เซ็นได (Sendai)…เมืองหลวงของจังหวัดมิยางิ มีความเจริญและมีขนาดใหญ่ที่สุดของภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) เป็นเมืองที่ได้รับฉายาว่า “เมืองแห่งต้นไม้” เพราะมีสวนสาธารณะหลายแห่งที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น วันนี้เราจะพามาทำความรู้จักกับเส้นทางใหม่บินตรงของการบินไทย (Thai Airways) ที่ใครต่อใครเฝ้ารอ แต่ถ้ามาแล้วยังไม่รู้ว่าเที่ยวที่ไหน ทานอะไร ช้อปปิ้งที่ไหน มีที่เที่ยวหรือกิจกรรมไหนน่าสนใจบ้าง? เราได้รวบรวบ “9 จุดเช็คอินเมื่อการบินไทยเปิดเส้นทางบินตรงลงเซ็นได” ทำให้มาเที่ยวเซ็นไดครั้งนี้เที่ยวง่าย ไม่ยากและสนุกแน่นอน หากพร้อมแล้ว เก็บกระเป๋าไปเช็คอินพร้อมกันครับ
เนื่องจากทริปนี้ผมเดินทางไปก่อนเปิดเส้นทางบินตรงเซ็นได เลยต้องนั่งเครื่องไปลงสนามบินที่ใกล้ที่สุดคือ นาริตะ (Narita) และเพื่อความสะดวกสบายยิ่งขึ้นในการเช็คอิน ขอแนะนำให้โหลด Application Thai Airways ไว้ก่อนและทำเช็คอิน Online ผ่านทาง App นี้ จะได้รับ Boarding Pass สามารถนำไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ตรงหน้าเกททางเข้า สแกนขึ้นเครื่องได้เลย ทั้งสะดวกแถมลดการใช้กระดาษอีกด้วยครับ
ไฟลท์นี้ใช้เครื่องบิน Airbus A330-300 แบบ Retrofitted หรือมีการปรับปรุงที่นั่งมาแล้ว มาพร้อมจอแบบใหม่ที่ตอบสนองได้อย่างรวดเร็วทันใจ ผังที่นั่งชั้นประหยัดเป็น 2-4-2 มีช่องเสียบหูฟัง พร้อมช่องเสียบชาร์จ USB ไม่มีรีโมทควบคุมหน้าจอมาให้เพราะทุกอย่างควบคุมผ่านระบบทัชสกรีนของหน้าจอทั้งหมด เสิร์ฟอาหารมื้อหลัก 1 มื้อ และของว่างอีก 1 มื้อ ครับ
ถึงบนเครื่องจะไม่มีรีโมทแต่เราสามารถเนรมิตรีโมทขึ้นมาใช้งานได้ด้วย Application TG Xperience เพียง Download ลงบนมือถือไว้ก่อน พอเครื่องบิน Take Off ให้ต่อสัญญาณ Wi-Fi บนเครื่อง และเข้าใช้งาน App นี้ได้เลย ข้อดีคือสามารถเลือกรายการ บังคับทิศทางผ่านทางมือถือ เปรียบเสมือนว่ามือถือคือรีโมทในการควบคุมการใช้งาน สะดวกและเก๋สุดๆเลยครับ
ในเรื่องของสัญญาณ Internet เราเลือกใช้งาน Pocket Wi-Fi ของ Samurai Wi-Fi สัญญาณดี ไม่มีหลุด ตัวเครื่องเล็กกะทัดรัด แบตเตอรี่อึดมากสามารถใช้งานได้ทั้งวัน อีกทั้งยังสามารถแชร์สัญญาณกันได้หลายคน โปรโมชั่นตอนนี้ค่าเช่าตกวันละ 130 บาท -> Samurai Wi-Fi การรับคืนเครื่องก็ง่าย เพราะสามารถรับ-คืนได้ที่สนามบิน (มีเคาน์เตอร์ทั้งที่สนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ)
เราขอแนะนำ 9 จุดเช็คอิน สำหรับคนที่มีแผนมา เที่ยวเซ็นได ไม่ว่าจะ “ไป-กลับเซ็นได” หรือ “ไปเซ็นได-กลับโตเกียว” ก็สามารถใช้ได้ทั้ง 2 แบบ ทั้งที่เที่ยว ที่ช้อปปิ้ง และเมนูที่ห้ามพลาดเมื่อมาถึงเซ็นได มีที่ไหนบ้าง ตามไปชมกันครับ
จุดที่ 1 : เกาะมัตสึชิมะ (Matsushima)
เมืองท่องเที่ยวริมอ่าวมัตสึชิมะ ที่มีเกาะขนาดน้อยใหญ่อยู่มากมาย ที่นี่ยังได้รับการยกย่องว่ามีทัศนียภาพงดงามที่สุดติดอันดับ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงหอยนางรมที่มีรสชาติดี ในอันดับต้นๆของญี่ปุ่นด้วย เดินทางด้วยรถไฟสาย Senseki จากสถานี Sendai ลงที่สถานี Matsushima ใช้เวลาประมาณ 35 นาที
บนเกาะนี้ยังมีอีกหนึ่งสถานที่ที่น่าสนใจไม่แพ้วิวสวยๆอย่าง วัดโกไดโด (Godaido) ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.807 และถูกสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ.1604 โดยใช้เป็นที่ประดิษฐานเทวรูป 5 องค์ ตัววิหารตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆเชื่อมกับอีกฝั่งด้วยสะพานไม้สีแดง มีช่องระหว่างทางเดินทำให้สามารถมองเห็นน้ำทะเลด้านล่าง
มาถึงเกาะมัตสึชิมะทั้งทีต้องห้ามพลาดกับของขึ้นชื่อ อย่าง หอยนางรม เพราะที่นี่เราสามารถเลือกร้านที่ทานได้แบบไม่อั้น ในราคาไม่แพง โดยร้านที่เราทานชื่อ Matsu ทานได้ไม่อั้นในเวลา 40 นาที ราคา 2,000 เยน มีทั้งหอยนางรมสดที่เสิร์ฟตลอด มีเซ็ทข้าวนึ่งหอยนางรม และหอยนางรมทอด รวมถึงซุปหอมๆ แค่เฉพาะร้านนี้ร้านเดียววันนึงขายหอยได้ประมาณ 400 กิโลกรัม !!! รับรองว่าอร่อยจริง
จุดที่ 2 : Ginzan Onsen
หมู่บ้านเล็กๆน่ารัก เดิมเป็นเหมืองแร่เก่าที่มีประวัติยาวนานกว่าร้อยปี จนกลายเป็นหมู่บ้านออนเซ็นเล็กๆ กลางหุบเขาได้อารมณ์ญี่ปุ่นโบราณสมัยเอโดะ บางคนอาจจะคุ้นตา เพราะที่นี่เป็นที่ถ่ายทำเรื่องโอชินมาแล้ว และขาชิวคงถูกใจสิ่งนี้เพราะที่นี่มีร้านคาเฟ่เล็กๆมากมาย ให้นั่งดื่มด่ำ slow life ผลาญเวลาให้หมดไปแบบไม่รู้ตัว เดินทางด้วยรถไฟ JR ลงที่สถานี Oishida ใช้เวลา 47 นาที และต่อรถบัสด้านหน้าสถานีไปอีกประมาณ 40 นาที ลงสุดสายที่ Ginzan Onsen
เดินมาเมื่อยๆก็มีจุดให้แช่เท้าในพื้นที่สาธารณะโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แช่เท้าไปฟังเสียงน้ำลำธารไหลไป เคลิ้มเลยครับ
จุดที่ 3 : ชิมลิ้นวัวย่าง และอาหารทะเล เมนูเลื่องชื่อของเซ็นได
เนื้อวัว และลิ้นวัว (Gyutan) เป็นของขึ้นชื่อแห่งเมืองเซ็นได ถ้ามาเที่ยวเซ็นได แล้วต้องห้ามพลาด มีอยู่ด้วยกันหลายร้านให้ได้ลิ้มลอง ซึ่งร้านที่เราไปในครั้งนี้ชื่อ Masatora สายเนื้อถูกใจสิ่งนี้แน่นอน แต่คนที่ไม่ทานเนื้อยังสามารถสั่งเมนูอาหารทะเล หรือหมู มาทานด้วยได้
อาหารทะเลที่เซ็นไดก็ขึ้นชื่อเพราะเป็นเมืองติดทะเล เลยหาอาหารทะเลทานได้ไม่ยากในราคาที่ไม่แพงด้วย
จุดที่ 4 : Clis Road ถนนช้อปปิ้งคลิสโร้ด
ถ้าการมาเที่ยวเซ็นได แล้วคิดว่ามีแต่ธรรมชาตินั้นถือว่าคิดผิด เพราะที่นี่ยังมีถนนช้อปปิ้งที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเซ็นได ใกล้กับสถานีรถไฟเซ็นได (Sendai Station) ถือเป็นถนนสายช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดของเมืองเลยก็ว่าได้ มีสินค้าให้เลือกมากมายหลากหลาย ตั้งแต่อาหารท้องถิ่น ร้านคาเฟ่เก๋ๆ ไปจนถึงร้านแบรนด์เนมระดับไฮเอนอย่าง LV , Prada , Gucci เป็นต้น
จุดที่ 5 : ซากปราสาทอาโอบะ (Aoba Castle)
ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1600 โดยขุนนางศักดินา Date Masamune สำหรับป้องกันเมือง โดยเลือกสร้างป้อมปราการไว้บนภูเขาอาโอบะ สูง 100 เมตร จากระดับเมืองด้านล่าง ในช่วง 400 ปี ปราสาทได้ผ่านสงครามและภัยพิบัติมามากมาย อีกทั้งยังเกิดไฟไหม้ในปี ค.ศ. 1882 และโดนระเบิดในปี ค.ศ. 1945 จึงทำให้ปัจจุบันเหลือเพียงเศษซากกำแพงหินด้านนอก และหอรักษาความปลอดภัย จากทำเลที่ตั้งของปราสาทจะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองด้านล่างทั้งหมด และยังเห็นเทวรูปองค์เจ้าแม่กวนอิมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นด้วย เดินทางด้วยรถบัส Loople Sendai Bus จาก Sendai Station ไปลงที่สถานีหมายเลข 6 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที
บริเวณปราสาทอาโอบะ มีอีกหนึ่งศาลเจ้าที่ไม่ควรพลาด ศาลเจ้าโกโคขุ (Gokoku Shrine) สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงผู้ที่สละชีพและเสียชีวิตในช่วงสงคราม และแสดงถึงเจตจำนงเพื่อให้มีความสงบสุขตลอดไป สายเครื่องลางแนะนำว่าที่นี่เด็ดไม่ว่าจะความรัก การงาน สุขภาพ ครอบครัว ปลอดภัย รวมไปถึงเครื่องลางของสัตว์เลี้ยงก็มีให้บูชาหลากหลายแบบ
จุดที่ 6 : Akiu Craft Park
ที่หมู่บ้านอะคิอุแห่งนี้ นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสวิถีของช่างงานฝีมือพื้นเมือง ไม่ว่าจะเป็น ลูกข่างไม้ ตุ้กตาโคเคชิ จานชามไม้ ที่สามารถทดลองทำได้ด้วยตัวเอง ซึ่งรอบนี้เราได้มาลองวาดหน้าแต่งตัวให้กับ ตุ๊กตาโคเคชิ (Kokeshi) ตุ๊กตาไม้พื้นเมืองที่แม้จะเปลี่ยนจากของเล่นเด็กในสมัยเอโดะ เมื่อ 300 ปีล่วงมาแล้ว กลายเป็นตุ๊กตาไม้สำหรับตั้งโชว์หรือเก็บสะสมเป็นของที่ระลึก เดินทางด้วยรถบัสจาก Sendai Station ไปลง Akiu Craft Park หรือสุดสาย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที
การวาดหน้าแต่งตัวให้ตุ๊กตาไม้นั้นไม่ยาก โดยจะมีสีให้แค่ 2 สีคือ สีแดง และ สีดำ (จะวาดหน้าเป็นลายอะไรก็ได้ตามแต่จินตนาการ) เริ่มจากเขียนคิ้ว ตา จมูก เติมลูกตา ต่อมาก็วาดผม เขียนปากด้วยสีแดง ตามด้วยวาดกิโมโนเป็นลายผ้าตามต้องการ ปิดท้ายด้วยการแต้มแก้มสองข้างด้วยสีแดงอ่อน และรอให้ทางร้านเคลือบให้อีกชั้น เพื่อให้สีติดทนนาน ก็เป็นอันเสร็จนำตุ๊กตากลับบ้านเป็นที่ระลึกได้
ผลงานของนักเรียนในกลุ่มนี้ ช่างมีจินตนาการที่หลากหลายเหลือเกิน ที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ห้ามพลาดเมื่อมา เที่ยวเซ็นได ไม่ว่าจะมาเป็นคู่ มาเป็นครอบครัว ก็สามารถสนุกได้ทุกแนว
จุดที่ 7 : Zao Fox Village
ที่นี่เป็นสถานที่เพาะเลี้ยงสุนัขจิ้งจอกที่มีมากกว่า 100 ตัว แบบปล่อยตามธรรมชาติในพื้นที่ธรรมชาติที่สมบูรณ์ ทำให้สามารถเห็นพฤติกรรมการใช้ชีวิตของสุนัขจิ้งจอกได้โดยไม่ต้องผ่านซี่กรง เดินทางด้วยรถบัสจากสถานี Shiroishi ลงที่สถานี Fox Village ใช้เวลาประมาณ 50 นาที โดยรถจะมีเฉพาะวันอังคารกับวันศุกร์ วันละ 2 รอบเท่านั้น
ช่วงที่เราไปเจอฝนพอดีทำให้สุนัขจิ้งจอกที่ออกมาเผยโฉมตัวเปียกมอมแมมไปหน่อย แต่เห็นอย่างนี้แล้วแฝงไปด้วยความอันตราย โดยก่อนเข้ามาด้านในจะต้องรับรู้ถึงข้อห้ามที่ห้ามทำ เช่น ห้ามแตะสุนัขจิ้งจอก อย่าห้อยของชิ้นเล็กๆเช่นพวงกุญแจเพราะอาจโดนฉกไปไม่รู้ตัว ให้เดินบนทางที่กำหนดไว้เท่านั้น เป็นต้น
จุดที่ 8 : เก็บผลไม้ (ลูกพีช) ทานไม่อั้นจากสวน
เมื่อมาเที่ยวเซ็นได แล้วอยากเก็บที่เที่ยวเมืองรอบข้างแบบไม่ไกลด้วย ขอแนะนำ จังหวัดฟุคุชิมะ (Fukushima) ซึ่งกิจกรรมไฮไลท์ของที่นี่ก็คือ เก็บลูกพีชกินสดๆจากสวน (Peach Picking) นั่นเอง สวนที่เราไปครั้งนี้คือ Azuma Orchard ที่เปิดให้เข้าไปเก็บและทานลูกพีชสดๆจากสวน ในราคาคนละ 800 เยน เท่านั้น ทานได้ไม่อั้นในเวลา 30 นาที เราสามารถไปทานลูกพีชสดๆกันได้ตั้งแต่กลางเดือนก.ค. จนถึงสิ้นเดือน ส.ค. ส่วนช่วงเดือนอื่นจะมีผลไม้แตกต่างตามฤดูกาลทยอยกันออกผล เช่น องุ่น เชอร์รี่ เป็นต้น เดินทางด้วยรถบัสจากสถานี Fukushima ทางออก East ป้ายรถประจำทางหมายเลข 12 ลงที่สถานี Zatamachi
มีอุปกรณ์ให้พร้อมทั้งตะกร้าและมีด เก็บและทานได้เฉพาะในสวน ห้ามนำออกไปทานนอกสวนนะครับ หรือถ้าใครอยากจะซื้อกลับมาทาน ทางสวนก็มีขายไว้สำหรับซื้อเป็นของฝากติดไม้ติดมือด้วย
จุดที่ 9 : หมู่บ้านญี่ปุ่นโบราณโออูจิจูคุ (Ouchi-Juku)
เป็นเมืองบนเส้นทางการค้าอาอิซุนิชิไคโดะ ซึ่งเชื่อมต่อเมืองอิซุกับนิกโก้ในช่วงสมัยเอโดะ ปัจจุบันบ้านสไตล์ญี่ปุ่นแบบมุงหลังคายังคงรักษาไว้เป็นอย่างดี และดัดแปลงเป็นร้านค้า ร้านอาหาร และบ้านพักแบบโฮมสเตย์ต่างๆ เดินทางด้วยรถบัสจากสถานี Yunokami Onsen ลงที่สถานี Ouchijuku ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที แต่มีรถบัสเฉพาะเดือนเมษายน-พฤศจิกายน เท่านั้น
บ้านโบราณที่ดัดแปลงเป็นร้านค้า ร้านอาหาร สามารถเดินซื้อของฝาก หรือขนมติดไม้ติดมือ แถมที่นี่ยังมีบรรยากาศดีเหมาะแก่การเดินเล่นชิวๆอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีศาลเจ้าและวัดประจำเมืองโออูจิจูคุ โดยวัดตั้งอยู่ปลายสุดของถนนสายหลักที่มีบันไดสูงชัน สามารถขึ้นไปชมทิวทัศน์อันงดงามของเมืองได้จากบริเวณวัดด้านบน
อาหารยอดนิยมของที่นี่คือ บะหมี่โซบะต้นหอม และปลาเทร้าต์ย่าง ถ้าอยากลิ้มลองอรรถรสแบบชาวญี่ปุ่นโบราณ แนะนำให้ใช้ต้นหอมใหญ่ยักษ์ตักเส้นขึ้นมาทานพร้อมน้ำซุปกลมกล่อม รับรองว่าอร่อยถึงใจจริงๆ
“9 จุดเช็คอิน เที่ยวเซ็นได” ที่ใครๆก็มาได้ไม่ว่าจะทางรถยนต์ รถไฟ โดยสามารถตั้งต้นจากเมืองเซ็นไดเที่ยวไปจนถึงโตเกียวแล้วกลับ หรือจะสวนทางกัน หรือจะเจาะลึกแค่เมืองเซ็นไดอย่างเดียว เพราะทุกสถานที่ที่แนะนำ อาหารที่ต้องลอง กิจกรรมที่ห้ามพลาด รวมถึงย่านที่เหมาะแก่การช้อปปิ้ง ล้วนดีงามทั้งนั้น และปลายเดือนตุลาคมนี้ การบินไทยเปิดเส้นทางบินตรงลงเซ็นได (SDJ) ยิ่งทำให้การเดินทางสะดวกมากขึ้นโดยไม่ต้องต่อเครื่องอีกต่อไป ลองมาสัมผัสเมืองที่ได้ฉายาว่า “เมืองแห่งต้นไม้…เซ็นได” สักครั้งแล้วจะหลงรักเมืองนี้มากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน ^^
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^