ช่วงนี้ประเทศที่มาแรง คงหนีไม่พ้นญี่ปุ่น หลายๆ คนเคยไปเที่ยว “โตเกียว” เมืองหลวงที่แสนจะทันสมัย หรือ “เกียวโต” เมืองหลวงเก่าที่อุดมไปด้วยมรดกโลก หรือ “โอซาก้า” ศูนย์กลางการค้าที่คึกคัก ฯลฯ กันบ่อยแล้ว คราวนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศพาไปเที่ยวจังหวัดอื่นอย่าง “นาโกย่า” และ “มิเอะ” แหล่งที่ตั้งของศาสนาชินโตและแหล่งผลิตไข่มุกคุณภาพเยี่ยมกันบ้าง สำหรับทริปนี้เราเดินทางโดยบินตรงจากดอนเมือง ไปลงที่นาโกย่า แล้วไป #บันทึกเที่ยวที่จังหวัดมิเอะ จากนั้นนั่งรถไฟไปต่อที่โอซาก้า แล้วค่อยบินตรงกลับมาดอนเมือง แค่คิดก็สนุกแล้วใช่มั้ยหล่ะ จะรอช้าอยู่ทำไมตามไปเที่ยวกันเลย…“Nagoya ศูนย์กลางแห่งญี่ปุ่น”
เราโดยสารเครื่องบินของ สายการบิน Thai AirAsia X ซึ่งให้บริการทุกวันวันละ 1 เที่ยวบิน ตอนที่เราไปเป็นเที่ยวบินที่ XJ638 ออกจากดอนเมืองเวลา 06:55 น. ไปถึงนาโกย่า (Nagoya) เวลา 14:20 น. (ใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 5 ชั่วโมง 25 นาที) เนื่องด้วยเป็นเส้นทางที่เพิ่งเปิดใหม่ ทาง Thai AirAsia X เลยมีของแจกให้ผู้โดยสารมากมาย อาทิ Tag ห้อยกระเป๋า ผ้าปิดตา ฯลฯ ที่เป็น Limited Edition แต่ในปัจจุบันทางสายการบิน Thai AirAsia X ได้มีการปรับเปลี่ยนตารางการเดินทางใหม่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวได้เต็มอิ่มกว่าเดิม โดยจะออกจากสนามบินดอนเมืองเวลา 02:15 น. และไปถึงสนามบินนาโกย่า เวลา 09:40 น.
ที่นั่งบนเครื่องเป็นแบบ 2-4-2 เป็นเครื่องรุ่นใหม่ ซึ่งกว้างกว่าเครื่อง AirAsia ปกติ นั่งสบายสุดๆ ยืดขาได้ไม่อึดอัด
การเดินทางในประเทศญี่ปุ่น เราจะเน้นนั่งรถไฟ Kintetsu เป็นหลัก เราจึงซื้อบัตร Kintetsu Rail Pass Plus ซึ่งเป็นบัตรแบบเหมาจ่ายที่ใช้โดยสารรถไฟ Kintetsu ได้ทุกขบวน (แต่หากเป็นขบวนแบบ Limited Express จะต้องเสียค่าจองที่นั่งเพิ่ม) ทั้งขบวนที่วิ่งในโอซาก้า เกียวโต นารา และมิเอะ รวมทั้งขบวนที่วิ่งระหว่างโอซาก้า-นาโกย่า-มิเอะ และรถ Nara Kotsu Bus (บริเวณที่อยู่ในเส้นปะสีแดงในแผนที่ด้านล่าง) และ Mie-Kotsu Bus (บริเวณที่อยู่ในเส้นปะสีฟ้าในแผนที่ด้านล่าง)ได้ฟรีแบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง โดย Pass นี้ใช้ได้นาน 5 วัน อีกทั้งยังสามารถนำไปแสดงเพื่อรับส่วนลดจากสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ได้อีกด้วย
บัตร Kintetsu Rail Pass Plus นี้สามารถซื้อล่วงหน้าได้ที่ -> Kintetsu Rail Pass Plus ในราคา 4,800 เยน สำหรับผู้ใหญ่ และ 2,400 เยน สำหรับเด็ก หรือจะไปซื้อที่สนามบินตอนไปถึงแล้วก็ได้ โดยต้องไปซื้อที่ Kansai Airport Agency Travel Deck ที่ชั้น 1 ของอาคารผู้โดยสาร ในราคา 5,000 เยน สำหรับผู้ใหญ่ และ 2,500 เยน สำหรับเด็ก
Nakoya (นาโกย่า)
ก่อนจะเข้าไปเที่ยวในเมือง เราขอพาทัวร์สนามบิน Chubu Centrair International Airport กันก่อนดีกว่า เพราะที่นี่ไม่ใช่สนามบินธรรมดาๆ แต่เหมือนห้างสรรพสินค้า มีคนที่มาเดินเที่ยว ชอปปิ้งที่สนามบินแห่งนี้ โดยที่ไม่ได้มีไฟล์ทต้องเดินทางเป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะที่นี่เป็นแหล่งรวมร้านอาหารเด็ดๆ ของเมืองนาโกย่า มีให้เลือกทั้งอาหารตะวันตก และอาหารพื้นเมือง ซึ่งแบ่งแยกฝั่งกันอย่างชัดเจน การจัดร้านต่างๆ ก็ดูสวยงาม ชวนให้หิวกันเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีออนเซ็นไว้ให้บริการในสนามบินด้วย ราคาก็ไม่แพง เพียงคนละ 1,030 เยน ใครมีเวลาว่างอยู่ที่สนามบินนานๆ สามารถมาใช้บริการแช่ออนเซ็นก็เก๋ไปอีกแบบ และที่ชั้นบนสุดของสนามบินเป็นบริเวณ Observation Deck ซึ่งเป็นพื้นที่เปิดโล่งแบบ Open Air ให้ผู้คนสามารถเดินเล่น รับลมริมทะเล ชมเครื่องบินขึ้น-ลงได้แบบเต็มๆ ตา ในบางช่วงก็มักจะมีจัดงาน Event ต่างๆ ที่บริเวณนี้อยู่เป็นประจำ
หากใครได้มาเดินเล่นในสนามบินแห่งนี้ คงจะได้เห็น Mascot ของที่นี่ที่มีชื่อว่า Mysterious Traveler ที่ใส่หมวกแดงยืนยิ้มคอยต้อนรับนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลกเป็นแน่
การเดินทางจากสนามบินเข้าในตัวเมืองก็แสนสะดวก เพราะจากสนามบินจะมีทางเชื่อมเพื่อไปขึ้นรถไฟ สามารถเดินลากกระเป๋ามาจากชั้น Departure หรือ Arrival ก็ได้ เพราะเค้าทำไว้เป็นทางลาด ให้นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ เดินทางได้อย่างสะดวกสบายโดยแท้ การเข้าเมืองนั้น สามารถเดินทางด้วยรถไฟ Meitetsu Line ซึ่งต้องจ่ายเพิ่มคนละ 1,230 เยน เพื่อไปลงที่สถานี Kintetsu-Nagoya ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมที่เราพักเป็นระยะทาง 1.2 กิโลเมตร แต่เนื่องจากสัมภาระหลายใบ เราเลยเลือกที่จะนั่งรถไฟสาย Nagoya Rinkai Kosoku ต่อไปอีก 1 สถานี ในราคาคนละ 200 เยน เพื่อไปลงที่สถานี Sasashima-Raibu ซึ่งมีทางเชื่อมเข้าสู่โรงแรม ให้เราสามารถลากกระเป๋าเข้าโรงแรมได้เลย
ในคืนแรกเราพักที่โรงแรม Nagoya Prince Hotel Sky Tower ซึ่งตั้งอยู่บนชั้น 31-36 ของอาคาร Global Gate อาคาร Complex ในย่านที่ได้รับการปรับปรุงขึ้นใหม่ บริเวณ Lobby ของโรงแรมอยู่ที่ชั้น 31 จากชั้น 31 ไปจนถึงชั้น 36 เป็นห้องโถงที่เปิดโล่ง สูงถึง 30 เมตร จึงให้ความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบาย คล้ายกับเรือที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
ที่ชั้นนี้ยังมีห้องอาหาร Sky Dining TENKU ซึ่งสามารถมองเห็นวิวเมืองได้แบบพาโนราม่าที่ความสูงกว่า 140 เมตร ซึ่งจะเสิร์ฟอาหารเช้าในรูปแบบ International Buffet มีอาหารนานาชนิด อาทิ สลัด ขนมปัง เบเกอรี่ เมนูไข่ เบคอน ไส้กรอก ผลไม้ น้ำผลไม้ ชา กาแฟ อีกทั้งยังมีอาหารท้องถิ่น อาทิ ข้าวหน้าปลาไหล ข้าวปั้นไส้กุ้งเทมปุระ บะหมี่เส้นแบนที่จะเสิร์ฟคู่กับขนมปังหน้าถั่วแดง ฯลฯ นอกจากนี้ในโรงแรมยังมี Club Lounge ห้อง Fitness และ Business Center ไว้ให้บริการด้วย
ห้องพักที่นี่มีทั้งหมด 170 ห้อง แบ่งเป็น 4 Room Type ทั้งแบบ Sky Twin/King, Deluxe Corner, Premium Corner และ Accessible Room โดยห้องที่เราพักเป็นแบบ Sky King พื้นที่ห้อง 32.8 ตารางเมตร เตียง King Size ขนาดใหญ่ นุ่ม ผ้าห่มอุ่น นอนสบายสุดๆ พร้อมทั้งมี Day Bed โต๊ะทำงาน และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน
ภายในห้องตกแต่งสไตล์โมเดิร์น เรียบ หรู สะอาด ใหม่มากๆ ห้องน้ำกว้าง มีอ่างแช่ตัว Amenity เป็นของแบรนด์ Pola ใช้ดีจนอยากซื้อกลับมาใช้ที่บ้านเลยครับ ที่สำคัญวิวจากห้องพักชนะเลิศมากกกกก ถ้าอยากชมวิวสวยๆได้ทั้งกลางวันและกลางคืน Prince Hotel คงเหมาะสุดแล้วครับ เพื่อนๆคนไหนสนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดที่พักและเข้าไปจองได้ที่ -> Prince Hotel Nagoya
หลังจากเช็คอิน เราออกเดินทางสู่จุดหมายแรกกัน นั่นก็คือ Nabana No Sato Winter Illumination งานประดับไฟสุดอลังการเพื่อต้อนรับฤดูหนาว ซึ่งจะจัดกันตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิ (ประมาณกลางเดือนตุลาคมไปจนถึงต้นเดือนพฤษภาคมของอีกปี) นับเป็นช่วงที่อากาศเย็นสบาย สามารถมาเดินเล่นได้อย่างชิวๆ Nabana No Sato แปลเป็นไทยว่า “หมู่บ้านแห่งดอกไม้” เป็น Theme Park สวนดอกไม้ซึ่งตั้งอยู่ใน Nagashima Resort เมืองคุวานะ จังหวัดมิเอะ
การเดินทาง: จากนาโกย่านั่งรถไฟ Kintetsu Line สถานี Kintensu-Nagoya (E01) ไปลงที่ Kintetsu-Nagashima (E12) แล้วต่อรถ Mie Kotsu Bus ไปอีกประมาณ 15 นาที
ค่าเข้าชม: คนละ 2,300 เยน โดยจะได้รับคูปองเพื่อมาใช้จ่ายในสวนจำนวน 1,000 เยน
วัน-เวลาทำการ: จันทร์ – ศุกร์ เวลา 9:00 – 21:00 น. เสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการ เวลา 9:00 – 22:00 น. โดยจะเริ่มเปิดไฟ Illumination ตั้งแต่ช่วงที่พระอาทิตย์ตก
เมื่อเข้ามาด้านใน จะเจอกับสวนดอกไม้ที่ตกแต่งด้วยไฟจำนวนมากราวกับท้องทะเล สามารถเดินเล่นถ่ายรูปได้ตามต้องการ เมื่อเดินไปเรื่อยๆ จะเจอกับทะเลสาบซึ่งตกแต่งไฟไว้โดยรอบ อีกทั้งยังมี Chapel เล็กๆ ซึ่งจะเปิดเพลงพร้อมกับเล่นไฟให้เข้ากับจังหวะของเพลง ดูแล้วเพลินตาสุดๆ
ด้านในจะพบกับสวนพฤกษศาสตร์ Begonia Garden ซึ่งเก็บค่าเข้าคนละ 1,000 เยน เราเลยเอาคูปองที่ได้มาตอนซื้อตั๋วมาใช้ที่นี่ ภายในสวนแห่งนี้มีดอกไม้มากมาย แต่ละดอกขนาดใหญ่บึ้ม ตกแต่งได้อย่างอลังการ มุมถ่ายรูปสวยๆ เยอะมาก
จากนั้นมาถึงจุดไฮไลท์ของที่นี่ ซึ่งก็คือ อุโมงค์ไฟ Winter Illumination Tunnel ซึ่งเป็นอุโมงค์ที่ยาวกว่า 200 เมตร ใช้ไฟตกแต่งกว่า 1.2 ล้านดวง บรรยากาศเสมือนเดินอยู่ท่ามกลางดวงดาวในโลกแห่งความฝัน
หลุดออกมาจากอุโมงค์ จะเจอกับการแสดงแสงสีเสียง ซึ่งมีภูเขาไฟฟูจิเป็นฉากหลัง โดยเราสามารถขึ้นไปดูที่ชั้น 2 ของ Observation Deck ได้ การแสดงจะมีเรื่อยๆ โดยในแต่ละรอบใช้เวลาประมาณ 15 นาที สวยงามประทับใจจริงๆ
ก่อนจะกลับที่พัก เราขอแวะไปหาของอร่อยๆ ทานกันที่ร้าน Gomitori ซึ่งมีหลายสาขา แต่เราเลือกทานที่สาขาหน้าสถานี Kintensu-Nagoya (E01) เพราะไม่ไกลจากที่พักมากนัก ร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1965 จุดกำเนิดของร้านมาจากร้านนั่งดื่มที่ได้รับการยอมรับจากคนท้องถิ่นเป็นอย่างดี ภายในร้านตกแต่งด้วยของโบราณที่แสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น โดยจะเปิดให้บริการเวลา 17:00-24:00 น.
เมนูที่พลาดไม่ได้ก็คือ ข้าวหน้าปลาไหล ซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อของนาโกย่า วิธีการทาน มี 3 แบบ คือ ทานแบบไม่ปรุงอะไรเพิ่ม ทานแบบใส่วาซาบิ สาหร่าย และหัวหอมเพิ่ม หรือทานแบบใส่น้ำซุปและเครื่องเคียงต่างๆ ลงไป อีกเมนูที่ต้องลิ้มลองก็คือปีกไก่ทอด และข้าวหน้าไก่ราดไข่ และซาซิมิ
Mie (มิเอะ)
หลังพักผ่อนกันเต็มอิ่มแล้ว เราจะมาตะลุยมิเอะกัน มิเอะ เป็นจังหวัดที่อยู่ทางตะวันออกของภูมิภาคคันไซ เป็นเมืองที่มีธรรมชาติสวยงาม อยู่ติดกับทะเลแปซิฟิก มีชายฝั่งยาวถึง 1,000 กิโลเมตร เหมาะกับการประมงสัตว์น้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟาร์มหอยนางรม ทั้งเพื่อบริโภคและผลิตเป็นสินค้าประเภทต่างๆ โดยที่แรกที่เราจะไปเที่ยวกันนั่นก็คือ Mt. Gozaisho
การเดินทาง: นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Kintetsu Yunoyama-Onsen (K30) แล้วนั่งรถ Mie Kotsu Bus อีกประมาณ 10 นาที เพื่อไปลงที่สถานี Sanko Yunoyama-Onsen แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที
ค่าเข้าชม: บัตรนั่งกระเช้า Gozaisho Ropeway ราคาตั๋วคนละ 2,400 เยน แต่สามารถแสดงบัตร Kintetsu Rail Pass เพื่อรับส่วนลดเพิ่ม 30% เหลือคนละ 1,680 เยน
นั่งกระเช้าขึ้นไป 12 นาที ระหว่างทางมีใบไม้ที่เริ่มเปลี่ยนสีให้ดูกันเบาๆ อากาศดี ประมาณ 10 องศา Mt. Gozaisho แห่งนี้ มีความสูงกว่า 1,212 เมตร เป็นแหล่งชมทัศนียภาพอันงดงามที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลทั้ง 4 โดยเฉพาะในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี
บนยอดเขา มีจุดชมวิวต่างๆ ที่เชื่อมโยงถึงกัน ระยะห่างจากกันไม่ไกลนัก
อีกทั้งยังมีบริการ Gozaisho Ropeway Chairlift (Ski Lift) เป็นกระเช้านั่งเดี่ยวแบบห้อยขา ซึ่งจะมีเสาอยู่ด้านซ้ายไว้ให้เกาะ ราคาขาเดียวอยู่ที่คนละ 300 เยน ราคาไป-กลับ อยู่ที่คนละ 600 เยน
กระเช้าจะเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ ทำให้เราสามารถชมวิวได้อย่างเพลิดเพลิน
เสร็จจากเที่ยวก็มาหามื้อเย็นทาน โดยวันนี้ขอมาพิสูจน์ไก่ทอดที่โด่งดัง จนกระทั่งมีเปิดสาขาในไทย เป็นร้านที่มีสาขามากมายกระจายอยู่ทั่วเมือง ไม่เว้นแม่แต้ที่สนามบิน นั่นก็คือ ร้านเซไค โนะ ยามะจัง (Sekai No Yamachan) หรือที่เรียกกันว่าร้านไก่ทอดยามะจัง ไก่ทอดของที่นี่จะขายเป็น Serve โดย 1 Serve จะมี 5 ชิ้น มีให้เลือกทั้ง 1, 3, 5, 7 และ 10 Serve ไก่ทอดรสออริจินัลที่นี่ จะทอดมาแบบกรอบๆ และใส่พริกไทยลงไปเยอะมาก รสชาติติดเค็มเล็กน้อย คนญี่ปุ่นจะนิยมมาทานกันในช่วงเย็นๆ ทานไปจิบเบียร์ไป เพลินสุดๆ แต่เราเน้นอิ่มเลยลองสั่งซุปกิมจิ ข้าวปั้นกุ้งเทมปุระ และไก่ทอด 3 Serve อิ่มจุกกันเลยทีเดียว รสชาติอาหารอร่อยสมคำร่ำลือ อาหารอื่นๆ ที่ไม่ใช่ไก่ทอดก็อร่อยเด็ดไม่แพ้กัน
คืนนี้เราย้ายมาพักที่โรงแรม Yokkaichi Miyako Hotel ซึ่งอยู่ห่างจากสถานี Kintetsu-Yokkaichi (E21/K21) เพียง 3 นาที บริเวณ Lobby และห้องอาหารเช้า PARK SIDE CAFÉ อยู่ที่ชั้น L ส่วนห้องพักอยู่ที่ชั้น 9-15 มีห้องพักให้เลือกทั้งห้องแบบ Single Room, Twin Room, Triple Room, Deluxe Twin Room, Comfort Twin Room และ Royal Suite Room ห้องที่เราพักเป็นห้องแบบ Triple Room ขนาดพอเหมาะ มีโต๊ะนั่งทำงาน เครื่องชงกาแฟ กาต้มน้ำ ทีวีขนาดใหญ่ ส่วนของห้องน้ำมีทั้งอ่างอาบน้ำและฝักบัว น้ำที่นี่แรงมาก แถมร้อนเร็วด้วย
อาหารเช้าที่นี่มีให้เลือกทั้งอาหารญี่ปุ่นอย่างปลาย่าง มิโสะซุป ไข่ออนเซ็น นัตโตะ และอาหารนานาชาติอย่างสลัด ไส้กรอก คอนเฟรก ขนมปัง เบเกอรี่ต่างๆ รวมทั้งน้ำผลไม้ ชา กาแฟ และไอศกรีมด้วย
วันนี้เราออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า เพื่อไปยังศาลเจ้า Ise Jingu (ศาลเจ้าใหญ่แห่งอิเสะ) ที่มีอายุกว่า 2,000 ปี ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่สิงสถิตของ Amaterasu Omikami หรือสุริยะเทพ เทพสูงสุดที่คอยปกปักษ์รักษาชาวญี่ปุ่นให้อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นชื่อเรียกรวมของศาลเจ้าย่อยๆ หลายแห่งรอบเมืองมิเอะ โดยมีศาลเจ้าหลักๆ 2 แห่ง คือ ศาลเจ้าส่วนใน หรือ ไนกุ (Naiku) และศาลเจ้าส่วนนอก หรือ เกะกุ (Geku)
ศาลเจ้าชั้นนอกหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Toyoukedaijingu ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอิเสะ สามารถเดินจากสถานี Iseshi (M73) มาได้ ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นมาเพื่อบูชาแด่องค์เทพี Toyoukeomikami ซึ่งเป็นเทพีแห่งการกสิกรรม สถานที่สำหรับบูชาเทพองค์นี้ ตัวหอจะถูกล้อมรอบด้วยกำแพงไม้อย่างมิดชิด สามารถชมได้เพียงด้านนอกเท่านั้น บริเวณที่ติดกับศาลเจ้าหลักนี้เป็นลานกว้าง เรียกว่า Kodenchi ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เตรียมไว้เพื่อรอการสร้างศาลเจ้าใหม่ตามธรรมเนียมของที่นี่ ที่จะรื้อแล้วสร้างศาลขึ้นใหม่ทุกๆ 20 ปี ดังนั้นทุกๆ 20 ปี ศาลเจ้าจึงจะสร้างสลับไปมาบนพื้นที่ 2 แห่งนี้ ซึ่งครั้งต่อไปจะเป็นปี 2033
ศาลเจ้าชั้นในมีอีกชื่อหนึ่งว่า Kotaijingu ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองอิเสะ ไม่ไกลจากศาลเจ้าชั้นนอกมากนัก สร้างขี้นเพื่อบูชาเทพี Amaterasuomikami ที่ทางเข้าจะมีเสาโทริอิไม้ขนาดยักษ์ตั้งอยู่ ผู้ที่มาสักการะจะต้องเดินผ่านสะพานไม้ที่มีชื่อว่า Ujibashi ยาวกว่า 100 เมตร เมื่อข้ามมาแล้วจะเจอกับทางเดินที่โรยด้วยกรวด ผ่านสวนญี่ปุ่น เสาโทริอิยักษ์ บรรยากาศภายในเงียบสงัด สงบ ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่มากมาย ตัวศาลเจ้าหลักถูกล้อมด้วยรั้วไม้สูง สามารถสักการะได้จากด้านนอก
มาต่อกันที่ถนนคนเดิน Oharaimachi ที่อยู่ติดกับศาลเจ้า Ise ชั้นใน เป็นถนนที่เต็มไปด้วยร้านอาหารและร้านขายของฝาก ระยะทางยาวเกือบ 1 กิโลเมตร ตัวอาคารบ้านเรือนสร้างเช่นเดียวกับบ้านสมัยเอโดะ ถนนปูด้วยแผ่นหิน หากจะมาเดินที่นี่ต้องเผื่อเวลาไว้สักหน่อย เพราะคนค่อนข้างเยอะ แถมมีของน่ารักๆ ให้เลือกดูตลอดทาง
วันนี้เราจะไปรับประทานอาหารสไตล์ดั้งเดิมกันที่ กระท่อมอะมะ ฮะชิมัง ที่หมู่บ้านฮะมิจัง โดยจะมีเหล่าอามะ (ผู้หญิงที่มีอาชีพดำน้ำเก็บกุ้งหอยปูปลา ซึ่งเหลืออยู่เพียงไม่กี่ร้อยคนทั่วทั้งประเทศ) คอยปิ้งย่างหอยชนิดต่างๆ ด้วยเตาถ่านแบบสดๆ ให้ชม พร้อมเสิร์ฟของทะเลสดๆ ให้ทานกัน ในกระท่อมของอามะ หรือที่เรียกว่า Amagoya ซึ่งแต่เดิมเป็นสถานที่สำหรับพักผ่อนและอบอุ่นร่างกายของเหล่าอามะที่เหนื่อยล้าจากการหาปลา
เมนูที่เราเลือกเป็น Standard Set ที่มีทั้งหอยเชลล์ หอยลาย หอยตาวัว ซาซิมิ ผักดอง ข้าวสวย สาหร่ายและถั่วต้ม ซุปมิโสะ และน้ำชา ซึ่งจะมีให้บริการวันละ 3 รอบได้แก่ เวลา 12:00-13:15 น. เวลา 13:30-14:15 น. และเวลา 15:00-16:15 น. หากมา 1-3 คน ราคาคนละ 5,400 เยน หากมาตั้งแต่ 4 คนขึ้นไป ราคาคนละ 3,780 เยน
นอกจากอามะจะเสิร์ฟอาหารทะเลให้พวกเราทานจนอิ่มแล้ว ยังมีกิจกรรมต่างๆ ให้ทำ ทั้งพบปะ พูดคุย ร้องเพลง เต้นรำ รวมทั้งยังเปิดโอกาสให้เราได้ลองใส่ชุดแบบอามะแท้ๆ ด้วย การได้ดื่มด่ำกับอาหารทะเลสดๆ สไตล์ดั้งเดิม พร้อมฟังเรื่องราวการหาปลาของเหล่าอามะ นับเป็นประสบการณ์สุดพิเศษที่ลืมไม่ลงเลยทีเดียว
หากจะไปที่นี่ จำเป็นต้องจองล่วงหน้าก่อน โดยสามารถเข้าไปดูรายละเอียดที่เว็บไซต์ -> Amakoya จากนั้นส่งอีเมล์เพื่อแจ้งวัน เวลา และเมนูอาหาร แล้วรอเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ
การเดินทาง: นั่งรถไฟ Kintetsu มาลงที่สถานี Toba (M78) จากนั้นจะมีรถจากกระท่อมมารอรับที่ป้ายรถเมล์ ให้สังเกตรถ Shuttle Bus สีฟ้าที่มีรูปอามะ
จากนั้นมาต่อกันที่ไฮไลท์ของเมืองอย่าง Meoto Iwa หรือที่เรียกกันว่าหินแต่งงาน ตั้งอยู่ในศาลเจ้า Futami Okitama Jinja บริเวณอ่าวอิเสะ เป็นหินศักดิ์สิทธิ์ 2 ก้อนที่ลอยอยู่เหนือทะเล ไกลจากชายฝั่งประมาณ 700 เมตร หินก้อนแรกเป็นหินผู้ชาย ชื่อว่าหินโออิวะ สูง 9 เมตร ส่วนอีกก้อนเป็นหินผู้หญิง ชื่อว่าหินเมอิวะ สูง 3.6 เมตร โดยหินทั้ง 2 ก้อนตั้งอยู่ห่างกันประมาณ 5 เมตร เชื่อมต่อกันด้วยเชือก Shimenawa (เชือกฟางที่ใช้ในพิธีของลัทธิชินโต) มีเสาโทริอิตั้งตระหง่านอยู่บนยอดหินโออิวะ ที่สร้างขึ้นเพื่อสักการะพระอาทิตย์ขึ้น ระหว่างเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม
บริเวณรอบๆ ศาลเจ้าเต็มไปด้วยกบเนื่องจากผู้คนนำมาถวาย เพราะเชื่อว่ากบเป็นตัวแทนของเทพเจ้า ส่วนผู้คนที่อยากขอพรเรื่องความรักและชีวิตสมรสมักจะมาขอพรที่หินแต่งงานนี้
การเดินทาง: นั่งรถไฟ Kintetsu มาลงที่สถานี Toba (M78) แล้วนั่งรถ Mie Kotsu Bus ไปประมาณ 20 นาที
ที่พักในวันนี้เราจะเปลี่ยนบรรยากาศไปสัมผัสกับที่พักแนวสเปนกันบ้างที่ Shima Spain Village รีสอร์ทครบวงจร ที่มีทั้งโรงแรม สวนสนุก และออนเซ็น
เมื่อก้าวเข้ามา ณ ที่โรงแรม Shima Spain Mura ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นไอของความเป็นสเปน ภายในห้องพักตกแต่งอย่างพิถีพิถันตามแบบสเปนแท้ๆ มีห้องพักมากถึง 252 ห้อง มีห้องให้เลือกทั้งแบบ Twin Room, Twin Room แบบมีระเบียง, Family Room และห้อง Suite
สำหรับห้องที่เราพักเป็นห้องแบบ Twin Room ที่มีระเบียง ขนาดของห้องกว้างขวาง มีโต๊ะทำงาน โต๊ะนั่งเล่นริมกระจก และมีระเบียงให้สามารถออกมาชมความงามยามค่ำคืนได้อย่างเพลิดเพลิน ภายในห้องน้ำแยกโซนห้องสุขาและห้องอาบน้ำชัดเจน พร้อมอ่างแช่ตัว และ Amenity ต่างๆ ที่มีสัญลักษณ์ตัวการ์ตูนของสวนสนุกแห่งนี้
สำหรับมื้อค่ำ ขอดื่มด่ำกับความเป็นสเปนกันที่ห้องอาหาร Girasol กับมื้อค่ำสุดพิเศษ คอร์สอาหารสเปน ที่ประกอบด้วย Assorted Appetizers ที่มีทั้ง Cold Cut ปลาหมึก หอย ปรุงรส และขนมปัง เรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี, Braked AKOYA Shellfish หอยปรุงรสรสจัดจ้าน, Saute of Red Snapper ปลานึ่งรสละมุน กับซอสหวาน กลมกล่อมเข้ากัน และ Grilled Pork Loin
มาถึงไฮไลท์อย่าง Lobster Paella ข้าวผัดปรุงรส เสิร์ฟพร้อมกุ้ง Lobster ตัวใหญ่บึ้ม ที่ปรุงกันสดๆ ข้างโต๊ะให้เห็นกันแบบจะๆ พร้อมหอยนานาชนิด และตบท้ายด้วยของหวาน พุดดิ้ง ไอศกรีม และ Churros ทำให้ค่ำคืนนี้ช่างแสนฟิน
พอให้อาหารค่ำได้ย่อยแล้ว ก็ไปแช่ออนเซ็นกันที่ Himawari-no-Yu ซึ่งอยู่ในบริเวณโรงแรม แขกที่มาพักสามารถใช้บริการได้ฟรี แยกโซนหญิงและชาย มีให้เลือกแช่ทั้งแบบ Indoor และ Outdoor น้ำร้อนที่นี่มีอุณหภูมิ 41.8 องศา มีคุณสมบัติช่วยแก้อาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อกระดูก ช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้า พร้อมทั้งทำให้ผิวพรรณนุ่มนวลน่าสัมผัส
ในส่วนของอาหารเช้าที่นี่เป็นสไตล์ International Buffet มีทั้งขนมปัง เบเกอรี่ต่างๆ Cold Cut สลัด ไส้กรอก เบคอน Omelet และอาหารสไตล์ญี่ปุ่น รวมทั้งน้ำผลไม้
เมื่ออิ่มท้องแล้ว ก็เริ่มตะลุยสวนสนุก Parque Espana โดยเดินจากโรงแรมมาประมาณ 5 นาที หรือจะนั่งรถ Shuttle Bus จากโรงแรมมาก็ได้ ภายในมีเครื่องเล่นมากมายหลายประเภทให้เลือกทั้งเครื่องเล่นผาดโผนน่าหวาดเสียวอย่าง Pyrenees (รถไฟเหาะตีลังกาแบบห้อยขา) เครื่องเล่นแนวเกมส์ แนวโรงหนัง และแนวผ่อนคลาย ซึ่งสามารถเพลิดเพลินได้ทุกเพศ ทุกวัย
ภายในสวนสนุกแห่งนี้มีมุมให้ถ่ายรูปเก๋ๆ มากมาย
และมีไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดอย่าง Parque Espana Parade เป็นขบวนพาเหรดในธีมงานเทศกาลของสเปนที่ยิ่งใหญ่อลังการ ซึ่งจะมีตอน 11:45 น. ของทุกวัน
การเดินทาง: นั่งรถไฟ Kintetsu มาลงที่สถานี Ugata (M91) แล้วนั่งรถ Mie Kotsu Bus ไปประมาณ 13 นาที
ค่าเข้าชม: 1-Day Pass ผู้ใหญ่ 5,300 เยน / เด็ก (12-17 ปี) 4,300 เยน / เด็ก (3-11 ปี) 3,500 เยน
2-Day Pass ผู้ใหญ่ 6,600 เยน / เด็ก (12-17 ปี) 5,300 เยน / เด็ก (3-11 ปี) 4,500 เยน
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาด นั่นก็คือ การตามรอยนินจาที่แหล่งกำเนิด ที่เมืองอิงะ โดยเราจะไปเริ่มกันที่ Ninja Museum of Igaryu (พิพิธภัณฑ์นินจาสายอิกะ) ซึ่งตั้งอยู่ในสวนอุเอโนะ โดยเราสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับนินจาได้แบบครบรส ตั้งแต่บ้านนินจาซึ่งมีช่องลับซ่อนตัวอยู่มากมาย รวมทั้งบันไดลับ ประตูกล ฯลฯ โดยจะมีเจ้าหน้าที่แสดงให้ดู
ต่อมาเป็นลานแสดงความสามารถของนินจา จะเสียค่าเข้าชมต่างหาก ซึ่งจะแสดงให้เราเห็นถึงทักษะต่างๆ ของนินจา การต่อสู้ การฟันดาบ การขว้างดาวกระจาย และการใช้เครื่องมือต่างๆ ที่เราคาดไม่ถึง ให้ทั้งความรู้และความสนุกสนานได้เป็นอย่างดี
ในส่วนการแสดงนี้ห้ามถ่ายภาพและ VDO นะครับ แต่เนื่องจากทางผมได้รับอนุญาตจากการท่องเที่ยว จึงสามารถบันทึกภาพมาเผยแพร่ได้ แต่เชื่อเถอะว่าแค่มองเพลินๆก็ฟินจนแทบลืมกดชัตเตอร์กันเลย
การเดินทาง: นั่งรถไฟ Kintetsu มาลงที่สถานี Iga-Kambe (D52) แล้วต่อรถไฟ Iga Tetsudo ไปลงที่สถานี Uenoshi แล้วเดินต่อไปอีกประมาณ 10 นาที
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 756 เยน, เด็ก (4 ขวบ – เด็กม.ต้น) 432 เยน ค่าชมการแสดงนินจา 400 เยน
วัน-เวลาทำการ: ควรเช็ครอบการแสดงโชว์นินจาในแต่ละวันได้ที่ -> Ninja Show
Osaka (โอซาก้า)
หลังจากเที่ยวนาโกย่า และมิเอะมาเต็มอิ่ม เราขอไปจบทริปแบบสวยๆ กันที่ โอซาก้า โดยเรานั่งรถไฟ Kintetsu ตรงจากนาโกย่าไปที่โอซาก้า ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง โดยเราพักที่โรงแรม Sheraton Miyako ซึ่งอยู่ติดกับสถานี Kintetsu Osaka-Uehommachi ลงรถแล้วก็ลากกระเป๋าเดินขึ้นโรงแรมได้เลย เรียกว่าทำเลสะดวกสุดๆ
ตัวโรงแรมตกแต่งได้อย่างเรียบหรู ตัว Lobby อยู่ที่ชั้น 2 จึงทำให้ไม่พลุกพล่านมากนัก ห้องพักของเราเป็นห้องแบบ Sheraton Premier Super King ขนาดของห้องประมาณ 30 ตารางเมตร มีเตียง King Size นุ่มๆ พร้อมด้วย Sofa Bed ไว้เอนกายพักผ่อนนั่งชมวิวเมืองได้อย่างสบายตา พร้อมด้วย Heater และเครื่องฟอกอากาศ ห้องน้ำขนาดพอเหมาะ พร้อมอ่างแช่ตัว
อาหารเช้าที่นี่เป็นแบบ International Buffet อยู่ที่ชั้น 2 ตรงข้าม Lobby มีให้เลือกมากมาย ทั้งอาหารฝรั่งและอาหารญี่ปุ่น ชา กาแฟ สามารถสั่งเพิ่มได้ตลอด
มาโอซาก้าทั้งที อดไม่ได้ที่จะแวะชอปปิ้งกันที่ย่านโดทงโบริ แม้จะเป็นถนนเลียบคลองสายเล็กๆ แต่ก็ทำให้เราเพลิดเพลินได้ด้วยแสงสี ร้านอาหาร และร้านขายของนานาชนิด และที่พลาดไม่ได้เห็นจะเป็นป้ายไฟกูลิโกะที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของที่นี่ ที่ทุกคนที่มาจะต้องมาถ่ายรูปบริเวณสะพานเอบิซุแห่งนี้
ร้านค้าที่น่าสนใจแถวนี้มีมากมายทั้ง Don Quijote ที่รับรองว่าเข้าไปแล้วคงออกมาได้ยาก แถมยังต้องได้ของติดมือออกมาอีกเพียบแน่นอน เพราะของที่ขายมีหลากหลาย ราคาก็น่าคบหา ร้านอาหารก็มีให้เลือกมากมายทั้งปูยักษ์ที่ร้าน Kani Doraku Honten ราเมง อุด้ง ซาซิมิ เกี๊ยวซ่า ทาโกยากิ ฯลฯ เรียกว่าเดินทานทั้งคืนก็เก็บลิสท์ได้ไม่หมด
อีกหนึ่งกิจกรรมที่ตั้งใจไว้ว่าจะมาเล่นเมื่อมาโอซาก้า นั่นก็คือการขับรถโกคาร์ทบนถนนจริงๆ ของ Akiba Kart Osaka รถโกคาร์ทที่นี่เค้าไม่เหมือนบ้านเรา เพราะต้องใช้ใบขับขี่รถยนต์ หรือใบขับขี่สากล และเขามองว่าเป็นรถยนต์ชนิดหนึ่งที่มีทะเบียนรถยนต์ถูกต้องตามกฎหมาย และใช้กฎจราจรเดียวกันเหมือนรถใหญ่ทั่วๆไป แถมยังได้ใส่ชุดคอสเพลย์เก๋ๆ อีกด้วยนะ น่าสนใจมั้ยหล่ะครับ ^^
วิธีขับก็ไม่ยาก โดยเจ้าหน้าที่จะมี VDO สาธิตให้ชมก่อน และพอถึงตอนออกถนน เค้าจะสอนให้เราทำตามก่อน 1 รอบ แล้วจึงค่อยเริ่มขับจริงกัน เท้าขวาเหยียบคันเร่ง เท้าซ้ายเยียบเบรค มีเบรคมือ มีไฟเลี้ยว มีกระจกข้างไว้มองรถทุกคัน
ระหว่างทางเราจะได้เห็นสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองมากมาย ทั้งปราสาทโอซาก้า ย่านโดทงโบริ ย่านนัมบะ และอื่น ๆ อีกหลายที่ รถโกคาร์ทนี้สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และใช้เวลาขับขี่บนท้องถนนในโอซาก้ารวมทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมง โดยเราสามารถเลือกรอบได้ว่าอยากชมวิวตอนกลางวัน หรือวิวยามเย็น รับรองว่านอกจากความมันส์แล้ว ยังได้รูปสวยๆ มาอีกเพียบแน่นอน
สำหรับใครที่สนใจอยากสนุกเหมือนพวกเรา สามารถจองกิจกรรมล่วงหน้านี้ในราคาพิเศษได้ที่ -> Klook ขอบอกว่าถูกกว่าจองตรงผ่านเว็บไซท์ Akiba Kart Osaka อีกด้วยนะ
อีกหนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้ยามเดินทาง นั่นก็คือ Pocket Wi-Fi โดยเราเลือกใช้ของ Tripizee ซึ่งจากที่เดินทางหลายเมืองในเรื่องของสัญญาณตั้งแต่ลงเครื่องจนวันกลับ ไม่มีหลุด สามารถแชร์สัญญาณใช้งานกันได้ ที่สำคัญยังคุ้มราคาด้วย เพราะเริ่มต้นเพียง 150 บาทต่อวันเท่านั้น สำหรับใครที่สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมหรือจองได้ที่ -> Tripizee หากมีปัญหาตอนใช้งาน เค้ามีฝ่าย Support คอยให้บริการตั้งแต่เวลา 6:00-24:00 น. อีกด้วย
ขากลับนั่ง Airport Shuttle ที่หน้าโรงแรม Sheraton Miyako วิ่งตรงมายังสนามบิน Kansai International Airport ที่ Terminal 1 ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง (ควรเผื่อเวลาสำหรับรถติดด้วย) ค่าโดยสารคนละ 2,000 เยน สะดวกสบายสุดๆ ไม่ต้องลากกระเป๋าไปไกล
สายการบิน Thai AirAsia X ขากลับเราบินตรงจากโอซาก้าถึงดอนเมือง ซึ่งมีวันละ 2 เที่ยวบิน ทั้งไปและกลับ ทำให้การเดินทางครั้งนี้สะดวกสบายสุดๆ ผังที่นั่งบนเครื่องขากลับเป็น 3-3-3 ซึ่งยังใช้เครื่องลำเดิมอยู่ แต่ยังไงก็ถึงที่หมายตรงเวลา ไม่ดีเลย์ครับ ^^
ญี่ปุ่น ไม่ว่าจะไปกี่ครั้งกี่หน ก็ไม่มีเบื่อ เพราะแต่ละเมือง แต่ละจังหวัดย่อมมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน หรือบางทีสถานที่เดียวกันแต่คนละฤดู ภาพที่ได้ออกมายังแตกต่างกัน ญี่ปุ่นเลยเป็นประเทศแรกๆที่คนไทยนิยมมาเที่ยว หรือแม้แต่นาโกย่า และมิเอะ ซึ่งเราทั้ง 2 คนเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน แต่กลับรู้สึกชอบเพราะที่นี่มีเรื่องราวประวัติ มีความหลากหลาย ไม่วุ่นวาย และยังมีของอร่อยๆที่ขึ้นชื่ออีกด้วย ลองมาบันทึกเที่ยวแบบเรา แล้วคุณจะหลงรัก…“นาโกย่า-มิเอะ ดินแดนไข่มุกแห่งคันไซ” แห่งนี้แบบไม่รู้ตัว
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^