช่นกัน) รถไฟใช้เวลาประมาณ 30 นาที
พอรถไฟมาถึงสถานี สามารถเดินเที่ยวได้ทันที ถนนหน้าสถานีรถไฟเป็นทางเข้าสู่ย่านใจกลางเมือง
ข้ามสะพานไปก็จะถึงเกาะกลางแม่น้ำอาเรอ มีสะพานไม้แบบมีหลังคาคลุมชื่อ Obere Schleuse ตั้งขวาง
เป็นประตูน้ำคอยปิดเปิดควบคุมกระแสน้ำจากทะเลสาบที่จะไหลสู่แม่น้ำอาเรอ
โดยมียอดหอระฆังของโบสถ์ Stadtkirche และปราสาททูนบนเนินเขาเป็นฉากหลัง
โดยมีอาคารบ้านเรือนยุคเก่าตั้งเรียงรายอยู่ริม 2 ฝั่งแม่น้ำ สวยงามเกินบรรยาย
จากจตุรัสราทเฮ้าส์พลัทซ์ ที่วันนี้รายล้อมด้วยอาคารยุคเก่า และมีร้านค้าแผงลอยขายของฝาก
ของที่ระลึกและงานศิลปะทำมือน่ารักๆ จะมีทางเดินแคบๆที่สามารถเดินขึ้นไปถึงปราสาททูนได้
ปราสาททูน (Schloss Thun) เป็นปราสาทเก่าแก่ ตั้งโดดเด่นอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ เหนือตัวเมือง
ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ เปิดทุกวัน 10.00-17.00 น. ใช้ Swiss Pass เข้าชมได้ฟรี
วิวจากด้านบนปราสาททูนจะสามารถมองเห็นเมืองทูนได้ทั่ว
ภาพที่เห็นเป็นเอกลักษณ์ของเมืองนี้คือ อาคารบ้านเรือนเก่าแก่หลังคาสีน้ำตาลแดง
มีแม่น้ำไหลผ่าน และมีฉากหลังเป็นภูเขาสูง มองกี่ครั้งก็เพลินตาไปทั่วทุกด้าน
ขากลับผมได้ล่องเรือทะเลสาบทูน ผู้ใช้บัตร Swiss Pass สามารถใช้บริการล่องเรือตามทะเลสาบอื่นๆ
ในสวิตเซอร์แลนด์ได้ทันที โดยไม่ต้องซื้อตั๋ว ขึ้นไปจะมีเจ้าหน้าที่มาเดินตรวจตั๋วอีกครั้ง
เรือมีชั้นโดยสาร First Class กับ Second Class เช่นเดียวกับรถไฟ โดยที่นั่ง First Class จะอยู่ชั้นบน
มีโต๊ะเก้าอี้ภายในห้องปรับอากาศเย็นสบาย มีบริการขายอาหารและเครื่องดื่ม
หรือจะเปลี่ยนบรรยากาศออกมานั่งเก้าอี้ยาวด้านนอกเพื่อการชมวิวที่เต็มตา
เรือออกจากท่าเรือเมืองทูนตรงปากแม่น้ำอาเรอ จากนั้นจะมุ่งหน้าออกสู่ทะเลสาบ
จากทูนไปยังอินเทอร์ลาเค่นใช้เวลาเดินทาง 2 ชม
ริมฝั่งทะเลสาบมีอาคารบ้านเรือนแบบสวิสที่แตกต่างกัน บางครั้งก็มีปราสาทเล็กๆ
เสริมให้ทิวทัศน์ริมทะเลสาบสวยงามได้อย่างน่าหลงใหล
เมื่อถึงอินเทอร์ลาเค่น ผมได้เปลี่ยนมานั่งรถไฟเพื่อไปยังจุดหมายต่อไป…Zermatt
ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.10 ชม.
แซร์มัตต์ (Zermatt)
พอลงจากรถไฟก็เห็นป้าย Welcome สารพัดภาษา รวมทั้งภาษาไทยอย่าง “ยินดีต้อนรับ” ด้วย
ภายในสถานีรถไฟมีป้ายรายชื่อโรงแรมที่พักภายในหมู่บ้านตั้งอยู่เต็มไปหมด
พอออกมาหน้าสถานีซึ่งเป็นลานกว้างก็พบรถแท็กซี่หรือรถรับส่งของโรงแรมต่างๆ
ที่นี่เขาไม่ใช้น้ำมัน แต่จะใช้ไฟฟ้าหรือแบตเตอรี่แทน เพื่อไม่ให้สร้างมลพิษในหมู่บ้าน
เวลาวิ่งก็เงียบเหมือนปั่นจักรยานเพราะไม่ได้ใช้เครื่องยนต์ ถ้าที่พักอยู่ไกลหรืออยู่บนเนินเขา
แนะนำให้นั่งรถแท็กซี่ไปจะสะดวกกว่า และในหมู่บ้านก็ไม่ได้มีระบบขนส่งมวลชนใดๆ
นอกจากรถไฟกอร์แนร์กราทบาห์น (Gornergrat Bahn) ที่จะพาวิ่งขึ้นไปชมยอดเขามัทเทอร์ฮอร์น
ผมเดินทางมาถึงแซร์มัตต์ในช่วงบ่าย เลยใช้เวลาในการเดินเล่นสำรวจตัวเมืองก่อน
โดยอาคารบ้านเรือนในแซร์มัตต์ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านแบบสวิสชาเล่ต์สไตล์วาเลส์
แทบไม่มีตึกคอนกรีตแบบกล่องสี่เหลี่ยมให้เห็นเลยครับ
หรือจะลองเดินดูตรงย่านเมืองเก่า ที่จะมีแบบบ้านที่ก่อสร้างด้วยไม้ครึ่งนึง
และปูนครึ่งนึง ยกพื้นสูง ลักษณะแบบนี้เป็นโครงสร้างของบ้านเรือนในสมัยโบราณ
เช้านี้เริ่มต้นชมไฮไลท์สำคัญด้วยการขึ้น รถไฟกอร์แนร์กราทบาห์น (Gornergrat Bahn)
รถไฟที่จะพาขึ้นไปชมยอดเขามัทเทอร์ฮอร์น ตั้งอยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟหลักของเมือง
ผู้ถือบัตร Swiss Pass จะได้รับส่วนลดค่าตั๋วครึ่งราคา (ราคาเต็ม 78 CHF)
ตั๋วจะเป็นแบบทรอนิคส์สำหรับใช้ผ่านเครื่องกั้นเข้าออกชานชาลาในสถานีต่างๆ
ตามรายทางได้ทุกสถานี ภายในเวลา 1 วัน
ช่วงแรก รถไฟวิ่งออกจากหมู่บ้านผ่านสะพานข้ามลำธารเล็กๆ
จะสามารถมองเห็นยอดเขามัทเทอร์ฮอร์นตั้งตระหง่านอยู่เหนือหมู่บ้านได้อย่างสวยงาม
จากนั้นจะค่อยๆ วิ่งสูงขึ้นไปโดยจะเห็นภาพมุมสูงของหมู่บ้านห่างออกไปเรื่อยๆ
ถ้าไม่แวะลงสถานีระหว่างทาง รถไฟจะใช้เวลาประมาณ 33 นาทีถึงด้านบนสุด
แล้วจะใกล้ชิดกับ ยอดเขามัทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) มากขึ้นแบบเต็มๆตา
ยอดเขามัทเทอร์ฮอร์นอยู่ที่ความสูง 4,478 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
ด้วยรูปทรงที่พ้นขึ้นจากแนวเทือกเขาแอลป์ และดูสูงกว่ายอดเขาลูกอื่นๆ ที่ตั้งอยู่รายรอบ
โดยยอดเขาสูงเหล่านี้ล้วนรวมอยู่ในแนวเทือกเขาแอลป์ตอนใต้ หรือที่เรียกว่า เพนไนน์แอลป์ (Pennine Alps)
ซึ่งว่ากันว่ามียอดเขาสูงเกิน 4,000 เมตรอยู่นับร้อยลูก รวมทั้งยอดเขาจุงเฟราด้วยครับ
บนยอดเขากอร์แนร์กราท นอกจากสถานีรถไฟแล้ว ยังมีจุดชมวิวที่มองเห็นยอดเขาสูงได้อีก
มีภัตตาคาร ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก แม้แต่ร้านนาฬิกาหรูก็ยังมีขายบนนี้
ยอดเขาสูงเหล่านี้มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี และนักท่องเที่ยวที่ได้มาเยือนที่นี่
มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามัทเทอร์ฮอร์นมีรูปร่างคล้ายช็อกโกแลตยี่ห้อ Toblerone
ลองจินตนาการจากภาพของมัทเทอร์ฮอร์นที่เห็นอยู่บ้างหน้าดูนะครับ ^^
ขาลงจากเขา ผมได้แวะสถานี Rotenboden สถานีนี้ในช่วงฤดูร้อนจะมีนักท่องเที่ยว
เดินไปชมยอดเขามัทเทอร์ฮอร์นสะท้อนน้ำ ที่เป็นภาพยอดฮิตติดตา
หรือจะมานั่งเก้าอี้แล้วถ่ายรูปคู่กับมัทเทอร์ฮอร์น ยอดเขาอันสวยงามแห่งนี้ก็ฟินไม่แพ้กัน
พอลงจากยอดเขาเสร็จ ผมรีบไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม
และเดินไปขึ้นรถไฟเพื่อไปยังเมืองต่อไป ถ้าใครได้แวะมาเที่ยว Zermatt แล้ว
ขอย้ำเลยว่าควรค้างอย่างน้อยสัก 1 คืน แล้วคุณจะได้เต็มที่กับยอดเขาสูงแห่งนี้แบบใกล้ชิด
รถไฟมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงเหนือจุดแวะพักนอนค้างคืน
ก่อนขึ้นไปถึงซูริค ผมเลือกพักที่เมืองมองเทรอซ์ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.30 ชม
รถไฟขบวนที่ผมนั่งมาจาก Zermatt นั้น เป็นรถไฟที่เป็นกระจกบานใหญ่ เกือบรอบด้าน
มองเห็นวิวสองข้างทางที่สวยงามจนเพลิน รู้สึกตัวอีกทีเวลา 2.30 ชม ผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน
มองเทรอซ์ (Montreux)
เมืองเล็กๆน่ารักที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลสาบเจนีวา (Lake Geneva)
ขณะนั่งรถไฟที่กำลังจะเข้าเมืองมองเทรอซ์ จะได้เห็นปราสาทขนาดใหญ่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบแห่งนี้
ปราสาทชิลยอง (Castle of Chillon) อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 3 กม
เป็นปราสาทยุคกลางที่มีความเก่าแก่กว่า 1,000 ปี ถือได้ว่าเป็นอัญมณีทางประวัติศาสตร์ของสวิสก็ว่าได้
มองเทรอซ์ เมืองพักผ่อนตากอากาศริมทะเลสาบเจนีวาที่มีชื่อเสียงจนได้รับ
สมญานามว่า “ไข่มุกของริเวียร่าแห่งสวิส” เมืองนี้มีเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยว
ที่อยากมาพักผ่อนตากอากาศดื่มด่ำกับบรรยากาศริมทะเลสาบเจนีวา
ซึ่งละแวกนี้มีที่พักให้เลือกมากมาย สามารถเดินเล่นเลียบริมทะเลสาบได้ มีทางเดินที่ทำไว้อย่างดี
จาก Montreux เราสามารถนั่งเรือชมวิวทะเลสาบเพื่อไปเที่ยวยังเมืองต่างๆใกล้เคียงได้ เช่น
Lausanne และ Vevey ถ้าใช้ Swiss Pass ก็ไม่ต้องเสียค่าตั๋วใดๆเพิ่ม
หรือถ้าอยากจะชิวๆแค่เดินเที่ยวเล่นในมองเทรอซ์
หาร้านอาหารบรรยากาศดี นั่งมองภูเขา ดอกไม้ และทะเลสาบ
เพียงเท่านี้ 1 วันที่ได้เที่ยวที่นี่ก็เพียงพอสำหรับการพักผ่อนที่เมืองระหว่างทางแล้วครับ
จาก Montreux สามารถนั่งรถไฟตรงเข้า Zurich หรือจะแวะเที่ยวเมืองหลวงของประเทศสวิส
อย่างเมืองเบิร์น (Bern) ก่อนก็ทำได้ เพียงใช้เวลาประมาณ 1 ชม 45 นาที ในการเดินทางมาเมืองเบิร์น
จริงๆแล้วถ้านั่งรถไฟจาก Zermatt ตรงไปยัง Zurich เลยจะใช้เวลาประมาณ 3.30 ชม
ผมเลยไม่อยากนั่งรถไฟนานๆเลยเลือกแวะพักมองเทรอซ์และเที่ยวเมืองเบิร์นก่อน
เบิร์น (Bern)
เมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์ มีหมีเป็นสัญลักษณ์ ตั้งอยู่เกือบกึ่งกลางประเทศ
ชื่อเมือง “เบิร์น” มาจากคำว่า แบร์ ในภาษาดัตซ์ ซึ่งก็คือหมี สัตว์ที่ยุคแบร์ชโทลด์นำมาตั้งเป็นชื่อเมือง
จากการที่ทรงดำริว่าจะตั้งชื่อเมืองตามสัตว์ที่พบและฆ่าได้สำเร็จเป็นตัวแรก
หมีจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองและเพื่อยืนยันว่าเบิร์นเป็นเมืองหมีจริงๆ
จึงได้มีการสร้างบ่อหมีไว้ ทุกวันนี้ก็ยังมีหมีตัวเป็นๆ ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ชมอยู่หลายตัว
ถ้าอยากชมทิวทัศน์ให้เห็นเมืองเบิร์นทั้งเมือง ขอแนะนำให้ไปที่ Rosengarten หรือสวนกุหลาบ
ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่เดิมของสุสานประจำเมือง มองลงมาจะเห็นตัวเมืองเบิร์นได้ทั้งเมือง
โดยมียอดหอคอยของวิหารมึนสเตอร์ตั้งโดดเด่น เป็นจุดสูงสุดของเมือง
จากจุดนี้สามารถนั่งรถเมล์จากสถานีรถไฟเพื่อมาลงยังสวนแห่งนี้ได้ ถ้ามี Swiss Pass ก็สามารถเดินทางได้ฟรี
วิวจากด้านบนสวยงามมาก สามารถมองเห็นทัศนียภาพเหนือกรุงเบิร์นได้ทุกด้าน
แม้จะเห็นแต่หลังคาของอาคารบ้านเรือนสีน้ำตาลแดงเต็มไปหมดก็ตาม
จากด้านบนนี้ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่ากรุงเบิร์นตั้งอยู่บนเนินผาสูง
ริมฝั่งแม่น้ำอาเรอที่ตีวงโค้งโอบเมืองไว้ทั้ง 3 ด้าน
เป็นชัยภูมิในการป้องกันการรุกรานจากศัตรูได้เป็นอย่างดี
สวนหมีสัญลักษณ์กรุงเบิร์น ข้ามสะพานไนเดกก์บรึคเคอไปก็จะถึง
สวนหมี หรือเบเรนกราเบิน (Barengraben) ที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้ทราบว่า
เบิร์นแห่งนี้เป็นเมืองหมี ชื่อเมืองมีต้นกำเนิดจากหมี ภายในมีหมีสีน้ำตาลอยู่ 2-3 ตัว
อาศัยอยู่ภายในรั้วตาข่ายริมฝั่งแม่น้ำอาเรอ สามารถเดินชมได้
บ่อน้ำพุร้อนในกรุงเบิร์นจัดว่ามีความสวยงาม โดยเฉพาะรูปประดับบนยอดเสาเหนือน้ำพุที่มีสีสัน
เป็นบ่อที่ต่อท่อมาจากแหล่งน้ำพุธรรมชาติมาเก็บไว้ในบ่อเพื่อให้ดื่มกิน
รูปปั้นประดับหัวเสาเหนือน้ำพุ ในหลายๆ เมืองรวมทั้งที่เบิร์นจะประดับด้วยเทพีแห่งความยุติธรรม หรือจูสเตเซีย
ซึ่งเป็นเทพธิดาของชาวกรีกโบราณ และยังมีรูปปั้นประดับน้ำพุอยู่อีกหลายแบบ เช่น
น้ำพุแซริงเงิน ที่เป็นรูปปั้นหมีใส่ชุดเกราะถือธง
นอกนั้นก็มีน้ำพุนักรบ น้ำพุโมเสส น้ำพุแซมสัน น้ำพุนักเป่าปี่ และน้ำพุปีศาจกินเด็ก
ถ้าใครมีสัมภาระใบใหญ่แล้วไม่อยากลากไปเที่ยวด้วย
ตามสถานีรถไฟจะมีที่รับฝากกระเป๋า มีทั้งแบบล็อกเกอร์และเค้าเตอร์รับฝาก
ผมใช้เวลาเที่ยวกรุงเบิร์นประมาณ 1-2 ชม แล้วนั่งรถไฟมายังจุดหมายสุดท้ายของทริปนี้
โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชม ก็มาถึง…ซูริค
ซูริค (Zurich)
ถึงแม้ว่าซูริคจะไม่ใช่เมืองหลวงของสวิส แต่ก็เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศนี้
อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงระดับโลก เป็นศูนย์กลางทางธุรกิจและวัฒนธรรม
การคมนาคมซึ่งรวมไปถึงทั้งทางบกและทางอากาศ
โดยในปี 2006-2008 เมืองซูริคได้รับรางวัลเมืองที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลกอีกด้วย
ใครที่มาซูริคครั้งแรกก็คงต้องตรงมาที่ ถนนบาห์นโฮฟชตราสเซ (Bahnhofstrasse)
ถนนสายหลักที่อยู่ใจกลางเมือง สามารถเดินมาจากสถานีรถไฟได้เลย สองข้างทางจะเรียงรายไปด้วย
ห้างสรรพสินค้า แหล่งช็อปปิ้งหลากหลาย ทั้งร้านแบรนด์เนม เครื่องประดับ นาฬิกา
ร้านอาหาร คาเฟ่เก๋ๆ ตลอดทางยาวประมาณ 1.4 กม ไปจนสุดที่ ทะเลสาบซูริค (Lake Zurich)
จริงๆแล้วซูริคเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่นัก สามารถเดินได้ทั่ว โดยเฉพาะย่านเมืองเก่า (Zurich Old Town)
มี เนินเขาลินเดนฮอฟ (Lindenhof Hill) เป็นเนินเขาเล็กๆที่อยู่ในเขตศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของเมือง
ซึ่งบริเวณนี้จะเป็นจุดชมวิวเขตเมืองเก่าของซูริคที่อยู่อีกฝั่งแม่น้ำจากมุมสูง
เสน่ห์อย่างหนึ่งของเมืองซูริคคือจะมีรถรางที่แล่นผ่านจุดต่างๆทั่วเมือง
สำหรับผม 1 คืนในซูริคอาจเก็บได้ไม่ทั่ว แต่นักท่องเที่ยวหลายคน
มักจะมองซูริคเป็นแค่เมืองแวะพักก่อนไปขึ้นเครื่องเท่านั้น
แท้ที่จริงแล้วซูริคมีเสน่ห์และสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอีกหลายแห่ง
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา และแล้วก็ต้องโบกมือบ๊ายบายประเทศสวิตเซอร์แลนด์กันแล้ว
จากในตัวเมืองซูริคนั่งรถไฟมาที่สนามบินใช้เวลาประมาณ 10 นาที รวดเร็วมาก
และจะประหยัดเวลาได้อีกมากขึ้นถ้าทำการ Check-in Online ล่วงหน้าผ่านทางมือถือ
หรือ เว็บการบินไทย thaiairways.com
สามารถเข้าไปเลือกที่นั่ง หรือเลือกรับ Boarding Pass ทาง E-Mail หรือเค้าเตอร์สายการบินก็ได้
ช่องบริการมีหลายช่อง พอมาถึงสนามบินก็สามารถโหลดสัมภาระใต้ท้องเครื่องที่เค้าเตอร์ได้เลย
ยิ่งทำเช็คอินล่วงหน้า ยิ่งมีเวลาเผื่อให้เดินช้อปปิ้งที่สนามบินอีกมากโข
อาหารบนเครื่องเสิร์ฟ 2 มื้อ โดยมื้อแรกผมทำการเลือกเมนูอาหารซีฟู้ดล่วงหน้าก่อนเดินทาง 48 ชม
ส่วนเมนูตอนเช้าก่อนเครื่องถึงไทย เป็นเมนูไข่เบาๆ ส่วนเครื่องดื่มก็มีทั้งไวน์ เบียร์ และอีกหลายอย่าง
สิ่งอำนวยความสะดวกบนเครื่องก็มีให้ครบ ทั้งจอส่วนตัว หูฟังไว้ดูหนังฟังเพลงเพลินๆ
และ หมอน ผ้าห่ม เผลอแปปเดียว 12 ชม ก็ถึงเมืองไทยแล้วครับ
สมแล้วกับที่ได้รางวัล World’s Best Economy Class Airlines 2017
จากการจัดอันดับของ Skytrax ในครั้งล่าสุด
คงไม่ต้องถามผมว่าผมฟินระดับกี่ดาว สมแล้วกับที่เป็นประเทศในฝันของใครหลายๆคนรวมถึงตัวผมเอง
ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 2 ที่ผมได้มาเยือนประเทศสวิตเซอร์แลนด์
แต่ผมกลับไม่รู้สึกเบื่อ มีแต่จะชอบในความเป็นธรรมชาติ และความเป็นสวิสมากขึ้น
ทริปนี้ผมได้เที่ยว 3 ประเทศ คือ Belgium , Luxembourg และ Switzerland
ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผมยังไม่เคยมา จนทุกวันนี้ยังติดตา ตรึงใจผมไปอีกนาน…
ขอขอบคุณการบินไทยสำหรับเส้นทาง Bangkok-Brussels , Zurich-Bangkok
ขอบคุณ Rail Europe สำหรับตั๋ว Swiss Pass 8 วัน ชั้นหนึ่ง ที่ทำให้การเดินทางราบรื่น
ขอบคุณ Tripizee สัญญาณ Wi-Fi ชัด แรง ลื่น แม้อยู่บนจุงเฟราก็ยังชัด
ขอบคุณ DJI Thailand สำหรับอุปกรณ์ Osmo Mobile ที่ใช้ในการถ่าย VDO
ขอบคุณ Huawei Mate 9 สำหรับภาพ VDO ที่มีคุณภาพสูง
ขอบคุณ Nikon Thailand สำหรับเลนส์ที่ใช้ในการถ่ายภาพหลัก
และขอบคุณชาวสวิสที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้ของผมสนุกยิ่งขึ้น
ถ้าถามผมว่าจะกลับมาอีกมั้ยที่ประเทศนี้ ผมตอบแบบไม่ต้องคิดเลยว่า “กลับมาอีกแน่นอน!!!”
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^