แต่มีเพียงน้อยคนที่จะบอกชื่อสถานที่เที่ยวในประเทศนี้ได้ถูก ทั้งที่ยังไม่เคยไป
ก็แน่ละครับ ประเทศนี้เป็นอดีตดินแดนหลังม่านเหล็ก ที่หลายคนยังไม่ค่อยรู้จัก
ลิ้งค์ตอนที่แล้ว (St.Petersburg)
Moscow (มอสโก)
ใช้เวลา 9 ชม. (เร็วกว่าขาไปนิดนึง) ก็ถึงกรุงมอสโกแล้ววววววววว ^^
ภาระกิจแรกเลยคือการหาที่ฝากกระเป๋าตามสถานีรถไฟ เพราะคืนนี้ผมจะบินกลับทันทีไม่ได้นอนค้างที่มอสโกครับ
ค่าฝากกระเป๋าคิดตามน้ำหนักไม่เกิน 7 กก. ตกใบละ 170 RUB ครับ ฝากได้ทั้งวันเลย
ก่อนเที่ยว Moscow (มอสโก) ผมขอแนบแผนที่ที่เที่ยวในเมืองนี้ให้ดูอีกที ผมเอามาจาก
เว็บเที่ยวรัสเซีย ต้องขอบคุณมา ณ. ที่นี้อีกครั้งด้วยครับ
ส่วนตั๋วรถไฟใต้ดินจะขายเป็นจำนวนเที่ยว มากี่คนก็ได้โดยใช้บัตรเดียวกันในการแตะเข้า (ขาออกไม่ต้องแตะ)
โดยจำนวนเที่ยวที่มีขายคือ
1 เที่ยว ราคาใบละ 50 RUB
2 เที่ยว ราคาใบละ 100 RUB
5 เที่ยว ราคาใบละ 180 RUB
11 เที่ยว ราคาใบละ 360 RUB
– Izmailovsky Souvenir Market (ตลาดนัดอิสเมลอฟสกี้)
นั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานี Partizanskaya ออกจากสถานีให้เลี้ยวซ้ายเดินไปประมาณ 300 เมตร
จะเจอโรงแรมขนาดใหญ่และสวนสาธารณะ เมื่อเดินผ่านไปก็จะพบกับทางเข้าตลาด
ตลาดอิสเมลอฟสกี้ เป็นที่ขายของจิปาถะมากมาย เสื้อผ้า อาหาร ของฝาก ชองชำร่วย อาทิ รองเท้า เสื้อหนาว
นาฬิกา รูปวาด ไม้แกะสลัก ตุ๊กตาแม่ลูกดก อัมพัน ผ้าพันคอ และอาหารเครื่องดื่มมากมาย ราคาต่างๆ
สามารถต่อรองได้
รูปแบบซุ้มตลาดทำด้วยไม้ จัดวางเป็นซุ้มๆ แบ่งเป็นทางเดินสวยเป็นระเบียบ
ของฝากขึ้นชื่อที่มาแล้วต้องมีซื้อกลับไปฝากคือ เจ้าตุ๊กตาแม่ลูกดก ที่ตลาดแห่งนี้มีขายอยู่หลายร้าน
ลองเดินเทียบราคากันดู ลูกยิ่งดกราคายิ่งสูง วัสดุที่เนี้ยบก็มีราคาที่แตกต่างกันออกไป
ด้านหลังตลาดจัดทำเป็นสถานที่สตูดิโอเวดดิ้ง สำหรับคู่บ่าวสาวมาถ่ายรูปเล่น จะมีป้ายติดหน้าร้านบางร้าน
ว่าห้ามถ่ายรูป ยกเว้นคู่บ่าวสาวของสตูดิโอ
เสร็จสิ้นภาระกิจของฝากกันแล้ว ต่อไปเป็นภาระกิจเที่ยวชมเมืองมอสโกกันบ้าง ^^
กรุงมอสโก เป็นเมืองหลวงของรัสเซีย ยังครองอันดับเมืองที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป
มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ถึง 850 ปี ตั้งแต่สมัยรัสเซียเก่า ต้นศรรตวรรษที่ 18 พระเจ้าปีเตอร์มหาราช ได้ย้ายเมืองหลวงไปยังนครเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ในสมัยนั้นหลายคนยังเข้าใจว่ามอสโกเป็นเมืองหลวงแห่งที่ 2
ต่อจากเมืองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก แต่ในปี ค.ศ. 1918 กรุงมอสโก ได้กลายมาเป็นเมืองหลวงของสหภาพโซเวียต
และในปี ค.ศ. 1993 กรุงมอสโกได้เป็นเมืองหลวงของรัสเซียอีกครั้ง เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย
กรุงมอสโก จัดว่าเป็นเมืองที่น่าเที่ยวมากเมืองหนึ่ง ประกอบด้วยสถาปัตยกรรมทั้งเก่าและใหม่
มีโบสถ์ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามมากกว่า 200 แห่ง
– Kremlin (พระราชวังเครมลิน)
เป็นสัญลักษณ์และสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของกรุงมอสโก เป็นที่ประทับของพระเจ้าซาร์
และของประธานาธิบดีรัสเซีย พระราชวังเครมลินเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ต้องอนุรักษ์ไว้ของ UNESCO
เพื่อเป็นสมบัติของโลก อีกเหตุผลหนึ่งที่นักท่องเที่ยวเดินทางมากรุงมอสโกก็เพราะว่าต้องการมาชื่นชม
พระราชวังเครมลินนั่นเอง
พระราชวังเครมลินเป็นสิ่งปลูกสร้างที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับกรุงมอสโก
ดังนั้นจึงเป็นศูนย์รวมของวัฒนธรรมต่างๆ ของชาวรัสเซีย
ต้องซื้อตั๋วเข้าชมด้านในตกคนละ 500 RUB สามารถซื้อตั๋วผ่านทางตู้คิออสแล้วเอาตั๋วไปสแกน
เพื่อเข้าไปชมด้านในพระราชวัง ภายในพระราชวังเครมลินมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายหลายที่
เข้ามาด้านในสถานที่แรกที่พบก่อนเลยคือ ที่ทำการประธานาธิบดี
การจัดการเรื่องทางเดินเท้าเข้าชมสถานที่ต่างๆในพระราชวังเป็นไปอย่างเคร่งครัด มีเส้นและเชือกตีแนวตลอดทาง
ถ้าเผลอเดินหลุดแนวเส้นที่ตีไว้ออกไปด้านนอก เผลอแปปเดียวจะมีเสียงนกหวีดจากทหารดังยาวๆ
เพื่อเตือนให้รู้ว่าเราออกนอกเขตที่กั้นแล้ว แต่ถ้ายังดื้อรั้นอยู่ล่ะก็ทหารจะวิ่งเข้ามาหาอย่างเร็ว
อย่าไปลองของนะครับ เตือนไว้!!!
Tsar-Bell เป็นระฆังใบใหญ่ที่สุดในโลก แต่ไม่เคยถูกยกขึ้นแขวนจริง ว่ากันว่าระฆังใบนี้ถูกสาป
และในการพยายามหล่อก็เกิดอุปสรรค เมื่อเกิดความร้อนสูงเกินไปขณะหล่อและพยายามที่จะทำให้เย็นลง
ก็ไม่สมดุล จึงเกิดรอยแตกขึ้น
Annunciation Cathedral ถูกใช้เป็น Home Church สำหรับแกรนด์พรินซ์และซาร์ในการประกอบพิธี
ในราชสำนักต่างๆ และยังใช้เป็นที่เก็บสมบัติมีค่าของราชวงศ์อีกด้วย
Ivan The Great Bell-Tower Ensemble งานสถาปัตยกรรมอาคารชุดนี้ประกอบด้วย
Ivan The Great Bell-Tower , Assumption Belfry และ Filaret Annex
ปัจจุบันชั้นล่างของ Assumption Belfry ถูกใช้เป็นที่สำหรับจัดนิทรรศการ
Archangel’s Cathedral ถูกใช้เป็นสถานที่ฝังศพของราชวงศ์ มีหลุมศพของแกรนด์พรินซ์และซาร์
ทั้งหมด 47 พระองค์
สมัยพระเจ้าอีวานที่ 3 เป็นผู้ดำริให้นำอิฐแดงมาก่อเป็นผนังของกำแพงและหอคอยของพระราชวังเครมลิน
ทำให้พระราชวังนี้มีสัญลักษณ์ที่เป็นหอคอยรวมถึงกำแพงที่ก่อมาจากอิฐแดงทั้งหมด
– St. Basil’s Cathedral (วิหารเซ็นบาซิล)
เดินออกจากพระราชวังเคลมรินด้านหลังจะพบกับวิหารแห่งนี้ ซึ่งว่ากันว่าเป็นวิหารต้นแบบของ
โบสถ์แห่งหยดเลือดที่เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ลองดูแล้วก็คล้ายๆเหมือนกันครับ สถาปัตยกรรมอันล้ำค่าแห่งนี้สร้างขึ้น
ในสมัยพระเจ้าอีวานที่ 4 สร้างตามพระประสงค์ของพระองค์ เพื่อเป็นการฉลองชัยที่ทรงรบชนะพวกตาตาร์
ในอัสตราคานและคาซาน เมื่อสร้างเสร็จปูนบำเหน็จให้กับผู้ออกแบบ
โดยการควักลูกตาทั้ง 2 ข้างออก จะได้ไม่ไปออกแบบวิหารที่ใดอีก ให้มีที่นี่ที่เดียวที่สวยที่สุด
มหาวิหารเซ็นต์บาซิลตั้งอยู่ที่จตุรัสแดง มีหลังคาสูงยอดแหลม มีโดมหัวหอม 9 โดม มีสีสันสดใสสวยงาม
มีขนาดเล็กใหญ่ลดหลั่นกันไป ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของกรุงมอสโกเลยก็ว่าได้
ด้านหน้ามีอนุสาวรีย์รูปปั้น 2 นักรบผู้กล้า คอสมา มินิน และเจ้าชายดมิทริ โปซาร์สกี้
ผู้นำกองทัพรัสเซียต่อต้านพวกโปล
– Red Square (จตุรัสแดง)
เป็นการผสมผสานที่ดียิ่ง ระหว่างพระราชวังเครมลินและจตุรัสแดง ซึ่งจะขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไปไม่ได้
พระราชวังเครมลินและจตุรัสแดงเป็นศูนย์กลางของกรุงมอสโก เป็นเสมือนหนึ่งสัญลักษณ์ของรัสเซียก็ว่าได้
ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอีวานที่ 3 เป็นสถานที่ที่จัดงานแสดงใหญ่ๆ และการชุมนุมต่างๆ
คำว่า “แดง” มีรากศัพท์มาจากภาษาโบราณของชาวสลาฟว่า “krasny” ซึ่งไม่ได้หมายถึงสี
แต่หมายถึง ความสวยงาม และการรื่นเริง สถานที่น่าแวะชมที่อยู่บริเวณจตุรัสแดง คือ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติรัสเซีย ,
สุสานเลนิน , ห้างสรรพสินค้ากูม , วิหารเซ็นต์บาซิล , พระราชวังเครมลิน สามารถเดินถึงกันได้ไม่ไกลมากนัก
– The State Historical Museum (พิพิธภัณฑ์แห่งชาติรัสเซีย)
ที่เห็นตึกแดงๆนั้นคือ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติรัสเซียอยู่บริเวณจตุรัสแดงเยื้องๆ กับสุสานเลนิน
ภายในแสดงสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ สมัยโบราณยุคมัสโกวี เคียฟ เป็นต้น ตกแต่งอย่างสวยงามอลังการ
มีหนังสือเอกสารเล่าความเป็นมาและวัฒนธรรมจากอดีตจนถึงปัจจุบันของรัสเซียกว่า 15 ล้านชิ้น
– ห้างสรรพสินค้ากูม
ห้างใหญ่บริเวณจตุรัสแดง ด้านในมีสินค้าแบรนด์เนมดังๆอยู่หลายเจ้าให้ได้เลือกช้อปปิ้ง
ผู้คนต่างหลั่งไหลมารวมตัวกันที่นี่ เพราะบริเวณจตุรัสแดงนี้เหมือนเป็นแหล่งพบปะ นัดเจอทั้งคนรัสเซีย
และนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศ
บรรยากาศดูสนุกสนาน ผมได้ลองนั่งดูความเคลื่อนไหวของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่นี่อย่างช้าๆ
รู้สึกได้ว่ามอสโกไม่ได้เป็นเมืองที่น่ากลัวอย่างที่ใครหลายคนคิด ถึงแม้ว่าคนรัสเซียจะหน้าดุ
แต่ในใจแล้วส่วนใหญ่จะมีจิตใจดี ช่วยเหลือทุกสถานการณ์แม้จะสื่อสารกันคนละภาษาก็ตาม
ถ้าให้เทียบระหว่างมอสโกกับเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก เมืองไหนน่าเที่ยวกว่ากัน
ผมขอถามกลับว่าคุณอยากเห็นอะไร ถ้าอยากเห็นความเก่าให้ไปเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก
แต่ถ้าอยากเห็นความเก่าผสมความทันสมัยด้วยให้มาที่มอสโก
“ชิว ฟิน เลอค่า” 3 คำที่ผมให้กับสถานที่ที่อยู่บริเวณจตุรัสแดงแห่งนี้ ซึ่งมีครบทุกอรรถรส
อยากจะช้อปปิ้ง ถ่ายรูป ศึกษาประวัติศาสตร์ พบปะเพื่อนฝูง บริเวณนี้ตอบโจทย์ทุกข้อที่ได้กล่าวไป ^^
– Cathedral of Christ the Saviour (วิหารเซ็นต์ เดอ ซาร์เวีย)
ระหว่างเดินกลับไปขึ้นรถไฟใต้ดิน ได้เห็นวิหารที่มีลักษณะโดดเด่นอีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำ
วิหารนี้เป็นวิหารที่สำคัญมากของนิกายรัสเซียนออโทดอกซ์ ใช้ประกอบพิธีกรรมใหญ่ๆระดับชาติ
ในปี ค.ศ. 1931 สตาลินได้สั่งให้ทุบทิ้งเพื่อสร้างเป็นสระว่ายน้ำ แต่ในปี ค.ศ.1990 ประชาชนชาวรัสเซีย
ช่วยกันบริจาครวบรวมเงินกันเพื่อที่จะสร้างขึ้นใหม่ ใช้เป็นที่พำนักของสังฆราช Alexey II (นิกายรัสเซียนออโทดอกซ์)
ได้เวลาเตรียมตัวโบกมือลามอสโกและรัสเซียกันแล้ว
หนึ่งวันเต็มๆที่มาเยือนมอสโกช่างสนุกสนานและน่าจดจำมากครับ
ขากลับผมได้ไปเอาของที่ฝากไว้ที่สถานีรถไฟ และเดินทางมาสนามบินด้วย Aeroexpress
เหมือนขามา ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีก็มาถึงสนามบินแล้วครับ
ส่วนกระเป๋าที่โหลดจะต้องไปรับตอนถึงสนามบินนิวเดลีก่อน (จะไม่ไปถึงปลายทางเหมือนขามา)
และตอนเช็คอินใหม่อีกรอบ กระเป๋าถึงจะถูกส่งไปยังปลายทางสนามบินสิงคโปร์ครับ
ถึงสนามบินนิวเดลีตอนเช้า ผ่าน ตม. และไปรับกระเป๋าก่อนที่จะไปฝากกระเป๋าที่สถานีรถไฟใต้ดินอีกที
ค่าฝากกระเป๋า 0-2 ชั่วโมง คิด 80 INR และคิดเพิ่มทุกๆชั่วโมงอีก 20 INR (น้ำหนักกระเป๋าไม่เกิน 7 กก.)
ที่นิวเดลีมีรถไฟใต้ดินนะครับ สามารถดาวน์โหลดแผนที่ไปเช็คเส้นทางได้จากลิ้งค์ด้านล่างนี้เลย
แผนที่รถไฟใต้ดินนิวเดลี
อินเดีย รอบนี้เป็นรอบที่ 2 ของผม รอบที่แล้วที่มา ผมไม่ได้เที่ยวในนิวเดลีเลย เพราะตอนนั้นไปทัชมาฮาล
ซึ่งตั้งอยู่เมืองอัครา และใช้นิวเดลีเป็นทางผ่าน มารอบนี้ผมเลยพยายามจะหาที่เที่ยวที่สำคัญในนิวเดลี
เที่ยวรอก่อนที่จะขึ้นเครื่องกลับ เวลาทรานสิทที่ผมเลือกอยู่ที่ 11 ชม. ซึ่งมีเวลาเหลือเฟือมากๆในการเที่ยวนิวเดลีครั้งนี้
จากสนามบินนั่งรถไฟ Airport Express Line ใช้เวลาประมาณ 25 นาที
จากนั้นต่อรถไฟใต้ดินไปยังสถานี Jor Bagh เพื่อไป Safdarjung’s Tomb
– Safdarjung’s Tomb
นักท่องเที่ยวเสียค่าเข้าชมคนละ 100 INR สุสานแห่งนี้ตั้งอยู่ในสวนที่ตกแต่งอย่างสวยงาม
มีทางน้ำไหลผ่านตัดไขว้กัน (ตอนไปน้ำแห้งแล้ง) สุสานแห่งนี้สร้างให้กับเสนาบดี
ของจักรพรรดิโมฮัมเหม็ด ชาห์ ด้วยฝีมือแกะสลักอันวิจิตรงดงาม รวมทั้งมีรูปแบบโดมเป็นศิลปะแบบ “มูฆัล”
ทำให้สุสานแห่งนี้เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่น่าชมยิ่ง
– Humayun’s Tomb
นั่งรถไฟใต้ดินไปยังสถานี JLN Stadium จากนั้นเรียกรถริกชอว์เพื่อต่อมาสุสานแห่งนี้ เสียค่าเข้าชมคนละ 250 INR
ที่สุสานนี้มีอะไรพิเศษที่ผมจะพามาเที่ยว สุสานกษัตริย์แห่งนี้เป็นระดับ “World Heritage”
ถือว่าเป็นสุสานหลวงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในนครเดลีทีเดียว
ว่ากันว่าที่นี่ถูกขนานนามว่า “ทัชมาฮาลแห่งนิวเดลี” ด้วยรูปแบบของอาคารของสุสานจะมีลักษณะคล้าย
ทัชมาฮาลที่อัคราอยู่ค่อนข้างมาก สถาปัตยกรรมเป็นแบบ Persian Style จุดเด่นของ Persian Style อยู่ตรงที่
ยอดโดมใหญ่ที่เป็นหินอ่อนสีขาว ซึ่งจะเป็นโดมที่กลมๆเกลี้ยงๆทั้งลูก ไม่เหมือนกับโดมแบบ Indian Style
ที่จะมีรูปกลีบดอกไม้ประดับอยู่ตรงโคนยอดเสมอ
สิ่งหนึ่งที่นิยมสร้างกันมากจนเป็นตัวหลักในการจัด Landscape ของสถาปนิกสมัยราชวงศ์มูฆัล ก็คือ “ระบบน้ำพุ”
ซึ่งเค้าจะทำเป็นร่องน้ำเล็กๆพุ่งตรงไปตามทางเดิน ตรงจุดบรรจบกันก็จะมีแอ่งน้ำที่ติดตั้งหัวน้ำพุไว้ น้ำพุเหล่านี้ไม่มีมอเตอร์แบบสมัยใหม่ แต่เค้าใช้ทฤษฎีแรงดันของน้ำตามภูมิปัญญาโบราณน้ำก็เลยมีพุ่งอยู่ตลอด
แม้จะไม่สูงใหญ่เท่าน้ำพุสมัยใหม่แต่ก็น่าทึ่งในภูมิปัญญาคนโบราณ
เพียงแค่ 2 สถานที่นี้ก็เพียงพอกับการรอเวลาทรานสิทเครื่องสำหรับผมแล้วในครั้งนี้
นิวเดลียังมีสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมายอยู่หลายแห่งที่ผมยังไม่ได้ไป แต่ครั้งนี้ด้วยเวลาจำกัด
ผมจึงไปแค่ 2 สถานที่ และต้องรีบมาเอากระเป๋าที่ฝากไว้พร้อมทั้งไปเช็คอิน โหลดกระเป๋าอีกรอบ
แต่รอบนี้กระเป๋าจะเดินทางไปถึงปลายทางที่สิงคโปร์เลยครับ
***คำเตือน*** อย่าลืมปริ้นตั๋วเครื่องบินขากลับจากสิงคโปร์มาไทยติดตัวไว้ด้วยนะครับ
ทาง ตม. ที่นิวเดลีถามและขอดูเอกสารด้วย เตือนไว้ก่อน ><
เมื่อเครื่องจากนิวเดลีมาถึงสนามบินมุมไบ แต่ที่นี่เป็นสนามบินภายในประเทศ
เราต้องไปขึ้นเครื่องเพื่อไปสิงคโปร์ที่สนามบินนานาชาติมุมไบ อย่างที่บอกไปในตอนต้นภายในประเทศกับนานาชาติ
ที่มุมไบคือคนละสนามบินกันเลย ต้องต่อรถ shuttle bus ไปอีก แต่ด้วยผมมีเวลาทรานสิทรอบนี้ ค่อนข้างน้อย
จนท. สายการบินเลยแนะนำให้ผมเรียก Taxi เพื่อรีบไปขึ้นเครื่องที่สนามบินนานาชาติมุมไบ
ใช้เวลานั่งรถไปประมาณ 15-20 นาที เพื่อนๆควรเผื่อเวลาในการทรานสิทรอบนี้ไว้ให้เยอะๆด้วยนะครับ
ไม่อย่างนั้นมีเหนื่อยก่อนขึ้นเครื่องกลับแน่ ><
จากมุมไบมาลงสิงคโปร์ ผ่าน ตม. รับกระเป๋าและผมเดินเที่ยวเล่นในสนามบิน ไม่ได้ออกไปไหน
เพราะแค่เที่ยวในสนามบินก็เพียงพอเหลือเฟือแล้วครับ ของกินในสนามบินรวมถึงแหล่งช้อปปิ้งในชางจีนี้
มีเยอะพอที่ไม่ต้องออกไปช้อปปิ้งข้างนอกกันเลย หลังจากนั้นผมก็ขึ้นเครื่องกลับ กทม.
เป็นอันจบทริปอย่างสมบูรณ์แบบ (หรือเปล่า) ฮ่าๆๆๆ
มาสรุปค่าใช้จ่ายทริปนี้แบบคร่าวๆตามตารางที่ทำมา ซึ่งผมไม่รวมซื้อของฝากช้อปปิ้งที่สิงคโปร์นะครับ
เห็นตัวเลขแล้วจะตกใจกันมั้ย
ค่าใช้จ่ายระหว่างออกทริป 5,520 + ค่าเครื่องบินทั้งหมด 7,510 + ค่าวีซ่าทรานสิทอินเดีย 900
รวมทริปนี้ใช้เงินไปทั้งสิ้นประมาณ 14,000 บาท (รวมทุกอย่าง กิน นอน เดินทาง)
ใครว่าเที่ยวรัสเซียแพง
ทุกอย่าง ผมสามารถกลับไปตอบคำถามของหลายๆคนได้แล้วว่า…
มารัสเซียไม่ได้ใช้เงินแพงอย่างที่คิด
มารัสเซียไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด (แต่ต้องระวังตัวเสมอ)
ขอบคุณ พี่โน้ต พี่ที่ร่วมเดินทางด้วยกัน ที่ช่วยกันแก้ปัญหาในยามขับขัน
ขอบคุณชาวรัสเซียทุกท่านที่ช่วยเหลือพวกผม แม้พวกเราจะสื่อสารกันคนละภาษา
ขอบคุณรัสเซีย เมืองนี้น่าเที่ยวและไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ใครหลายคนคิด
ปล. สาวรัสเซียสวยและหุ่นดีจริงๆ แต่ถ้าให้เทียบระหว่างสาวที่มอสโกกับสาวที่เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก
ผมตอบได้เต็มตา เอ้ย!!! เต็มปากว่า เซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กชนะแบบสูสีครับ ^^
หากใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทางข้อความ ทางโพส ทางคอมเม้นรีวิวนี้
หรือในเพจของผมได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวเที่ยวรัสเซียจนจบ แล้วอย่าลืมมาสัมผัสด้วยตัวเองนะครับ ^^
————————————————–