Italy…ประเทศที่ได้ชื่อว่าเมืองแห่งศิลปะ และสถาปัตยกรรมอันเลื่องชื่อ
หลายๆคนรู้จักอิตาลีจากเมืองอย่าง เวนิส มิลาน โรม เมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆที่เหล่านักท่องเที่ยวใฝ่ฝัน
ที่จะไปเยือนซักครั้ง ทริปนี้ผมได้เดินทางไปหลายเมืองในอิตาลี
ได้เห็นถึงสถาปัตยกรรมอันโด่งดังมากมายหลายแห่ง รวมถึงศิลปะที่บอกได้เลยว่า
ไม่มีที่ไหนเยอะและใหญ่โตเท่าที่นี่มาก่อน ถ้าคุณเป็นคนชอบศิลปะ หลงรักสถาปัตยกรรมสวยๆ
ต้องไม่พลาดที่จะมาเยือนอิตาลีซักครั้ง ^^
รีวิวนี้ขอแบ่งเป็น 2 ตอน โดยตอนแรกจะกล่าวถึงเมืองเวนิส ฟลอเรนซ์ และเซียนา
ส่วนตอนที่ 2 เป็นตอนจบจะพาไปเที่ยวปิซ่า มิลาน และปิดท้ายที่โรม
มาออกตามหาศิลปะในดินแดนรองเท้าบูทแห่งยุโรปใต้ พร้อมๆกันครับ…
“First Chapter : Italy – Venice / Florence / Siena”
การเดินทางครั้งนี้ผมใช้บริการสายการบิน AirFrance บินไปยังเมืองเวนิส (Venice) ประเทศอิตาลี
ซึ่งไปแวะพักเครื่องที่ปารีสอยู่พักนึง โดยเราสามารถเช็คอินออนไลน์ผ่าน App ทางมือถือ ได้เลย
เพื่อเพิ่มช่องทางความสะดวกสบายพร้อมกับเลือกที่นั่งได้ทันทีครับ
พอถึงสนามบินก็แค่โหลดกระเป๋าแล้วเตรียมตัวไปนั่งในเล้าจน์ก่อนเครื่องขึ้นแบบชิวๆ ^^
เล้าจน์ของสายการบิน AirFrance และ KLM ใช้เล้าจน์เดียวกัน
ผู้โดยสารที่สามารถใช้บริการในเล้าจน์ได้จะเป็นชั้นธุรกิจและ First Class เท่านั้น
ส่วนผมนั้นเข้ามาถ่ายรูปบรรยากาศในนี้ครับ ^^
ของว่างทั้งขนมและน้ำมีให้เลือกหลากหลาย รวมถึงที่นั่งด้านในมีเพียงพอ
ไม่อึดอัดจนเกินไปด้วยครับ
มาดูบนเครื่องกันต่อดีกว่า…
ผมเคยใช้บริการมาแล้วครั้งนึงเมื่อตอนไปฝรั่งเศส มาคราวนี้ผมได้ใช้บริการอีกครั้ง
ถ้าพูดถึงเรื่องบริการและอาหารบอกเลยว่าดีงามละจัดเต็มจริงๆ กินอิ่ม นอนหลับ คุ้มเลยครับ
ในส่วนของ Entertain บนเครื่องก็มีให้เลือกมากมายทั้งหนังใหม่ๆ เพลงเพราะๆ
เกมส์เด็กๆ ซีรี่ย์ต่างๆ ใครถูกใจอะไรก็ใส่หูฟังแล้วเข้าสู่โลกส่วนตัวได้เลย ^^
อาหารบนเครื่องถือว่าดีงาม สามารถขอไวน์เพิ่มได้เรื่อยๆไม่ว่าจะเป็นไวน์ขาวหรือไวน์แดง
คอไวน์ไม่ควรพลาดเลยครับ ทานคู่กับอาหารที่เสิร์ฟมาทั้ง 2 มื้อ อร่อยจริงๆ
รวมไปถึง Snack และเครื่องดื่มบนเครื่อง มีเสิร์ฟให้ตลอดการเดินทาง
และยังมีไอติมเย็นๆที่ทานบนน่านฟ้าความสูงหลายฟุตอีกด้วยครับ ฟินสุดๆเลย ^^
ผ่านมา 12 ชม. เครื่องได้ลงจอดที่สถานีแรกปารีสเพื่อทรานสิทไปยังเมืองเวนิซต่อไป
มีบอร์ดที่สนามบินเพื่อดู Connecting Flight และมีป้ายบอกตามทางชัดเจนครับ
ผมใช้เวลาทรานสิทอยู่ที่ปารีสไม่นาน แล้วก็ขึ้นเครื่องนั่งมาเวนิซอีกประมาณ 2 ชม.
Connecting Flight นี้ยังมีอาหารบนเครื่องให้อีก 1 มื้อด้วยนะครับ อิ่มอีกแล้ว
แต่บินด้วยเครื่องบินที่ขนาดเล็กกว่า เป็นที่นั่งแบบ 3 : 3 การบริการทุกอย่าง ดีงามเหมือนกันครับ
ว่าในเรื่องของการเดินทางในอิตาลี ทริปนี้ผมใช้รถไฟเป็นการเดินทางหลัก
ผมซื้อตั๋วรถไฟผ่านทาง Euro Package http://euro-package.com/
ซึ่งเป็นเว็บที่ขายแพ็คเกตคู่ระหว่างตั๋วเครื่องบินกับคู่ค้าอย่างอื่น
เช่น ตั๋วรถไฟในยุโรป เรือ ที่พัก เป็นต้น ซึ่งครั้งนี้ผมเลือกแพ็คเกตเป็น
ตั๋วเครื่องบิน (ไปลงเวนิส-กลับจากโรม) + ตั๋วรถไฟ 3 Day Pass (2 nd Class)
โดยตั๋วเครื่องบินออกโดยสารการบิน AirFrance ส่วนตั๋วรถไฟจะออกโดย Diethelm Travel
ผู้ที่สนใจสามารถเลือกซื้อแพ็คเกตที่ตรงกับความต้องการของแต่ละท่านได้
ราคาอาจมีการปรับเปลี่ยนจากการจับคู่สินค้าและตามค่าเงินที่มีการเปลี่ยนแปลง
หรือถ้าใครสนใจซื้อตั๋วรถไฟเดินทางในทวีปยุโรปราคาไม่แพง แถมได้ตั๋วพร้อมส่งมาเลย
สามารถซื้อผ่านได้ที่ Diethelm http://www.diethelmrail.com/Home/Index/th
เพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทาง ตั๋วรถไฟก็ได้เป็นตั๋วจริงก่อนเดินทางเลยด้วย
พอจะใช้เดินทาง ต้องทำการ Validate วันที่เริ่มใช้ทุกครั้ง ตามตู้ในสถานี
แต่ถ้าเป็นรถไฟด่วนที่วิ่งข้ามเมืองไกลๆจะต้องเสียค่าจองที่นั่งก่อน เที่ยวละ 1o Euro ต่อคน
Hello Italy…Hello Venice
เอกสารและความพร้อมทุกอย่างได้เตรียมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆก่อนเดินทาง
พอมาถึงหน้างาน จุดเริ่มต้นของการเดินทางทริปนี้ เลยราบรื่นดี
เมื่อรับกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย การเดินทางเข้าเวนิส (Venice) มีหลายรูปแบบ
ทั้งทางเรือ ทางรถไฟ ทางรถยนต์ ผมเลือกทางรถยนต์
ซึ่งเป็นรถของ Venice Airport Shuttle Bus (ATVO) ลงป้าย Venezia P.le Roma
โดยใช้เวลาเดินทางจากสนามบินประมาณ 20 นาที ค่าโดยสารคนละ 8 Euro
สามารถกดซื้อตั๋วและทำการ Validate ตั๋วก่อนขึ้น ได้จากด้านหน้าประตูทางออกเลยครับ
เวนิส (Venice หรือ Venezia) มีลักษณะเป็นหมู่เกาะเล็กๆหลายเกาะ
ซึ่งส่วนใหญ่จะเดินทางไปมาหาสู่กันทางเรือ ในเมืองไม่อนุญาตให้ขับรถ
ผู้คนบนเกาะนี้จึงเลือกเดินเท้า หรือไม่ก็ปั่นจักรยาน
แต่ที่ถือว่าเป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาที่นี่คือ การล่องเรือกอนโดลา (Gondola)
ตามคลองเล็กๆ อันเป็นเอกลักษณ์
เมืองเวนิสแบ่งออกเป็น 6 เขต ได้แก่
1. San Marco (รวม San Giorgio Maggiore)
2. Dorsoduro (รวม Dorsoduro Est / Dorsoduro Ovest และ Giudecca)
3. Santa Croce (รวม S.Croce Est และ S.Croce Ovest)
4. San Polo
5. Cannaregio (รวม Cannaregio Est และ Cannaregio Ovest)
6. Castello (รวม Castello Est / Castello Ovest และ San Pietro di Castello)
ทริปนี้ผมได้ไปเที่ยว 4 เขต กับ 2 เกาะ ของเวนิส โดยการเดินทางหลักๆคือการเดินเท้า
ส่วนตอนที่ข้ามไปเกาะ ผมเลือกซื้อตั๋วแบบ 1 Day และใช้บริการเรือโดยสารของที่นั่น
1 – เขต Cannaregio
จุดเด่นของเขตนี้เป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟ เพื่อโดยสารข้ามไปยังเมืองหลักต่างๆ
เช่น โรม ฟลอเรนซ์ มิลาน เป็นต้น เป็นเขตที่เหมาะกับการเดินเท้าถ่ายรูปชิวๆชมบ้านเรือน
แต่ไม่ค่อยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ ข้อแนะนำ ถ้าอยากเดินเท้าถ่ายรูปชิวๆ
ให้ลองหาซื้อแผนที่ติดตัวไปด้วย เพราะตรอกซอยซอยในเวนิสนั้นเยอะมากครับ
อาจพลัดหลง หรือหาทางกลับที่พักไม่ถูกก็เป็นได้
2 – เขต San Polo
สถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของเขตนี้คือ โบสถ์ Basilica di Santa Maria Gloriosa dei Frari
หรือเรียกสั้นๆว่า Frari สถาปัตยกรรมภายในเป็นแบบกอทิก มีขนาดใหญ่ตั้งอยู่ริมคลองด้านใน
บริเวณด้านในโบสถ์ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอย่างอื่นอีก เช่น ภาพวาด Assumtion of the Virgin
ที่นั่งและไม้แกะสลัก Monk’s Choir และรูปปั้น St. John the Baptist
ถ้าอยากเห็นบรรยากาศเรือกอนโดลาแล่นตามลำคลอง คนพายร้องเพลง คนนั่งชิวถ่ายรูปเล่น
จะมองทางไหนก็มีให้พบเห็นอยู่ทุกคลอง เพราะนี่เป็นเหมือนเอกลักษณ์ประจำเวนิสไปแล้ว
ส่วนตัวผมเองไม่ได้ลองนั่งเรือกอนโดลานะครับ เดินตามซอกซอยถ่ายรูปเรือชดเชยแทน ><
3 – เขต San Marco
เขตใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยสถานที่สำคัญต่างๆ ในบริเวณรอบๆนี้จะมีนักท่องเที่ยวค่อนข้างมาก
อย่างลานด้านหน้าโบสถ์ Basilica di San Marco นับเป็นโบสถ์ที่สวยงามแห่งหนึ่งของยุโรป
มีลักษณะเด่นคือสถาปัตยกรรมที่มีการผสมผสานระหว่างตะวันออกและตะวันตก
บริเวณใกล้เคียงยังมีหอนาฬิกา Torre dell’ Orologio
เป็นหอนาฬิกาโบราณ ตัวนาฬิกามีลวดลายเป็นจักรราศี
ด้านบนของหอนาฬิกามีรูปปั้นสิงโตมีปีก ส่วนด้านบนสุดมีรูปปั้นสองรูปคอยตีระฆังบอกเวลา
เด็กๆมาให้อาหารนกพิราบบริเวณลานด้านหน้าโบสถ์ ซึ่งมีนกพิราบอยู่เป็นจำนวนมาก
บริเวณนี้ยังมีพระราชวัง Palazzo Ducale หรือ Doge’s Palace
พระราชวังนี้เคยเป็นที่พำนักของผู้ปกครองเมืองเวนิส สถาปัตยกรรมภายนอกได้รับการตกแต่งเพิ่มเติม
ในรูปแบบเวเนเชียนกอทิก ซึ่งต่างจากสไตล์เวนิสโดยทั่วไปคือใช้หินอ่อนสีชมพูมาประดับ
โบสถ์ San Giorgio Maggiore โบสถ์ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม มีสถาปัตยกรรมสไตล์เรอเนซองซ์
ภายในมีภาพวาดบนผนัง 2 ภาพคือ The Last Supper และ The Gathering of Manna
ด้านบนหอระฆังจะมีจุดชมวิวมองเห็นทิวทัศน์สวยงามของเกาะเวนิสอีกด้วย
แต่ช่วงที่ผมไปหมอกลงหนาแน่นตลอดทั้งวัน เลยไม่ได้ขึ้นไปชมวิวด้านบนครับ
หากเดินมาถึงเขตนี้แล้วไม่หยุดแวะชมสะพาน Ponte dei Sospiri ถือว่ามาไม่ถึง
สะพานนี้มีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่า The Bridge of Signs เป็นทางเดินเชื่อมระหว่างพระราชวังกับเรือนจำ
เมื่อนักโทษถูกพิพากษาจำคุกจะต้องเดินผ่านทางนี้ไปยังห้องขัง สถาปัตยกรรมด้านนอกสวยงาม
นักท่องเที่ยวหลายคนนิยมมาถ่ายรูปตรงจุดนี้
4 – เขต Dorsoduro
เป็นเขตที่ถ้าเลือกเดินทางมาโดยทางเท้าต้องบอกเลยว่าไกลมากๆ (ซึ่งผมเลือกวิธีเดินมา)
แต่ถ้าอยากสบายที่สุดคงต้องเลือกนั่งเรือโดยสาร เพราะจะลงตรงด้านหน้า
โบสถ์ Basilica di Santa Maria della Salute หรือเรียกสั้นๆว่า Salute
ตั้งอยู่ใกล้ Grand Canal มีสถาปัตยกรรมแบบบาโรก มียอดโดมอันสวยงาม
และด้านหน้าอาคารประดับด้วยรูปปั้นของนักบุญในอดีต
โบสถ์นี้เปิดให้เข้าชมด้านในฟรี ไม่เสียค่าเข้านะครับ ^^
ซึ่งส่วนใหญ่คนจะหยอดเหรียญในกล่องตามจิตศรัทธา
พอออกมาจากโบสถ์ เผลอแปปเดียวฟ้าเริ่มมืดลง
และขากลับได้เดินผ่าน Grand Canel คลองหลักที่ใช้ในการสัญจรไปมาของเรือในเวนิส
รอบด้านมีโบสถ์และสถาปัตยกรรมสวยงามตั้งเรียงรายเต็มสองข้างทาง
หลังจากที่เมื่อวานพาเดินเที่ยวรอบๆเวนิสแล้ว วันนี้จะได้ลองใช้บริการเรือเมล์กันบ้าง
ซื้อตั๋วเรือแบบ 1 Day Pass ราคาอยู่ที่คนละ 20 Euro
เรือแต่ละลำจะมีตัวเลขแต่ละสายบอกชัดเจน รวมถึงชื่อป้ายสถานีด้วย
เกาะ Burano
นั่งเรือจากเวนิสมาประมาณ 45 นาที เกาะนี้เป็นสถานที่สำคัญ
ในการผลิตงานจากผ้าลูกไม้ เช่น เสื้อผ้า ผ้าปูโต๊ะ ของแต่งบ้าน ฯลฯ
*** นั่งเรือ Vaporetto สาย 41 , 42 ที่ท่าเรือ Ferronvia หรือ San Marco
มาลงที่เกาะ San Michele (Cimitero) แล้วต่อไปยังเกาะ Murano
ที่ท่าเรือ Murano-Colonna หากไปเกาะ Burano ต่อ ลงเรือ Vaporetto สาย LN
ที่ท่าเรือ Murano-Faro ได้เลย ***
มีร้านค้าปลีกย่อยขายสินค้าพื้นเมืองมากมาย
รวมทั้งมีโรงเรียนสอนทำผ้าลูกไม้อีกด้วย
บนเกาะแห่งนี้ทางการอิตาลีได้บังคับให้ทาสีบ้านแตกต่างกัน
แต่ถ้าสีเหมือนกันบ้านแต่ละหลังห้ามอยู่ติดกัน
ทำให้เกาะแห่งนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ไม่เหมือนบ้านเรือนในเวนิสทั่วไป
ถ้ามาเกาะบูราโนแล้วต้องไม่พลาดอีกเกาะหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆกันอย่างเกาะมูราโน
เกาะ Murano
เกาะนี้มีชื่อเสียงเรื่องทำเครื่องแก้ว ของแต่งบ้าน เครื่องใช้ในครัวเรือน
แก้วจากเกาะนี้มีคุณภาพดี ถือเป็นอุตสาหกรรมหลักที่สร้างรายได้
ให้ชาวมูราโนตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
มีโรงงานหลายแห่งเปิดให้ชมการสาธิตเป่าแก้วและมีร้านค้าต่างๆขายของมากมาย
ยังมีอีกหลายเกาะที่อยู่รอบเวนิส ซึ่งการเดินทางจะเป็นเรือ Vaporetto
สามารถใช้ตั๋วแบบ 1 Day Pass ขึ้นลงได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง
เตรียมโบกมือลาเมืองแห่งสายน้ำ
เพราะเป้าหมายต่อไปจะต้องขึ้นรถไฟเพื่อไปยังเมืองฟลอเรนซ์
รถไฟขบวนนี้ผมได้ทำการสำรองที่นั่งล่วงหน้า มีค่าใช้จ่ายคนละ 10 Euro
สามารถสำรองที่นั่งและสอบถามรอบรถไฟได้ที่เค้าเตอร์ในสถานีรถไฟได้เลยครับ
Florence…ก้าวแรกในดินแดนแห่งศิลปะเรอเนซองซ์
ประมาณ 2 ชม. รถไฟด่วนขบวนจากเวนิซได้มาจอดที่สถานีฟลอเรนซ์ (Firenze S.M.N.)
ซึ่งอยู่ในแคว้นทัสคานีอันเลื่องชื่อ ก้าวแรกของผมในเมืองนี้ที่สัมผัสได้คือ
ความขลังของศิลปะยุคเก่า มีทั้งพิพิธภัณฑ์ จิตรกรรม และสถาปัตยกรรมสวยๆทั่วทุกแห่ง
ใครที่ชื่นชอบพิพิธภัณฑ์ผมบอกได้เลยว่า เมืองนี้ตอบโจทย์ที่สุด
เพราะคุณสามารถเดินเข้าเดินออก เดินชมพิพิธภัณฑ์ได้ไม่มีเบื่อกันเลย ^^
พิพิธภัณฑ์ Galleria dell’ Accademia
สถานที่ท่องเที่ยวในฟลอเรนซ์ ส่วนใหญ่จะเดินถึง มีแค่ตรงจุดชมวิวที่แนะนำว่านั่งรถบัสไปดีกว่า
ถ้าไม่อยากเหนื่อยเดินขึ้นเขา สถานที่แรกที่จะพาไปชมเป็นพิพิธภัณฑ์อันโด่งดังของเมืองนี้
ชื่อเรียกยาก แต่ถ้าบอกว่าที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ที่มีรูปปั้นเดวิดของจริงอยู่ ทุกคนจะอ๋อขึ้นมาทันที
ที่ปารีสมีภาพวาดโมนาลิซ่าที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ใครไปใครมาก็ต้องแวะไปชม
ที่อิตาลีนี้ก็มีเหมือนกัน รูปปั้นเดวิด ผลงานอันเลื่องชื่อของ Michelangelo
ประวัติผมขอไม่เล่านะครับว่ามีความสำคัญในคัมภีร์ไบไบเบิ้ลยังไง
แต่ถ้ามาฟลอเรนซ์แล้วไม่ได้เข้ามาชมรูปปั้นของจริงนี้ ถือว่าพลาดแบบสุดๆเลย
*** ปิดทุกวันจันทร์ ค่าเข้าชมคนละ 8 Euro ***
มหาวิหาร Duomo di Firenze
มหาวิหารอันยิ่งใหญ่ของฟลอเรนซ์ สถาปัตยกรรมเรเนซองซ์ ภายนอกประดับด้วยหินอ่อนหลากสี
มีขนาดใหญ่โต ส่วนที่มีขื่อเสียงที่สุดคือโดมใหญ่ ถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของฟลอเรนซ์
นักท่องเที่ยวจะนิยมเดินขึ้นบันไดจำนวน 463 ขั้น เพื่อไปชมความงาม
ของเมืองฟลอเรนซ์มุมสูง ที่เห็นทิวทัศน์โดยรอบชัดเจนจากยอดโดมแห่งนี้
หรือจะเดินขึ้นไปชมบนยอดหอระฆังด้วยจำนวน 400 ขั้น (น้อยกว่านิดนึง)
สามารถซื้อตั๋วเป็นแพ็คเกตขึ้นสองที่ได้ แต่ไม่รับประกันถึงความสั่นของขา
ระดับ 8 ริกเตอร์นะครับ ที่สั่นไม่ใช่เพราะกลัวความสูง แต่สั่นเพราะเมื่อยขา ><
*** ค่าขึ้นยอดโดมคนละ 15 Euro ขึ้น 2 หอคอยคนละ 25 Euro***
ภายในมหาวิหารมีภาพวาดบนเพดานโดมอันสวยงาม
เป็นผลงานของ Vasari และ Zuccari
สมกับเป็นสัญลักษณ์ของเมืองฟลอเรนซ์จริงๆ ยิ่งใหญ่และสวยงามอลังการ
จตุรัส Piazza della Signoria
จตุรัสแห่งนี้มีลักษณะเหมือนตัวอักษร L มีรูปปั้นสวยงามตั้งอยู่รอบๆ
ทั้งเทพเจ้าเนพจูน เฮอคิวลีส รวมไปถึงรูปปั้นเดวิด แต่ไม่ใช่ของจริงนะครับ
ของจริงมีที่เดียวในพิพิธภัณฑ์ ดูเผินๆแล้วคล้ายมาก
แต่ถ้าดูให้ละเอียดจะรู้ว่าสเกลจะไม่เท่ากับของจริงครับ
สะพานเก่า Ponte Vecchio
สะพานเก่าแก่แห่งนี้ใช้ข้ามแม่น้ำ Arno เป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดในฟลอเรนซ์
นอกจากความเก่าแก่ของสะพานแห่งนี้ ที่นี่ยังถูกทาสี และทำเป็นเหมือน 3D
เป็นบ้านเรือนเยื่อนออกมาจากตัวสะพาน
เป็นสถานที่ที่ห้ามพลาดการถ่ายรูปและโพสท่าเก๋ๆอีกที่เลยครับ ^^
บนสะพานแห่งนี้มีร้านค้าเปิดขายของอยู่มากมาย
จุดชมวิว Piazzale Michelangelo
อีกหนึ่งสถานที่ชมวิวเมืองฟลอเรนซ์ที่ตั้งอยู่บนเนินเขา
สามารถนั่งรถเมล์สาย 7 ประมาณ 20 oาทีจากพิพิธภัณฑ์เดวิด
หรือถ้าใครฟิตหน่อยก็เดินจากสะพาน Ponte Vecchio ประมาณ 30 นาที
ที่นี่จะเห็นรูปปั้นเดวิด (อีกแล้ว) แต่ไม่ใช่ของจริง และจะเห็นวิวสวยๆจากบนเนินแห่งนี้ด้วย
นักท่องเที่ยวนิยมมาชมวิวสวยๆบนเนินแห่งนี้ช่วงพระอาทิตย์ตกดินครับ
เป็นจุดชมวิวที่ไม่เสียค่าเข้าชมแต่อุดมไปด้วยความฟินระดับ 10 ริกเตอร์ ^^
Siena เมืองเก่าบนเนินเขา
จากฟลอเรนซ์สามารถนั่งรถไฟเพื่อไปเที่ยวเมืองข้างเคียงได้หลายเมืองทั้ง Lucca และ Siena
เช้านี้ผมจะพาไป Siena ไม่ต้องจองที่นั่งล่วงหน้า แค่มีบัตรรถไฟ ดูรอบแล้วขึ้นไปนั่งชิวๆได้เลย
สามารถเข้าไปเช็ครอบรถไฟได้จากเว็บรถไฟของอิตาลี https://www.italiarail.com/
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชม. ครับ แค่ขึ้นมาจากสถานีรถไฟเมืองเซียนนา ก็ถึงกับอึ้งเพราะบันไดเลื่อนสูงมากครับ
เมืองเซียนนาเป็นเมืองเล็กๆตั้งอยู่บนเนินเขา เป็นเมืองใหญ่อันดับสอง
รองจากฟลอเรนซ์ และยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกด้วย
จตุรัส Piazza del Campo
ตั้งอยู่ใจกลางเมือง บริเวณจตุรัสยังเป็นที่ตั้งของพระราชวัง Palazzo Pubblico
ซึ่งเป็นพระราชวังที่สร้างขึ้มในแบบโรมาเนสก์ และมีหอระฆังเก่าแก่ข้างๆ Torre del Mangia
เป็นหอระฆังเก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้น หอคอยนี้ออกแบบให้สูงกว่าหอคอยของเมืองฟลอเรนซ์
มหาวิหาร Duomo di Siena
ก่อนเข้าไปชมด้านในมหาวิหาร ด้านข้างจะมีหอคอยให้ขึ้นไปชมวิวเมืองจากด้านบนได้
*** ค่าเข้าคนละ 7 Euro ***
ต้องบอกเลยว่ามุมด้านบนนี้สวยจับใจ
เก็บรายละเอียดของเมืองเซียนา แห่งแคว้นทัสคานีได้ครบทุกมุม
และจะเห็นได้ว่าบริเวณรอบๆจะเป็นเมืองเก่า โทนสีหลังคาเป็นโทนสีน้ำตาลหมด
ตัดกับพื้นหลังที่เป็นเนินเขาเขียวขจี
ความเขียวขจีของแคว้นทัสคานีแบบนี้แหล่ะครับ
ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวกันมากมาย
มาชมความงามของด้านในมหาวิหารกันบ้าง Duomo นี้ผมให้ชื่อว่า Duomo ทางม้าลาย
ทั้งข้างนอกและด้านในตกแต่งด้วยแถบหินอ่อนขาวสลับดำ
ยกเว้นด้านหน้าที่แทรกด้วยหินอ่อนสีชมพูแก่ ซึ่งสีขาวดำเป็นสีสัญลักษณ์ของเมืองเซียนา
ด้านในใหญ่โต มีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆใครสนใจประวัติ
ด้านในนี้เผื่อเวลาไว้ 2 ชม. ผมว่ายังน้อยไปเลยครับ ><
ผมว่ามหาวิหารเซียนาแห่งนี้คือที่สุดของที่สุดในอิตาลีเลยก็ว่าได้
ทั้งประวัติ ความสวยงาม และสถาปัตยกรรมของมหาวิหาร
รายละเอียดต่างๆที่บอกเล่าเรื่องราวได้เป็นอย่างดี
ถ้าได้มาเยือนแคว้นทัสคานี ห้ามพลาดเด็ดขาดที่จะมาเยือนมหาวิหารแห่งนี้นะครับ
Venice – ตอบโจทย์สำหรับคู่รักโรแมนติก นั่งเรือกอนโดลาล่องไปตามสายน้ำชิวๆ
Florence – ตอบโจทย์สำหรับคนคลั่งไคล้พิพิธภัณฑ์ จะเดินไปทางไหนก็เจอแต่พิพิธภัณฑ์
Siena – ตอบโจทย์คนหลงใหลความคลาสสิค ทั้งรูปแบบบ้านเรือน
มหาวิหาร และสถานที่ต่างๆล้วนถูกออกแบบมาให้ดูไม่น่าเบื่อ
นี่แค่เพียง 3 เมืองในอิตาลีเท่านั้น ยังครบทุกรส
ตอบโจทย์ Lifestyle การเที่ยวได้หลากหลายรูปแบบ
จึงไม่แปลกใจเลยที่อิตาลีจะเป็นประเทศที่เหล่านักท่องเที่ยว
มีจดไว้ในลิสต์ว่าซักครั้งหนึ่งจะต้องมาเยือนประเทศนี้ให้ได้…
“Italy รองเท้าบูทแห่งยุโรปใต้”
ขอขอบคุณสายการบิน AirFrance บินจาก กทม. ไปยังเมืองต่างๆในยุโรปโดย transit ที่ Paris
ขอบคุณ Diethelm Travel สำหรับตั๋วรถไฟที่ใช้เดินทางได้อย่างสะดวกในอิตาลี
ส่วนรีวิวเมืองที่เหลือของอิตาลี (ปิซ่า , มิลาน และโรม) รออีกนิด เดี๋ยวมาแปะลิ้งค์ให้แน่นอน ^^
“Italy…South of Europe”
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^