หากเอ่ยชื่อ โคตาคินาบาลู หลายคนคงนึกถึงภูเขาสูง การเดินป่า แต่ทริปนี้เราจะพาไปสัมผัสกับมุมมองใหม่ของเมืองนี้ ที่จริงๆ แล้วไม่ได้มีแค่ภูเขา “คินาบาลู” แต่ยังมีทะเลที่สวยงาม น้ำตก และวัฒนธรรมของชาวพื้นเมืองที่น่าสนใจ เตรียมเก็บกระเป๋าเดินทางไปตัดสินใจระหว่าง…“เขา” กับ “ทะเล” ที่โคตาคินาบาลู
ความพิเศษของทริปนี้เริ่มต้นตั้งแต่เริ่มเดินทางเลย เราได้เดินทางในเที่ยวบินปฐมฤกษ์ของ สายการบิน Air Asia ที่บินตรงสู่เมืองโคตาคินาบาลู ซึ่งมี 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ คือ วันอังคาร วันพฤหัสบดี และวันเสาร์ ทั้งไปและกลับ ถึงเมืองโคตาคินาบาลู ประมาณ 13.35 ตามเวลาท้องถิ่น (ซึ่งเร็วกว่าไทย 1 ชม.)
เข้าพักโรงแรม Le Meridien Kota Kinabalu เพราะอยู่ใจกลางเมืองเดินทางสะดวกและใกล้กับตลาดสดและตลาดกลางคืน
ตกเย็น ไปชมชายหาดและพระอาทิตย์ตกที่ Tanjung Aru ในบรรยากาศแบบสบายๆ นั่งชิลๆ จิบเครื่องดื่มเย็นๆ
วันที่ 2 เราเดินทางไปยังหมู่บ้าน Melangkap เพื่อล่องแก่ง เป็นสิ่งที่เรารอคอย เพราะกลิ่นอายแห่งการผจญภัยนั้นช่างเย้ายวน เมื่อไปถึงจะมีเจ้าหน้าที่ให้รายละเอียดและข้อควรปฏิบัติรวมถึงสิ่งที่ต้องระวัง จากนั้นไปสวมใส่อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย น่าเสียดายที่ไปกันตอนหน้าร้อน น้ำในแม่น้ำ คาดามายัน ก็จะน้อย แต่ขอบอกเลยว่าน้ำใสมาก
การล่องแก่งอาจจะไม่ตื่นเต้นมากนักเพราะน้ำน้อย แต่สิ่งที่เราได้กลับมาแทนนั้นคือ วิวสวยๆของภูเขาคินาบาลู ที่หากมาตอนน้ำเยอะๆ คงจะไม่ได้แวะถ่ายมุมนี้แน่ๆ
หลังจากที่เราได้ไปล่องแก่งกันเรียบร้อย เราก็เดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติคินาบาลู ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO และเป็นแลนด์มาร์คของนักปีนเขาที่ต้องมาให้ได้ น่าเสียดายที่ครั้งนี้เราไม่มีเวลามากพอที่จะได้ขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขา แต่คินาบาลูก็ไม่ได้มีดีแค่วิวบนยอดเขาแน่นอน อย่างที่ได้บอกไป เราไปกันช่วงหน้าร้อน อากาศในเมืองก็จะอยู่ที่ประมาณ 36 องศา แต่ในอุทยานนั้นกลับมีอากาศเย็นถึงหนาวเลยทีเดียว
คืนนี้เราเข้าพักที่ Sutera Sanctuary Lodges สไตล์บ้านพักในอุทยานกลางธรรมชาติ เมื่อเก็บของเข้าที่พักเรียบร้อย ก็ตั้งใจว่าจะไปเดินชมธรรมชาติ ที่นี่จะมีเส้นทางที่อนุญาตให้นักเที่ยวสามารถเดินเที่ยวได้เองหลายเส้นทาง ซึ่งแต่ละที่ก็จะมีระยะทางที่ไม่ไกลนัก ได้สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ชนิดที่ว่าน้องๆ การเดินป่า แต่ทางจะสะดวกกว่า มีการทำขั้นให้เดิน เราเลือกเส้นทางระยะกลางๆ ประมาณ 3 กม อย่าง Kiau View Trail
วันที่ 3 เราได้เยี่ยมชมฟาร์มโคนม Desa Dairy Cattle Farm จากข้อมูลที่หาก่อนไปที่นี่ได้ชื่อว่า The Little New Zealand แล้วก็คิ้วชนกันด้วยความสงสัย จริงหรอ? พอได้มาเห็นกับตาตัวเอง เอ๊ยยยย ใช่อะ อากาศดีมาก วิวสวย ทุ่งหญ้าสีเขียว มีวัวที่เล็มหญ้า กับฉากหลังที่เป็นภูเขา บอกเลยว่า ว้าวว มาก
แน่นอนว่ามาถึงฟาร์มแล้วก็ต้องชิมนมและไอศกรีมที่มีรสชาติให้เลือกทั้ง โยเกิร์ต ช็อคโกแลต
หลังจากที่เราทานทุกอย่างจนอิ่ม ก็ได้เวลาเดินทางกันต่อ เราจะไปหมู่บ้าน Luanti เพื่อไปทำ สปาปลา อาจจะดูธรรมดาไปหน่อย แต่ความพิเศษของสปาปลาที่นี่คือ เป็นปลาธรรมชาติที่เราต้องเดินลงไปในแม่น้ำ Moroli คุณกำลังนึกภาพปลาตัวน้อยๆ สักฝูงเข้ามาตอดขาใช่ไหมละ เซอร์ไพรส์!!! ที่นี่ปลาแม่น้ำจ้า แบบในรูปเลย ขอบอกว่าตอนแรกๆแอบกลัวเหมือนกัน 555
จากนั้นมุ่งหน้าสู่ไร่ชา เพราะซาบาห์ขึ้นชื่อเรื่องชา
และก็มาถึงไฮไลท์ของวัน Canopy Treetop Walk หรือ เดินสะพานข้ามระหว่างต้นไม้ที่สูงมากๆ นั้นเอง ซึ่งกิจกรรมนี้ตั้งอยู่ใน Kinabalu Park & Poring Hot Spring แน่นอนที่นี่มีบ่อน้ำร้อนให้เราแช่ด้วย
เดินตามเส้นทางจะพบกับบ่อน้ำร้อนก่อน ซึ่งวันที่ไปนั้นคนค่อนข้างมาก ถัดมาจะเจอสวนผีเสื้อ และไปต่อกันที่ไฮไลท์ของวัน Canopy Treetop Walk
จากนั้นไปดูน้ำตก Kipungit ซึ่งทางที่เดินไปจะเป็นทางเดินขึ้นเขาเล็กน้อย จริงๆแล้วที่นี่จะมีน้ำตกถึง 2 แห่ง คือ Kipungit และ Langanan แต่อันหลังนี่น่าเสียดายที่มีเวลาไม่พอ เพราะระยะทางต้องเดินไปอีก 3.45 กม เลยทีเดียว
วันที่ 4 แพลนวันนี้จะได้ไปเดินใต้น้ำ Seawalking ที่อุทยานแห่งชาติ Tunku Adbul Rahman ต้องบอกเลยว่านี่คือครั้งแรกที่เราจะลงไปเดินเล่นใต้น้ำ รู้สึกตื่นเต้นมากๆ แต่ก่อนที่เราจะลงไปใต้น้ำ ต้องมีการวอร์มอัพกันสักหน่อย เพราะที่อุทยานแห่งนี้มีชายหาดสวย น้ำใส เหมาะแก่การลงไปว่ายน้ำเล่นกับปลากันก่อน
จากนั้นนั่งเรือไปยังจุดที่เดินลงใต้น้ำ เป็นแพขนาดใหญ่ มีนักท่องเที่ยวไปรอคิวกันมาก ระว่างนั้นมีกิจกรรมให้คือ การลงไปดูอควาเรียม ที่ทำเป็นทางลงไปข้างล่างจะเห็น ฝูงปลา ปะการัง และคนที่ลงไปดำน้ำ
วันที่ 5 ของทริป เราจะไปดูวิถีชีวิต และวัฒนธรรมของชนเผ่าพื้นเมือง Mari-Mari Cultural Village เมื่อไปถึงจะมีไกด์แนะนำและพาเดินชม
เดินข้ามสะพานเพื่อเข้าสู่เขตชนเผ่าแรก คือ Dusun ผู้เชี่ยวชาญเรื่องข้าว มีการสร้างยุ้งข้าว การนำมาหมักเป็นเหล้า และการทำอาหารด้วยกระบอกไม้ไผ่ คล้ายๆข้าวหลามบ้านเรา รวมทั้งมีน้ำผึ้งป่าให้ชิมด้วยครับ
เผ่าต่อมาคือ Rungus จะมีการสาธิตการจุดไฟ ด้วยไม่ไผ่ และมีการทำเครื่องประดับ
เผ่า Lundayeh มีการสาธิตการทำเชือกไว้ใช้ในการถักสาน และมีการเก็บร่างผู้ที่เสียชีวิตแล้วไว้ในไห
เผ่า Bajau มีการทำขนมให้ลองทาน และเครื่องดื่ม ภายในที่พักก็จะมีบริเวณที่ใช้ในการจัดพิธีแต่งงานด้วย
และเผ่าสุดท้าย Murut ซึ่งเป็นเผ่านักล่า ผู้ชายในเผ่าหากต้องการแต่งงาน จะต้องนำหัวคนไปแสดงต่อหน้าสาวเพื่อแสดงให้เห็นว่าสามารถปกป้องสาวได้ ภายในหมู่บ้านจะมีการสาธิตการใช้อาวุธ เช่น การเป่าลูกดอก พิธีการกระโดด ซึ่งจะใช้ในเทศกาลพิเศษ และการเขียน Tattoo ลายแบบเฉพาะชนเผ่า
ช่วงเย็นได้ไปล่องเรือทานอาหารค่ำ ดูพระอาทิตย์ตก ในบรรยากาศชิวๆ
ปิดท้ายทริปนี้ด้วยภาพบรรยากาศภายในเมืองที่ได้ไปเดินเที่ยวมาครับ
หากใครอยากไปบันทึกเที่ยวตามรอยเส้นทางโคตาคินาบาลู ตอนนี้ Air Asia เค้ามีบินตรงจากดอนเมืองในราคาเบาๆ ไม่ต้องไปต่อเครื่องให้เสียเวลาอีกต่อไป แล้วคุณหล่ะตัดสินใจได้หรือยังระหว่าง “เขา” กับ “ทะเล” ที่โคตาคินาบาลู จะเลือกอะไร
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^