“สะบายดีเจ้า”…วันนี้ NEJU แอนด์เดอะแก็งค์จะพาเพื่อนๆ ไปเยี่ยมชมเมืองมรดกโลกที่ไม่ไกลจากไทยมากนัก อย่าง หลวงพระบาง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนลาว หลวงพระบาง ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของลาว เป็นอดีตราชธานีเก่าแก่แห่งอาณาจักรล้านช้าง ที่องค์การ UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี 2538 เป็นเมืองที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม และประเพณีอันงดงาม ซึ่งในปัจจุบันคนไทยนิยมไปเที่ยวลาวกันเป็นจำนวนมาก เพราะลาวนั้นเต็มไปด้วยวิถีชีวิตที่มีเสน่ห์ สไตล์สโลว์ไลฟ์ วัฒนธรรมอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม วันนี้เราได้รวบรวบ “5 จุดเช็คอิน ฟินได้ตลอดปีที่หลวงพระบาง” ทำให้มาเที่ยวลาวครั้งนี้ต้องชิคเว่อร์แน่นอน หากพร้อมแล้ว เก็บกระเป๋าไปเที่ยวด้วยกันครับ
การเดินทางไปยัง หลวงพระบาง เดี๋ยวนี้ช่างแสนสบาย เพราะสายการบิน Thai Air Asia มีบินตรงทุกวัน เรื่องราคาค่าตั๋วนั้น สบายหายห่วง เพราะครั้งนี้เราแลกแต้ม “BIG Points” ของ AirAsia มาเป็นตั๋วเครื่องบินได้อย่างสบายๆ “ใช้ BIG Points จ่ายค่าตั๋ว ลดชัวร์ทุกทริป” ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกันก่อน AirAsia BIG Loyalty คือ โปรแกรมสมาชิกสะสมคะแนนของสายการ AirAsia (ฟรีค่าสมาชิกและมีอายุการใช้งานตลอดชีพ) ซึ่งสมาชิก BIG สามารถสะสมคะแนน “BIG Points” ได้จากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางกับสายการบิน/ การโอนคะแนนจากโปรแกรมสะสมคะแนนของธนาคารและพันธมิตรต่างๆ/ การจองที่พัก/ ไปจนถึงการซื้อสินค้าจากร้านค้าออนไลน์ที่เข้าร่วมรายการ คะแนน BIG Points ที่ได้รับจะไม่มีวันหมดอายุ โดย BIG Points ที่ได้รับสามารถนำมาใช้แลกตั๋วเครื่องบินของแอร์เอเชียได้ในทุกเส้นทางบิน โดยคะแนนที่ใช้จะขึ้นอยู่กับจำนวนชั่วโมงบิน และช่วงระยะเวลาเดินทาง โดยสมาชิกเพียงต้องมีคะแนนขั้นต่ำ 500 BIG Points จึงจะสามารถทำการแลกเที่ยวบินได้
สมาชิก BIG แบ่งออกเป็น 4 สถานะ ได้แก่ Red, Gold, Platinum และ Black โดยสถานะและลำดับขั้นของสมาชิกจะแปรผันตามจำนวนเที่ยวบินของแอร์เอเชียที่มีการใช้บริการ ในระยะเวลา 12 เดือนก่อนหน้า สถานะของสมาชิก และประเภทของบัตรโดยสาร จะเป็นตัวกำหนดจำนวนคะแนน BIG Points ที่จะได้รับในแต่ละเที่ยวบิน ดังนั้นสมาชิก BIG ที่ยิ่งบินบ่อย สถานะก็จะยิ่งสูงขึ้น และเมื่อสถานะของสมาชิกสูงขึ้น คะแนนที่ได้รับก็จะสูงขึ้นตามด้วย สำหรับสมาชิก BIG ที่เป็นผู้ถือบัตรเครดิตแอร์เอเชีย ธนาคารกรุงเทพ จะได้รับการอัพเกรดสถานะสมาชิกเป็น Platinum โดยอัตโนมัติ
คะแนน BIG Points สามารถใช้แทนเงินสดเพื่อจ่ายค่าบัตรโดยสารแอร์เอเชียได้ 2 ช่องทาง โดยที่ยิ่งใช้ BIG Points มาก = ยิ่งจ่ายเงินน้อยลง = ยิ่งประหยัดเงินมากขึ้น ใช้แลกบัตรโดยสารฟรีเต็มจำนวนด้วย BIG Points ทั้งค่าเที่ยวบิน บริการเสริม อาทิ เลือกที่นั่ง อาหารบนเที่ยวบิน โหลดสัมภาระ รวมถึง ค่าธรรมเนียม และภาษีต่างๆ โดยสามารถเติมคะแนน BIG Points เพิ่มได้หากมีคะแนนไม่พอแลก และในครั้งนี้ผมได้ใช้เป็นส่วนลดจ่ายค่าบัตรโดยสารแอร์เอเชียที่ AirAsia.com หรือแอร์เอเชียโมบายแอพ ในขั้นตอนการชำระเงิน สมาชิกสามารถเลือกจ่ายค่าบัตรโดยสารด้วย BIG Points ตามจำนวนคะแนน BIG Points ที่มีในบัญชีสมาชิก BIG ได้ เริ่มต้นตั้งแต่ 100 BIG Points โดยคะแนน BIG Points ที่ใช้จะนำไปหักออกจากยอดค่าบัตรโดยสารทั้งหมดที่ต้องจ่าย
อีกหนึ่งความอุ่นใจจาก Air Asia ที่จะช่วยให้เราเที่ยวได้แบบสบายไร้กังวล นั่นก็คือ ประกันเดินทาง Tune Protect ที่คุ้มครองสูงสุดถึง 1.25 ล้านบาท ในราคาเบาๆ เพียง 324 บาท (แผนไป-กลับ) ซึ่งซื้อได้ง่ายๆ ที่ www.tuneprotect.com/airasia เลือกหัวข้อ Manage My Booking ซื้อง่าย ไม่ต้องกรอกข้อมูลให้ยุ่งยากเหมือนประกันแบบเดิมๆ คุ้มครองครอบคลุมทั้งเรื่องอุบัติเหตุ การเจ็บป่วยขณะเดินทาง เที่ยวบินล่าช้า พลาดเที่ยวบิน กระเป๋าล่าช้า กระเป๋าสูญหาย กรณีที่ต้องเดินทางกลับก่อนกำหนดด้วยเหตุจำเป็น ฯลฯ ช่วยให้เราเที่ยวได้แบบไร้กังวล และสามารถพิมพ์หรือเซฟกรมธรรม์ออกมาได้เลยอีกด้วย
เราออกจากสนามบินดอนเมือง เวลา 13:55 น. นั่งเครื่องเพียง 1 ชั่วโมง 25 นาที ก็มาถึงสนามบินนานาชาติหลวงพระบางแล้ว เครื่องที่นั่งมาเป็นเครื่อง A320-200 ผังที่นั่งแบบ 3-3 ใครๆก็บินได้ แถมตรงเวลาอีกด้วย
เราจะแนะนำ 5 จุดเช็คอิน ฟินได้ตลอดปีที่หลวงพระบาง มีที่ไหนบ้าง ตามไปชมกันครับ
1. พระธาตุพูสี
ตั้งอยู่กลางเมืองหลวงพระบาง บนยอดพูสีคือที่ประดิษฐานพระธาตุพูสี พระธาตุคู่บ้านคู่เมืองทรงบัวเหลี่ยมสีทอง เหตุผลที่ควรมาเช็คอินที่นี่เพราะบนพูสีนี้เป็นจุดชมวิวที่งดงามที่สุดของเมืองหลวงพระบาง ยิ่งตอนช่วงก่อนพระอาทิตย์ตก จะมีนักท่องเที่ยวมายืนรอเพื่อถ่ายรูปพระอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้าพร้อมด้วยภาพวิวแบบ 360 องศา ถึงขนาดมีคนกล่าวไว้ว่าหากมาหลวงพระบางแล้วไม่มาขึ้นพูสี ก็คงเหมือนมาไม่ถึงหลวงพระบางเป็นแน่ หากใครที่กลัวว่าจะขึ้นไม่ไหว ขอบอกเลยว่าไม่ยากอย่างที่คิด เพราะในช่วงแรกจะเป็นบันไดขึ้นตรงๆ แต่ด้านบนจะเป็นทางเลี้ยวไปมา หากเหนื่อยก็สามารถหลบมุมนั่งพักได้ ค่าขึ้นคนละ 20,000 กีบ
2. ตลาดกลางคืน (ถนนคนเดิน)
แค่เดินลงมาจากพูสี เราจะได้เจอกับตลาดนี้ทันที ตลาดแห่งนี้เป็นแหล่งช้อปปิ้งที่โด่งดังที่สุดของหลวงพระบาง มีสินค้าหลากหลาย รวมทั้งของกิน ของใช้ต่างๆ ให้เลือกซื้อเลือกหามากมาย หลังจากตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว บรรดาพ่อค้าแม่ค้าก็จะชุบชีวิตให้ตลาดแห่งนี้ด้วยการเปิดไฟตามแผงค้าให้ทั้งถนนสว่างไสวไปหมด ตลาดแห่งนี้กินพื้นที่ยาวตั้งแต่สี่แยกที่มีห้องการท่องเที่ยวต่างๆ ไปจนถึงสามแยกใกล้กับพระราชวังหลวง สินค้ายอดฮิตของที่นี่ ได้แก่ ผ้าทอมือ กระเป๋า เครื่องเงิน และของที่ระลึกต่างๆ ที่เราชอบสุดๆ ก็คือลำโพงที่ทำจากกระบอกไม้ไผ่ นับเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านจริงๆ เพราะแค่เราเปิดเพลงแล้ววางโทรศัพท์มือถือบนลำโพงนี้ เสียงที่ออกมาก็จะดังกังวาน โดยไม่ต้องพึ่งกระแสไฟฟ้าแต่อย่างใด นับเป็นไอเดียที่เข้าท่าทีเดียว ราคาของขึ้นอยู่กับการต่อรอง และสามารถเลือกจ่ายเป็นเงินกีบหรือเงินบาทก็ได้
นอกจากสินค้าต่างๆ แล้ว ที่ตลาดแห่งนี้ยังมีอาหารนานาชนิดให้เลือกทาน ทั้งข้าวแกงมังสวิรัติที่ขายแบบบุฟเฟ่ต์ให้เราตักได้เองตามความชอบ (ตักเท่าไหร่ก็ได้ใน 1 ครั้ง) โดยมีเมนูให้เลือกทั้งเส้นผัด เส้นหมี่ ก๋วยเตี๋ยว มักโรนี ฯลฯ ในราคาจานละ 10,000-15,000 กีบ หรือจะเป็นส้มตำ หมูปิ้ง ปลาปิ้ง ไก่ปิ้ง นกปิ้ง หมาล่า เฝอ ข้าวเปียก บาแกตต์ น้ำผลไม้ต่างๆ ก็มีให้เลือกตลอดทาง
3. ล่องเรือแม่น้ำโขง
ครั้งนี้เราเหมาเรือที่ท่าเรือวัดเซียงทอง ในราคาประมาณ 500 บาท (ราคาแล้วแต่ต่อรอง) ที่หลังคาของเรือสามารถเลื่อนเพื่อเปิดปิดได้ ที่นั่งด้านในของเรือเป็นที่นั่งเหมือนเบาะรถตู้บ้านเรา เรานั่งเรือไปที่จุดที่แม่น้ำโขงและแม่น้ำคานไหลมาบรรจบกัน เพื่อชมความงามของแสงอาทิตย์อัสดงที่มีสีส้มเป็นประกายทาบทับแม่น้ำโขงอันยิ่งใหญ่ ระหว่างที่ล่องไปตามสายน้ำที่คดเคี้ยวของแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลกนี้ เราได้เห็นป่าอันอุดมสมบูรณ์ และวิวภูเขาสีเขียวชอุ่ม ถือว่าเป็นการพักผ่อนในบรรยากาศสบายๆ
4. Zip Line Adventure ที่ Green Jungle Park Hoi Khua Waterfall
จุดเช็คอินต่อไป ขอเพิ่มความ Adventure กันเล็กน้อย กับกิจกรรมที่เราซื้อแบบ Half Day Tour ตามร้านขายทัวร์ ในราคาคนละ 270,000 กีบ โดยเขาจะส่งรถตู้มารับถึงหน้าโรงแรม เพื่อไปลงเรือข้ามฟาก แล้วต่อรถไปอีกที ซึ่งรวมเป็นระยะทางทั้งสิ้น 15 กม. ใช้เวลาในการเดินทางทั้งสิ้นประมาณ 45 นาที
เมื่อไปถึงเขาจะให้กรอกข้อมูลใน Security Acknowledgement Form แล้วจะให้เราได้ฝึกว่าวิธีการเล่น Zipline ต้องทำอย่างไร เมื่อเราเข้าใจวิธีการแล้วก็มาเริ่มของจริงกัน ซึ่งจะมีทั้งหมด 13 Stations โดยระยะทางจะสั้นและยาวแตกต่างกัน
Station แรกๆ จะเป็น Zip Line ตรงๆ ธรรมดา พอ Station หลังๆ ความ Adventure ก็จะเริ่มเพิ่มขึ้น มีทั้งแบบที่เหมือนจะต้องทะลุเข้าไปในต้นไม้ แบบที่ข้ามถนนไปอีกฟากหนึ่ง แบบที่เป็น Line คู่ให้ไปพร้อมกันได้ทั้ง 2 คน และแบบที่ข้ามผ่านสวนดอกไม้ซึ่งเป็นช่วงที่ยาวที่สุด บางช่วงก็จะเป็นการเดินบนสะพานเชือก พนักงานที่นี่ดูแลดีมากๆ อุปกรณ์ต่างๆ นำเข้าจากต่างประเทศ และมีการตรวจเช็คทุกครั้งก่อนออกจากแต่ละ Station
สำหรับท่าในการเล่น Zip Line อันนี้แล้วแต่ความสามารถของแต่ละคน บางคนก็ไปแบบปล่อยมือ บางคนก็ไปแบบท่าบินเหมือน Superman บางคนที่เราเห็นไปแล้วตีลังกากลับหัวก็มี นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เรียกเสียงฮาและเสียงกรี๊ดได้ไม่น้อย
5. AVANI+ LUANG PRABANG โรงแรมบูติกใจกลางเมือง
การเดินทางครั้งนี้ เราเลือกพักที่นี่ซึ่งถือว่าเป็นโรงแรมสไตล์บูติก เก๋ๆ เหมาะกับการเช็คอิน นอนเล่นฟินกลางเมืองหลวงพระบาง Avani+ เป็นโรงแรมในเครือ Minor Group ที่แต่เดิมเคยเป็นสำนักงานส่วนราชการของฝรั่งเศส ทำให้มีทำเลที่ตั้งโดดเด่นอยู่ใจกลางเมือง จะเดินไปตลาดกลางคืน หรือจะนั่งรถไปเที่ยวที่ไหนก็แสนสะดวกสบาย
ด้านหน้าโรงแรมมีจักรยานให้ยืม เพื่อปั่นไปเที่ยวยังที่ต่างๆ ได้ หากใครที่มาหลวงพระบาง ไม่ควรพลาดกับการปั่นจักรยานเที่ยวเพื่อจะได้สัมผัสถึงวิถีชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ของที่นี่โดยแท้ และเมื่อเข้ามาด้านใน ก็ต้องทึ่งกับความงามของสถาปัตยกรรมสไตล์คลาสสิกร่วมสมัย ที่มีการผสมผสานวัฒนธรรมเอเชียกับของยุโรปได้อย่างลงตัว ซึ่งเป็นผลพวงจากที่ลาวเคยตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสในอดีตนั่นเอง เนื่องด้วยหลวงพระบางเป็นเมืองมรดกโลก (UNESCO World Heritage) ทำให้อาคารต่างๆ ต้องคงรักษารูปแบบสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลไว้ ทำได้เพียงตกแต่งเพิ่มเติมเท่านั้น เราจึงได้เห็นตัวอาคารซึ่งเป็นรูปแบบของยุโรป คู่กับการตกแต่งในสไตล์เอเชีย
ตรงกลางของโรงแรมเป็นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้เก่าแก่ อายุกว่า 100 ปี โดยมีอาคารห้องพักล้อมรอบ ให้ความรู้สึกร่มรื่นในบรรยากาศแบบส่วนตั้ว ส่วนตัว
ห้องพักมีทั้งหมด 53 ห้อง 3 Room Type ได้แก่ AVANI Deluxe Room จำนวน 26 ห้อง , AVANI Deluxe Pool View Room จำนวน 23 ห้อง และ AVANI Suite จำนวน 4 ห้อง
ห้องที่เราพักครั้งนี้เป็นห้อง AVANI Deluxe Room พอเปิดเข้ามาปุ๊บก็จะเจอกับอ่างล้างหน้าทั้งทางซ้ายและขวา พร้อมโซนห้องน้ำและห้องสุขาแยกคนละด้าน ทำให้สามารถใช้งานได้ทั้ง 2 อย่างพร้อมๆ กัน ถัดเข้ามาจะเป็น Mini Bar ที่มีทั้งน้ำดื่ม เครื่องชงกาแฟ และขนมพื้นเมืองไว้ให้บริการเพียบ พร้อมด้วยตู้เซฟที่ซ่อนในตู้เป็นอย่างดี ถัดเข้ามาเป็นโต๊ะทำงาน
บริเวณกลางห้องเป็นเตียงนอนขนาดใหญ่ที่หันหน้าออกสู่ด้านนอก ทำให้เห็นวิวสระว่ายน้ำและต้นไม้ได้แบบเต็มๆ มีระเบียงด้านหน้าห้อง พร้อมด้วยเก้าอี้นั่งเล่น และโซฟาเบดให้เราสามารถพักผ่อนในบรรยากาศเงียบสงบ ท่ามกลางธรรมชาติ
ห้องอาหารของโรงแรม เป็นห้องอาหารชื่อ Main street Bar and Grill อยู่ติดถนนใหญ่ เสิร์ฟอาหารแนว Bistro
โดยเมนูที่เราอยากแนะนำก็คือ เฝอเนื้อควายซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ ส่วนอาหารเช้าที่นี่ก็แสนจะดีงาม เพราะมีให้เลือกทั้งขนมปังและเบเกอรี่ต่างๆ สลัดผักสดๆ Cold Cut ชีส โยเกิร์ต คอนเฟร์ก ข้าวเปียก ข้าวผัด ผลไม้ อีกทั้งยังมีเมนูพิเศษที่สามารถสั่งเพิ่มเติมได้ อาทิ Avani Egg Benedict , Kai Jeun Jeaw Mak Len (ไข่เจียวทรงเครื่อง) แกงเขียวหวานไก่ ไข่กระทะ ฯลฯ ส่วนเครื่องดื่ม มีให้เลือกทั้ง ชา กาแฟ และน้ำผลไม้ต่างๆ
หากใครสนใจที่พักที่นี่ สามารถตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.avanihotels.com/luang-prabang
และแล้วก็ถึงเวลาที่เราต้องปล่อยให้นาฬิกากลับไปทำหน้าที่ของมันตามเดิม การได้มาสัมผัสกับเมืองมรดกโลกอย่างหลวงพระบาง ทำให้เราหลงเสน่ห์ในความเรียบง่าย ความงามของธรรมชาติ และความเป็นมิตรของผู้คน จนทุกครั้งที่เหนื่อยล้าจากการทำงาน เรามักนึกที่จะลามาขอใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ที่นี่เพื่อชาร์จแบตให้แก่ร่างกาย แล้วคุณหละ เคยตกหลุมรักเมืองไหนแล้วอยากกลับไปซ้ำแบบเราบ้าง ? แล้วอย่าลืมจดสถานที่เช็คอินทั้ง 5 สถานที่นี้ เพื่อคราวหน้ามาแล้วต้องไม่พลาดด้วยนะครับ ^^
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^