แต่มีเพียงน้อยคนที่จะบอกชื่อสถานที่เที่ยวในประเทศนี้ได้ถูก ทั้งที่ยังไม่เคยไป
ก็แน่ละครับ ประเทศนี้เป็นอดีตดินแดนหลังม่านเหล็ก ที่หลายคนยังไม่ค่อยรู้จัก
เตรียมตัวก่อนเดินทาง + จองตั๋ว
ผมเชื่อว่าหลายคนอยากทราบที่มาที่ไปของตั๋วราคาถูกที่ผมได้มาในคราวนี้แน่ๆ ก็แหงล่ะคนละ 5,610 บาท
Full Service มีทั้งอาหารและน้ำหนักกระเป๋าให้โหลด แถมได้นั่ง Boeing 787 Dreamliner อีกด้วย
คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม จริงม้ายยยยย!!! เมื่อเห็นราคานี้โผล่มาทางเฟสบุ๊คเพจชื่อดังว่ามีตั๋วหลุดตั๋วโปรออกมา
ไหงเลยจะรอช้า ผมนี่รีบคลิกเข้าไปดูทันที…
ตอนแรกต้องจองผ่านเว็บเอเจ้น แล้วได้ราคา 8,xxx บาท แต่เว็บนั้นไม่ยอมส่งตั๋วมาให้ทางเมลซักที
เงินในบัตรเดบิตของผมก็ไม่ถูกตัดซะด้วย ชักใจไม่ดี ผมเลยโยกเงินในบัตรเดบิตของผมไปไว้อีกบัญชี
ก่อนที่เงินนี้จะถูกตัด และได้เข้าไปจองที่เว็บของ AirIndia โดยตรงโดยใส่วันที่ เวลา หาไฟลท์เองอีกที
ในหน้าเว็บสายการบิน ทันใดนั้น ปุ้ง!!! ราคา 5,610 บาทก็ปรากฏต่อสายตาของกระผมทันที รู้ตัวอีกที
ได้เป็น E-Ticket Itinerary ซะแล้ว หุหุ!!!
แต่…เรื่องมันไม่จบแค่นี้ ตั๋วเครื่องบินนี้เป็นตั๋วแบบ Multi City
ขาไป : กทม (สุวรรณภูมิ) -> นิวเดลี อินเดีย -> มอสโก รัสเซีย
ขากลับ : มอสโก รัสเซีย -> นิวเดลี อินเดีย -> มุมไบ อินเดีย -> สิงคโปร์
ผมยังไม่มีตั๋วกลับ กทม จากสิงคโปร์ ผมเลยไปจองของ Scoot เพิ่ม อีก 1 เที่ยว ได้ในราคา 1,900 บาท ต่อคน
เท่ากับว่าผมไปกลับรัสเซียด้วยตั๋วราคา 5,610 + 1,900 = 7,510 บาท ต่อคน ถือว่าคุ้มสุดๆ
และได้เที่ยว 3 ประเทศเชียวนะ ฮ่าๆๆๆๆ
ยัง!!! ยังไม่จบเท่านี้ ของถูกของดีมักมาคู่กับความยากลำบาก ในส่วนขากลับของ AirIndia
ถ้าลองสังเกตดู จะเห็นว่าจากนิวเดลี มา มุมไบ และ จากมุมไบ มา สิงคโปร์
ผมต้องเปลี่ยน Terminal จาก Domestic เป็น International
พูดง่ายๆ อารมณ์เหมือนนั่งเครื่องลงดอนเมืองแล้วไปต่อที่สุวรรณภูมินั่นเอง ทำให้ต้องผ่าน ตม.
งานเพิ่มคือต้องทำ Visa India ซิครัช จากที่หาข้อมูลมา อินเดียมีวีซ่าแบบทรานสิท อยู่ได้ 3 วัน (ก็พอแล้วววว)
ราคา 900 บาท ผมเลยถือโอกาสแวบออกไปเที่ยวนิวเดลีด้วย ถือเป็นกำไรที่ได้มาอินเดียรอบที่ 2 ของผม ^^
เกริ่นซะยาวมา 1 หน้ากระดาษ A4 ถึงตอนนี้ผมกำลังออกเดินทางไปรัสเซียแล้วนะ ^^
AirIndia ใช้เครื่องบินแบบ Boeing 787 Dreamliner เครื่องใหม่มากกกกกก
ความล้ำของเครื่องนี้อยู่ที่หน้าต่างเวลาเครื่องเทคออฟขึ้นบินเหนือน่านฟ้าแล้ว หน้าต่างปรับเปลี่ยนสีได้
โดยไม่ต้องดึงที่บังแดดลงมาเหมือนเครื่องที่เราๆเคยนั่งกัน ปรับความเข้ม ความเบาได้ เล่นเพลินเลยครับ ฮ๋าๆๆ
ส่วนอาหารบนเครื่องบอกเลยว่าจัดเต็มมาก แอร์จะเดินมาถามว่า veget or non-veget
ตอบไปแบบมั่นใจเลยว่า non-veget อาหารทุกมื้อบนเครื่อง ทานได้หมดไม่เหม็นกลิ่นเครื่องเทศแน่นอนนน
กทม -> นิวเดลี เสิร์ฟอาหาร 1 มื้อ
นิวเดลี -> มอสโก เสิร์ฟอาหาร 2 มื้อ
มอสโก -> นิวเดลี เสิร์ฟอาหาร 2 มื้อ
นิวเดลี -> มุมไบ เสิร์ฟอาหาร 1 มื้อ (เป็นเครื่อง Airbus A321 บินภายในประเทศ)
มุมไบ -> สิงคโปร์ เสิร์ฟอาหาร 1 มื้อ
รวมทั้งหมด อิ่มหนำสำราญ 7 มื้อบนเครื่องบินไปกลับคร้าบบบบ หุหุ!!!
คำถามยอดฮิต นั่งเครื่องแขกแล้วเหม็นกลิ่นแขกมั้ย ตอบตรงๆ ผมเลือกที่นั่งโซนหน้าๆเลย เพราะคิดว่ายังไง
เราคงเป็นต้นลม ถ้ามีกลิ่นแขกจากต้นลมก่อนเราก็คงไม่มากเหมือนนั่งท้ายๆเครื่องแน่ ฮ่าๆๆ (คิดไปเองนะ)
ขึ้นไปแรกๆบอกตรงๆเลยว่ามีกลิ่นแขก แต่พอเครื่องเทคออฟได้ซักพักกลิ่นนั้นไม่มีอีกเลย
หรือเป็นว่าจมูกผมมันตันหรือชินชาไปซะแล้ววววเนี่ยยย
ขาไปช่วง Transit ที่นิวเดลีผมไม่ได้ออกไปเที่ยวข้างนอก เพราะว่าวีซ่าทรานสิทมีอายุแค่ 3 วัน
หลังจากประทับตราเข้าประเทศเท่านั้น ผมเก็บไว้ใช้ขากลับดีกว่า สนามบินนิวเดลีไม่มีฟรี wi-fi นะครับ
ถ้าอยากเล่นเน็ทต้องซื้อซิมอินเดียแล้วไปขอ password wi-fi ถึงจะเล่นได้
กว่าหลาย ชม. ผมก็ได้มาถึงสนามบิน Domodedovo Airport (DME) กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย
แล้ววววววววว ปรับเวลาให้ดี เพราะที่นี่เวลาจะช้ากว่าไทยเราประมาณ 4 ชม. ครับ
ตามแพลนของผมคืนนี้เราจะนอนบนรถไฟเพื่อไปเที่ยว St.Petersburg ก่อนแล้วค่อยกลับมาเที่ยวที่มอสโก
ในวันกลับ ที่รัสเซียภาษาอังกฤษเป็นอะไรที่หายากมากกกกกกกกก แม้กระทั่งในสนามบินก็ตาม
จากสนามบินมีรถไฟ Aeroexpress เพื่อเข้าตัวเมืองมอสโก ใช้เวลาประมาณ 45 นาที
การซื้อตั๋วรถไฟให้ซื้อผ่านตู้คิออส (มีภาษาอังกฤษบอกที่ตู้) จ่ายเงินแล้วรับใบเสร็จมาอย่าทิ้งใบเสร็จนะครับ
เพราะใบเสร็จนั้นมีบาร์โค้ดอยู่เพื่อใช้สแกนตอนขึ้นรถไฟ ถ้าเผลอทิ้งไปล่ะก็งานงอกต้องซื้อใหม่ไม่รู้ด้วยนะ หึหึ
รถไฟ Aeroexpress จากสนามบินหมดเวลา 00.00 น. นะครับ คุณมีเวลาหลังจากลงเครื่องและมาขึ้นรถไฟ
แค่ 40 นาทีเท่านั้น ถ้ามา AirIndia อย่าชะล่าใจไป เตือนไว้ก่อน
รถไฟจะมาจอดที่สถานี Paveletskaya ซึ่งเป็นสถานีปลายทาง และต้องต่อรถไฟใต้ดินไปยังสถานี Komsomolskaya
ทางออก Ленингра́дский вокза́л (อย่าให้อ่านนะครับ อ่านไม่ออก ฮ่าๆๆ)
ส่วนลิ้งค์ด้านล่างนี้เป็นลิ้งค์สถานีรถไฟใต้ดินในกรุงมอสโก แต่อย่าลืมโหลดแอพรถไฟใต้ดินไปด้วยจะดีกว่า
เพราะที่มอสโก ทั้งชื่อสถานีรถไฟใต้ดิน ชื่อทางออก เป็นภาษารัสเซียทั้งสิ้นจะต่างกับที่ St.Petersburg
ที่มีภาษาอังกฤษบอกทุกสถานี (link สถานีรถไฟใต้ดินในกรุงมอสโก)
Leningradsky Railway Station คือสถานีต้นทางที่จะเดินทางไป St.Petersburg
ก่อนเดินทางผมจองตั๋วรถไฟมาแล้วจากเว็บจองรถไฟของรัสเซียโดยตรง (link เว็บจองรถไฟของรัสเซีย)
ปริ้นตั๋วจากไทยมา พอตอนขึ้นรถไฟเพียงแค่โชว์กระดาษที่เราปริ้นมาเท่านี้ก็จบเลย
ขาไปขบวนที่ผมนั่งต้องปูที่นอนเองนะครับ ในหนึ่งห้องมี 4 เตียง เตียงบน 2 เตียงล่าง 2
ราคาเตียงล่างจะแพงกว่าเตียงบนนิดหน่อย ของสามารถเก็บไว้ใต้เตียง ยกตรงที่เรานอนขึ้นมา
มีช่องเก็บสัมภาระซ่อนอยู่เราสามารถเก็บของทุกอย่างได้ไว้ใต้นี้ โดยที่มีตัวเราเองกำลังนอนทับอยู่ หุหุ ไม่หายแน่นอน
ในเว็บไม่สามารถจองเตียงล่างได้พร้อมกันในบุ๊คกิ้งเดียวกัน ต้องจองแยกบุ๊คกิ้งแล้วระบุตู้นอน
ที่นอนให้เป็นเตียงล่างทั้งคู่ แล้วจะได้ 2 เตียงล่างในห้องเดียวกันแบบสมใจ ^^
ระยะเวลากว่า 9.30 ชม. นอนจนเพลินเลยจากมอสโกมาถึงเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก
ช่วงที่ผมมาเป็นช่วงฤดูร้อนของรัสเซีย ช่วงเวลากลางวันช่างแสนยาวนานสุดๆ อากาศไม่หนาวเย็นเกินไป
ประมาณ 20 องศาต้นๆ เดินใส่เสื้อคลุมเดินได้ชิวๆ ช่วงหน้าร้อนแบบนี้คงเหมาะกับคนที่ชอบถ่ายรูป
เพราะระยะเวลากลางวันยาวนาน เที่ยวคุ้มในจำนวนวันที่มีจำกัด พระอาทิตย์ขึ้น 6.30 น. และตกประมาณ 23.30 น.
คุ้มมั้ยละครับ กับช่วงกลางวันที่ยาวนานแบบนี้ ^^
สิ่งแรกที่ผมทำเมื่อมาถึงเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กเลยคือ เช็คอินเข้าที่พักเพื่อเอากระเป่าไปเก็บก่อน
ผมจองที่พักผ่าน www.expedia.co.th ปริ้นใบจองจากไทยแล้วยื่นให้ที่พักได้เลย
Ave Caesar Hotel (Pushkinskaya UL.) คือชื่อที่พักที่ผมจองมา โดยมีเงื่อนไขตอนเลือกว่า
มีอาหารเช้า แค่ 3 ดาว และเดินไม่ไกลจากสถานีรถไฟก็พอ
เพียง 400 เมตรจากสถานีรถไฟ และ 200 เมตร ห่างจากสถานีรถไฟใต้ดิน ค่อนข้างสะดวกในการเข้าพักมากเลยครับ
ตัวโรงแรมอยู่บนตกชั้น 3 มีอยู่ประมาณ 5 ห้อง ระบบ security ค่อนข้างดี เพราะก่อนจะเข้ามาด้านในนี้ได้
ต้องกด password ถึง 2 ชั้น แล้ว password ได้มาจากไหนตอนแรกที่เข้ามาถึงใช่มั้ยครับ
ด้านหน้ามีโทรศัพท์แบบผู้รับสายปลายทางเห็นหน้าเรา เราโชว์ใบจองที่เราปริ้นมาเค้าก็จะเปิดประตูให้ในครั้งแรก
แต่หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้วทาง รร จะให้ password กับเรามา แต่ถ้าเข้าที่พักหลัง 23.00 น.
ต้องโทรเข้าไปเท่านั้น password จะใช้ไม่ได้นะครับบบบบ เป็นไงล่ะ security มากมั้ย
อาหารเช้าก็ง่ายๆ พออิ่มท้องมื้อเช้า เติมขนมปังได้ตลอด
ใกล้ที่พักมีร้านอาหารอยู่ร้านนึงเปิด 24 ชั่วโมง มีเมนูภาษาอังกฤษ และพนักงานสื่อสารภาษาอังกฤษได้ด้วย
ราคาก็ไม่แพงมากครับ แถมสาวเสิร์ฟน่ารักด้วยนะ อิอิ ^_____^
ก่อนเที่ยว St.Petersburg (เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก) ผมขอแนบแผนที่ที่เที่ยวในเมืองนี้ให้ดูก่อน
ผมเอามาจากเว็บเที่ยวรัสเซียอีกที ต้องขอบคุณมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ
นครเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของรัสเซียรองจากกรุงมอสโก และเป็น 1 ใน 10
เมืองที่น่าท่องเที่ยวมากที่สุดของโลก คนส่วนมากเรียกขานเมืองนี้ว่า “เมืองแห่งเวนิสเหนือ (Northern Venice)”
เพราะว่ารอบล้อมไปด้วยมหาสมุทรและคลองเป็นจำนวนมาก
สถาปัตยกรรมของรัสเซีย เมื่อคุณมาถึงที่นี่คุณจะรู้ทันทีว่าต่างจากที่อื่นในยุโรป มีกลิ่นอายของยุโรปปนแขก
แม้ตามตึกรามบ้านช่องต่างๆในเมือง ยังดูออกเลยว่าที่นี่แหล่ะ คือ…รัสเซีย
ตามถนน ตามสวนสาธารณะจะเห็นจิตรกรจำนวนมากนั่งวาดรูปเหมือนอยู่ตามสองข้างถนน
ผู้เป็นแบบมีความสุข จิตรกรก็มีความสุขไปด้วย จริงมั้ยครับ ^^
ปัจจุบันนครเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมที่สำคัญ อีกทั้งเป็นเมืองแห่งวิทยาศาสตร์
และการอุตสาหกรรมต่างๆที่สำคัญของรัสเซีย มีพิพิธภัณฑ์และห้องจัดนิทรรศการศิลปะมากมาย
เป็นศูนย์รวมของนักศิลปะ นักประพันธ์ นักเขียน ทั้งในและต่างประเทศ หลั่งไหลกันมาที่นี่
เพื่อให้นครเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรผลงานของเขา
จากที่เกริ่นไปในตอนต้นว่าเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กเป็นเมืองแห่งเวนิสเหนือ เพราะมีลำคลองพาดผ่านกลางเมือง
อยู่หลายสาย ถ้ามีเรือกอนโดล่า และคลองแคบกว่านี้อีกหน่อยนะใช่เลย อิตาลี ><
เดินไปเดินมาเรื่อยๆก็ผ่านไฮไลท์ที่สุดของที่สุดในการมาเยือนเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก โบสถ์นี้แหล่ะครับ
ชื่อว่าอะไร สวยงามแค่ไหนให้ดูไกลๆไปก่อน เดี๋ยวค่ำๆผมจะมาเที่ยวที่นี่อีกครั้ง สัญญา!!!
– The State Hermitage (พิพิธภัณฑ์มรดกแห่งชาติรัสเซีย)
เป็นสถานที่จัดแสดงผลงานศิลปะและวัฒนธรรม เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในโลก
เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าไปชมด้านใน (แต่ผมไม่ได้เข้าไปชมนะ ><) ราคาเข้าชม 400 RUB
หยุดทุกวันจันทร์ อีกทั้งที่นี่ยังเคยเป็นที่ประทับของ ร.5 เมื่อครั้งเสด็จมาที่เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กแห่งนี้ด้วย
– Dvortsovaya Square (จตุรัสพาเลซ)
อยู่ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์เมื่อครู่เลย เป็นเสาขนาดใหญ่ตั้งเด่นสง่าอยู่ใจกลางลานกว้าง
เสานี้เรียกว่า Alexander Column หรือเสาหินอเล็กซานเดอร์ เป็นหนึ่งในอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงที่สุด
ในเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงชัยชนะในสงครามเหนือนโปเลียนแห่งฝรั่งเศส
เป็นเสาที่เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วย
– Peter and Paul Fortress (ป้อมปีเตอร์แอนด์ปอล)
เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ตั้งชื่อโบสถ์ตามชื่อนักบุญ 2 องค์ ผู้ทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนาคือ
นักบุญปีเตอร์และนักบุญปอล ซึ่งประชาชนนับถือเป็นอย่างมาก โดยรูปนี้ผมถ่ายบนสะพานที่สวยงาม
ทอดตัวข้ามแม่น้ำเนวาและสะพานเหล่านั้นยังสามารถปิด-เปิด เพื่อให้เรือขนส่งสินค้าวิ่งเข้าออกได้
ในเวลากลางคืนอีกด้วย
ณ. สวนสาธารณะแห่งนี้มีเรื่องเกิดขึ้น เมื่อผมจะเดินตัดสวนเพื่อไปยังมหาวิหารเซ็นต์ไอแซค
ที่มีจุดชมวิวมุมสูงที่สวยงามด้านบน ขณะที่กำลังเดินผ่านสวนแห่งนี้ มีชายคนหนึ่งเดินมาขายโปสการ์ด
ผมกับเพื่อนก็ปฏิเสธแล้วรีบเร่งฝีเท้าเดินหนีไป แต่ชายคนนั้นก็ยังตื๊อเพื่อนผมไม่เลิก
ผมเห็นว่ามันแปลกๆเลยหันไปดู ปรากฏว่าเห็นชายอีกคนหยิบมือถือจากกระเป๋าเป้ที่สะพายไว้ด้านหลัง
ของเพื่อนผมแบบเต็มๆตา ผมเลยตะโกน ชายคนนั้นก็ทำทีท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ณ. ตอนนั้นชายคนที่ขายโปสการ์ดไม่อยู่แล้ว ผมไม่ได้เอะใจอะไรกับชายคนนั้น เพราะคนที่หยิบมือถือเพื่อนผมไป
คือคนที่อยู่ตรงหน้า เราเลยขอค้นตัว ชายคนนั้นก็ให้เราค้นตัวแต่โดยดี ค้นอย่างละเอียดล้วงไปถึงก้น
(แต่ไม่ได้ล้วง…ตรงนั้นนะ) ก็ไม่พบอะไร ชายคนนี้ยังชี้ไปทางอื่นอีกพร้อมบอกว่าตัวเค้าเองไม่ได้ขโมย
คนอื่นขโมยแล้ววิ่งไปแล้ว แต่ผมไม่เชื่อเพราะเห็นกับตา แต่ค้นอีกรอบก็ไม่พบมือถือเครื่องนั้น ทำไงได้
ได้แต่ทำใจและยืนคิดโดยที่ปล่อยให้ชายคนนั้นเดินจากพวกเราไป พอชายคนนั้นเดินห่างพวกผมไปได้ 100 เมตร
ก็หันโบกมือบ๊ายบายและวิ่งหนีไป เท่านั้นแหล่ะเพื่อนผมวิ่งตามแบบไม่คิดชีวิตทันที แต่…
ไม่ทันเนื่องจากกระเป๋ากล้องที่หนักอึ้งและเราก็ไม่คุ้นทางละแวกนั้นด้วย ทำใจครับ iPhone 6 Plus หายไปกับตา
คงไม่ต้องถามนะครับว่าเศร้าแค่ไหน แต่เป็นข้อเตือนใจว่าไปเที่ยวต่างแดนไม่ควรสะพายกระเป๋าไว้ด้านหลัง
นี่โชคดีแค่มือถือเพราะในกระเป๋าใบนั้นมีเงินกองกลาง เงินส่วนตัว และพาสปอร์ตรวมอยู่ด้วย
ถ้าหายไปนี่งานงอกแน่ครับ
– Admiralty (ตึกบัญชาการฐานทัพเรือ)
ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป หลังจากผ่านเรื่องเศร้าที่ทำอะไรไม่ได้มากเพราะไปแจ้งความตำรวจก็คงสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้ ที่นี่เป็นอาคารเก่าแก่ที่สุดของนครเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นศูนย์กลางการควบคุมทางทะเล
เป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดของเมือง บนยอดมีการติดตั้งรูปเรือโบราณเป็นสัญญลักษณ์ของเมืองอาคารหลังนี้
เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นความเป็นมหาอำนาจทางทะเล ด้านหลังของอาคารมีสวนสาธารณะ มีสวนหย่อมและน้ำพุ
ใช้สำหรับพักผ่อน สวนแห่งนี้เรียกชื่อว่า ” สวนอเล็กซานเดอร์ ”
สถานที่ตั้งติดแม่น้ำเนวา บนถนนเนฟสกี้ใกล้กับพระราชวังฤดูหนาว
– St. Isaac’s Cathedral (วิหารเซ็นไอแซค)
เป็นหนึ่งในมหาวิหารที่สวยที่สุดของรัสเซีย ออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส ภายในประดับประดาด้วยปฏิมากรรมบอร์นและภาพวาดกว่า 400 ชิ้น ตั้งอยู่ใกล้สถานีใต้ดิน Gostiny Dvor และ Nevsky Prospekt
หรือจะเดินข้ามฝั่งจากสวนอเล็กซานเดอร์เมื่อครู่ก็ได้ โบสถ์เปิดเวลา 11.00-18.00 น. ปิดทุกวันพุธ
แต่จะมีทางขึ้นไปชมวิวมุมสูงบนยอดโบสถ์แห่งนี้ปิดเวลา 22.00 น. ค่าขึ้นไปชมด้านบนราคา 300 RUB
เมื่อเดินขึ้นบันไดวนกว่าร้อยขั้น ความงดงามรออยู่เบื้องหน้า ด้านบนเป็นวิวแบบพาโนรามา 360 องศา
สามารถชมวิวอันสวยงามของนครเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กได้จากที่นี่ ประมาณว่ามาที่นี่ที่เดียวได้ภาพมุมสูง
เกือบครบทั้งเมืองเลยครับ คุ้มนะแค่คนละ 300 RUB อยู่ได้นานถึง 22.00 น. ในช่วงฤดูร้อนแบบนี้
แต่อากาศด้านบนหนาวเย็นสุดๆเลยครับ ><
เห็นวิวมุมสูงของโบสถ์แห่งนี้ที่ที่เราจะไปหลังจากนี้อีกด้วยครับ
พระราชวังฤดูหนาว ก็สามารถมองเห็นได้จากมุมบนนี้
มุมด้านบนจะเห็นได้ชัดว่าเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กเป็นเมืองที่รายล้อมด้วยแม่น้ำและลำคลองจริงๆ
มองไกลๆเห็นโบสถ์ที่มีหลังคาสีฟ้า ตัดกับสีของท้องฟ้าหวานๆยามเย็นเหลือเกิน
ผมไม่แน่ใจว่าโบสถ์นี้ชื่อว่าอะไร ใครรู้บ้างบอกผมด้วยนะคร้าบบบบบ ><
พระจันทร์ขึ้นแล้ว อีกมุมด้านนึงพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า คงยากที่จะได้เห็นภาพแบบนี้
แถมช่วงที่ผมไปเป็น super moon พระจันทร์ดวงโตลอยอยู่เหนือท้องฟ้ากลางนครเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก
ขณะนี้เป็นเวลา 21.30 น. เองครับ ><
– Nevsky Prospect (ถนนเนฟสกี้)
เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กเป็นมหานครที่ไม่หลับไหลจริงๆ ถนนเนฟสกี้ เป็นถนนสายหลักของนครเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก
เป็นเสมือนหัวใจของเมืองเลยก็ว่าได้ สวยที่สุดของเมือง รายล้อมด้วยพระราชวัง สำนักงานต่างๆ ห้างสรรพสินค้า
โรงแรมและสวนสาธารณะ ความยาวของถนนประมาณ 4.5 กิโลเมตร เริ่มต้นที่ลานกว้างของฤดูหนาวไปจนสุดถนนเนฟสกี้และเชื่อมกับถนนอีกสายคือ ถนนอเล็กซานเดอร์ เนฟสกี้ ความสวยงามของถนนเส้นนี้ถูกเนรมิตถนน
ให้มีรูปแบบศิลปะฝรั่งเศสผสมอิตาลี สีของอาคารเป็นสีอบอุ่นหลากหลายสี สวยงามมากครับ
– Church of Christ’s Resurrection (โบสถ์แห่งหยดเลือด)
และแล้วก็มาถึงสถานที่ไฮไลท์ของนครเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก โบสถ์แห่งหยดเลือดเปรียบเหมือนสัญลักษณ์
ของเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กเลยก็ว่าได้ รูปทรงจะคล้ายกับโบสถ์ที่มอสโก (เดี๋ยวมีพาไปชมแน่นอน ^^)
มีลำคลองอยู่ด้านข้าง มีเรือชมวิวสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากชมเมืองทางเรือ
ช่วงกลางคืนเปิดไฟประดับประดาบริเวณโบสถ์ ทำให้โบสถ์นี้ดูสวยงามกว่าตอนกลางวันที่เดินผ่านมาซะอีก
โบสถ์นี้เป็นอนุสรณ์ที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 3 สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระบิดาพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2
ผู้ปลดปล่อยชาวนา ซึ่งถูกลอบปลงพระซนม์บริเวณนี้ สร้างด้วยรูปแบบศิลปะยุคฟื้นฟู
เลียนแบบโบสถ์โบราณของกรุงมอสโก และในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
โบสถ์ได้รับความเสียหายจากระเบิด หลังสิ้นสุดสงครามจึงได้มีการบูรณะใหม่
ผมใช้เวลาดื่มด่ำบริเวณนี้ร่วมชั่วโมง ไม่ให้อยู่นานได้ไงล่ะครับ เพราะความสวยงามในศิลปะสถาปัตยกรรมแบบนี้
หาดูไม่ได้นอกจากที่นี่เท่านั้น รัสเซีย
วันนี้ผมใช้การเดินเท้าเที่ยวในเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กเป็นหลัก ไม่ได้ใช้บริการรถไฟใต้ดินกันเลย
ระยะทางที่ผมเดินเล่นชมเมืองไปเรื่อยๆนี้ก็ประมาณ 10.2 กม. เองครับ O_0
กลับเข้าที่พัก พักขาเก็บแรงเตรียมเที่ยวต่อในวันพรุ่งนี้กันดีกว่า ><
เช้านี้ทานอาหารเช้าเสร็จ เก็บของและเช็คเอ้าท์โรงแรม พร้อมทั้งฝากสัมภาระไว้กับที่พัก
ก่อนที่จะเดินทางไปเที่ยวพระราชวังฤดูร้อน ซึ่งต้องนั่งรถออกไปนอกเมืองเริ่มต้นด้วยการนั่งรถไฟใต้ดิน
ของเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กไปลงสถานี Baltiskaya (เหรียญรถไฟใต้ดินของเมืองนี้เป็นเหรียญทองแดง น่าเก็บสะสมจริงๆ)
และต่อรถมินิบัสสาย 404 หน้าทางออกสถานีเลยครับ ขึ้นไปบนรถลองถามคนขับอีกทีก็ได้ว่าไป Peterhof มั้ย
– Peterhof (พระราชวังฤดูร้อน)
ระยะเวลาร่วม 1 ชม. กับการนั่งรถมาที่พระราชวังฤดูร้อนแห่งนี้ สวนของ Peterhof ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ
คือ Upper Garden และ Lower Garden โดย Upper Garden จะเริ่มตั้งแต่รั้วประตูทางเข้าจากป้ายรถบัสที่เราลง
พอเดินผ่านรั้วเข้ามาก็คือ Upper Garden ซึ่งส่วนนี้สามารถเข้าชมได้ฟรีครับ
เดินจาก Upper Garden จะมีจุดขายตั๋วสำหรับเข้าไปชมความงามในส่วนของ Lower Garden
ราคาเข้าชมอยู่ที่คนละ 500 RUB ไม่รวมค่าเข้าชมด้านในพระราชวังนะครับ เพราะด้านในพระราชวัง
ไม่สามารถเอากล้องเข้าไปได้ รวมถึงคนค่อนข้างมากเปิดเป็นรอบๆ ผมเลยไม่ได้เข้าไปชมภายใน
พระราชวังฤดูร้อน วังเปโตร ดวาเรียส หลังจากทรุดโทรมไปในช่วงสงครามโลกที่ 2 สมัยเยอรมันยึดครอง
ก็ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่จนเกือบสมบูรณ์แบบ พระราชวังฤดูร้อนของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช
ตั้งอยู่อ่าวฟินแลนด์ ห่างจากตัวเมืองไปทางตะวันตก โดดเด่นเป็นพิเศษ คือ น้ำพุอลังการ (ซึ่งปิดในฤดูหนาว)
เดิมทีพระเจ้าปีเตอร์มหาราช สร้างวังนี้ตามแบบเรียบง่าย ที่เห็นวิจิตรโอ่อ่าในขณะนี้เป็นการตกแต่งเพิ่มเติม
โดยซาลีน่าอลิธซาเบธ แต่ร่องรอยสไตล์บาร็อกเดิมอันงดงามสมัยของพระเจ้าปีเตอร์ยังคงมีให้เห็นอยู่
ปีเตอร์ฮอฟ สร้างอยู่บนทำเลงามบนเนินธรรมชาติดุจดัง แวร์ซายส์ริมทะเล
การสร้างน้ำพุซับซ้อนบนเนินดินเป็นเรื่องที่ยากมากในสมัยนั้น
ด้านหน้าของพระตำหนักคือ สวนน้ำซึ่งมีบันไดน้ำตกใหญ่เป็นส่วนที่เด่นที่สุด พร้อมรูปปั้น
แซมซันฉีกปากสิงโตด้วยมือเปล่าเปิดทำการ 10.30 – 17.00 น. ปิดทุกวันจันทร์และวันอังคารสุดท้ายของเดือน
ถ้าใครมาเที่ยวในช่วงฤดูร้อน ผมแนะนำเลยว่าห้ามตัด Peterhof ออกจากลิสต์สถานที่เที่ยวของเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กโดยเด็ดขาด ความอลังการของสวนน้ำพุที่ยิ่งใหญ่ สามารถสะกดเหล่านักท่องเที่ยวทุกคนที่เข้ามาชมได้อยู่หมัด
แม้ฝนจะตกหนัก นานแค่ไหนก็ตามน้ำพุก็จะไม่ปิด เปิดให้ชมตลอดทั้งวัน
ด้านหลังเป็นอ่าวฟินแลนด์ มีเรือครูซล่องไปยังพระราชวังฤดูหนาวที่เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กด้วยนะ
เผื่อใครไม่อยากกลับทางรถ สามารถเลือกลับทางเรือได้ครับ
บริเวณพระราชวังแห่งนี้มีพื้นที่กว้างขวาง สามารถเดินชมถ่ายรูปเล่นได้เกือบทั้งวัน
เต็มอิ่มกับความอลังการงานสร้างของน้ำพุและพระราชวังฤดูร้อนกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ผมได้นั่งรถตู้
จากด้านหน้าพระราชวังเพื่อกลับมายังสถานีรถไฟใต้ดิน
เวลารถไฟที่ผมจะกลับไปมอสโกออกค่อนข้างดึก ผมจึงมีเวลาในการเดินเที่ยวเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กอีกพอสมควร
ผมเลือกที่จะมาโบสถ์แห่งหยุดเลือดอีกครั้งในช่วงเวลาเย็นๆ ได้เห็นเหล่านักท่องเที่ยวและคนรัสเซีย
ใช้ที่นี่เป็นศูนย์กลางของการพบปะพูดคุยกันเป็นส่วนมาก
ลองเข้ามาชมด้านในโบสถ์กันบ้าง ภายในโบสถ์ตกแต่งวิจิตรบรรจงด้วย ฝีมือจิตกรกว่า 30 คน
ค่าเข้าชมด้านในคนละ 400 RUB
ที่รัสเซียจะมีร้านอาหารแบบฟู้ดคอร์สบ้านเราด้วยนะ เดินเข้าไปตักและนำไปชั่งน้ำหนักจาน
จ่ายเงินตามจริง บางชิ้นคิดราคาเป็นชิ้น บางเมนูคิดราคาเป็นน้ำหนักตามที่เราตักครับ
มีอาหารให้เลือกมากมายหลายเมนู ทั้งคาว หวาน เครื่องดื่ม มีให้ครบเลยครับ
และร้านส่วนมากจะตั้งอยู่บริเวณใต้ดินของตึกลองสังเกตดูนะครับ ^^
ได้เวลาโบกมืออำลานครเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กกันแล้วครับ 2 วัน 1 คืน ช่างเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากสำหรับผม
ถ้ามีโอกาสอีกผมจะมาเยือนที่นี่อีกแน่นอนครับ
ขากลับรถไฟที่ผมเลือกเป็น Red Arrow รถไฟที่ขึ้นชื่อของรัสเซีย ราคาไม่ต่างกันกับขามา
แต่รอบที่ออกจะเร็วกว่า มี wi-fi พร้อมทั้งอาหารเช้าให้เลือกด้วยนะครับ กินอิ่มนอนหลับครบสูตรเลย ^^
การเดินทางครั้งนี้ได้ผ่านมาถึงครึ่งทางแล้วครับ
สำหรับตอนต่อไปจะพาไปชมความงามของมอสโก และแถมด้วยนิวเดลีนิดนึงก่อนเดินทางกลับ กทม.
ลิ้งค์ตอนต่อไป (Moscow)
หากใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทางข้อความ ทางโพส ทางคอมเม้นรีวิวนี้
หรือในเพจของผมได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
————————————————–