เคยสังเกตุมั้ย ว่ารูปบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้สวยแค่ไหน
แล้วเคยถามตัวเองมั้ยว่า ซักวันนึงรูปบนหน้าจอคอมเหล่านี้เราจะต้องไปเห็นด้วยตาตัวเอง
แล้วใยเราจะต้องมานั่งจ้องแต่รูปสวยๆพวกนี้ด้วย ถ้ามีโอกาสหยิบยื่นเข้ามาควรคว้าไว้…ใช่มั้ยครับ
ผมเองก็เช่นกัน Iceland / Aurora (แสงเหนือ) ผมได้ยินและเห็นรูปตามหน้าเว็บอยู่บ่อยๆ
และที่นี่เองก็เป็น 1 ในความฝันของผม ที่อยากไปเห็นด้วยตาตัวเองซักครั้ง
ถูกต้อง…ผมฝันไป ผมฝันว่าผมได้ไปเจอแสงเหนือ แต่ฝันนั้นดันเป็นจริงแบบฟลุ๊กๆซะด้วยซิ ^^
คิดว่า Iceland จะมีอะไรให้เที่ยวนอกจากการไปดูแสงเหนือ??? ก่อนไปผมคิดว่าไม่มี
แต่กลับมาแล้วผมรู้ว่า ผมคิดผิด…
Iceland : Aurora & Dream
Part 1 : เตรียมตัว
เป็นส่วนที่ถือว่าสำคัญเป็นลำดับต้นๆของการเดินทางในครั้งนี้
ลองถามตัวเองก่อนว่า เคยเจออากาศที่อุณหภูมิต่ำที่สุดที่เท่าไร?
สำหรับผมเจอมาต่ำที่สุดคือ -2 องศา (ไม่มีลม) แต่ประเทศที่เรากำลังจะเดินทาง
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า ดินแดนน้ำแข็ง คงต้องหนาวสุดๆแน่
รูปด้านล่างคือ เสื้อผ้าและอุปกรณ์กันหนาวที่ผมนำไปใช้ในครั้งนี้ บอกเลยว่าเอาอยู่ ^^
ชั้นในสุด : ลองจอน Heat Tech ใส่ไว้ด้านใน เอาที่แนบเนื้อหน่อยอย่าปล่อยให้หลวมมาก
ชั้นที่ 2 : เสื้อ Heat Tech แขนยาว ทับเข้าไปอีกชั้น
ชั้นที่ 3 : เสื้อกันหนาวขนเป็ด หรือผ้าวู ถ้าไม่แน่ใจลองเช็คตรง Fuse Power ควรมีค่ามากกว่า 650
ทั้งหมดนี้ใช้ได้ในกรณีที่ไม่มีลมและไม่มีฝน แต่เราจะรู้อากาศล่วงหน้าได้ยังไง???
แล้วถ้ามีลมหรือมีฝนล่ะ Item พิเศษตัวนี้เอาอยู่ The North Face : FuseForm
คุณสมบัติพิเศษของเสื้อกันลมตัวนี้คือ… FuseForm เป็นเนื้อผ้าที่ทอเป็นพิเศษ
มีคุณสมบัติเรื่อง กันน้ำผ่านทางเสื้อ แต่อากาศสามารถระบายออกได้ ซึ่งตัดปัญหาเรื่อง “ซีล”
ตัวผมเอง เคยใช้ยี่ห้ออื่น ปัญหาที่พบคือ มันกันได้แต่นานๆปัญหาซีลร่อน เป็นเหตุให้น้ำเข้า
The North Face แก้ปัญหา ตะเข็บ หรือ ซีล โดยไม่ต้องมีหรือทำให้มีน้อยที่สุด O_0
Fuse Form ไม่มีตะเข็บ มาจากการนำผ้ามารวมกัน ตัดออกมาชิ้นเดียวเลยตั้งแต่แรก
จุดเด่นคือ ด้านนอกไม่เปียกน้ำ พอโดนน้ำจะเป็นแค่ละอองเม็ดๆ แค่สะบัด เช็ดๆ ก็แห้ง
ข้อดี
1. เบามาก ไม่เป็นภาระของน้ำหนักกระเป๋า
2. ทำจากผ้าชิ้นเดียว ลดปัญหาตะเข็บและการซีล
3. กันลม กันน้ำได้เป็นอย่างดี
ข้อเสีย
1. ราคาค่อนข้างสูง
เสื้อแจ็คเก็ตนี้จะใส่เป็นชั้นที่ 4 ก็ได้นะครับ ถ้าคิดว่า 3 ชั้นที่กล่าวไปข้างต้นยังเอาไม่อยู่
เสื้อกันหนาวขนเป็ด หลายคนอาจเคยเห็น แต่คราวนี้ผมมีอีกหนึ่ง Item
เป็นแจ็คเก็ตยีนส์บุด้านในด้วยขนสัตว์ ของ Wrangler
หลังจากใส่ลองจอน ใส่ Heat Tech ผ่านมา 2 ชั้น เจ้าเสื้อตัวนี้เป็นชั้นที่ 3 ที่ใส่ทับก็เอาอยู่
และถ้ามีลมแรงๆหรือมีฝน ใส่ชั้นที่ 4 FuseForm เข้าไปอีกชั้น แค่นี้ก็ไม่ต้องกังวล
เรื่องเสื้อผ้าเปียกชื้นและถ่ายรูปได้อย่างสบายใจ
รองเท้า อีกหนึ่ง Item ที่ไม่ควรมองข้าม หลายคนตกม้าตายที่ชิ้นนี้
ควรเลือกรองเท้าที่กระชับ พื้นรองเท้าไม่ลื่น สามารถลุยน้ำได้ ซึ่ง Keen Durand ชิ้นนี้
มีคุณสมบัติในเรื่องของการกันน้ำ แต่ไม่ใช่ใส่ย่ำน้ำเลยข้อเท้าขึ้นมานะครับ
ถ้าแบบนั้นไม่มียี่ห้อไหนเอาอยู่แน่นอน ฮ่าๆๆๆ
Part 2 : การเดินทาง
จากไทยไม่มีบินตรงไปถึง Iceland นะครับ ต้องไปต่อเครื่องก่อน ซึ่งผมนั่งการบินไทย
ไปลง Oslo ประเทศนอร์เวย์ แล้วต่อเครื่องบินเพื่อไปยังประเทศไอซ์แลนด์ต่อไป
อ่อ ลืมบอกไปว่า ไอซ์แลนด์ใช้วีซ่าเชงเก้นเหมือนยุโรปหลายๆประเทศนะครับ
ช่วงที่ผมเดินทางไปไอซ์แลนด์ เป็นช่วงเดือน พย. กำลังเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว
ช่วงเวลากลางคืนยาวนาน ช่วงกลางวันเริ่มสั้นลง เหมาะกับการมาล่าแสงเหนือ
แต่ไม่ค่อยเหมาะกับการมาเที่ยวสถานที่ต่างๆ เพราะพระอาทิตย์ตกเร็วเหลือเกิน ><
บ้านเรือนตามทางระหว่างนั่งรถไปก็…หายาก มีแต่ภูเขา และภูเขา ฮ่าๆๆๆ
ต้นไม้สูงๆซักต้นยังไม่มีเลย เหตุที่ต้นไม้สูงไม่มีก็เพราะว่าที่ไอซ์แลนด์ มีภูเขาไฟหลายปล่อง
และแต่ละปล่องก็ยังไม่ดับลง อุณหภูมิใต้พื้นนั้นค่อนข้างสูง แต่อุณหภูมิบนพื้นถือว่าหนาว
เป็นใคร ใครจะทนได้กับสภาพอากาศที่แปลกแบบนี้ล่ะครับ ><
การเที่ยวที่ประเทศนี้ที่คนไทยนิยมคือการเช่ารถขับเที่ยวเอง แต่ถ้าใครขับไม่เป็น
สามารถซื้อทัวร์ของ Local ที่มีขายตามโรงแรมที่เข้าพัก จะเป็น Day Tour หรือ Aurora Tour
มีให้เลือกเยอะแยะมากมายจนเลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียว ^^
Part 3 : สถานที่เที่ยว
เตรียมตัวกันพอหอมปากหอมคอ ขอนำทุกท่านเข้าสู่ Part ที่รอคอย สถานที่เที่ยวในไอซ์แลนด์
อย่างที่เกริ่นไปในตอนต้น ไอซ์แลนด์ไม่ได้มีแค่แสงเหนือ แต่มีที่เที่ยวที่มีเสน่ห์อีกมาก
ราวกับว่าหลุดมาอยู่ที่ที่นึง ที่ไม่เหมือนโลกที่เราเคยอยู่เลยก็ว่าได้…
1. กรุงเรคจาวิค (Reykjavik)
เมืองหลวงของประเทศไอซ์แลนด์ เป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือมากที่สุด
โดยตั้งอยู่ไม่ไกลจากเส้นอาร์กติกเซอร์เคิลมากนัก เมืองหลวงนี้มีความเป็นอาร์ทค่อนข้างมาก
อย่างโบสถ์ Hallgrimskirkja โบสถ์ทางศาสนาคริสต์ที่สูงที่สุดในไอซ์แลนด์
จุดที่สูงอีกจุดหนึ่งของเมืองในสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์
มีรูปร่างคล้ายจรวด เป็นสถาปัตยกรรมที่เห็นแล้วจะต้องรู้แน่นอนว่าตั้งอยู่ที่ไอซ์แลนด์
2. บลูลากูน (Blue Lagoon)
ทะเลสาบสีฟ้า สถานที่ท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพระดับโลกและโด่งดังที่สุดของไอซ์แลนด์
ด้านในมีห้องอาหาร มีบ่อน้ำแร่ธรรมชาติให้แช่ตัว มีเครื่องดื่ม ของที่ระลึกขาย
ทุกอย่างควบคุมด้วย Wrist Band เพียงอันเดียวที่ได้รับตอนก่อนเข้าไปด้านใน
จะซื้อของอะไร จะทานอะไร จะดื่มเบียร์แก้หนาวแค่ไหน ก็ใช้เจ้าตัวนี้ทาบ
พอตอนออกมาคืนผ้าขนหนู และคืน Wrist Band นี้ก็จะคิดเงินทั้งหมดที่เราใช้ไป
จ่ายด้วยบัตรเครดิตได้เลย สะดวกสบายมาก พยายามอย่าให้หายตอนแช่น้ำนะครับ
ทีแรกผมก็ไม่อยากลงไปแช่หรอกนะ ไม่ใช่อะไรเพราะมันหนาวมากกกกกก
ลองคิดดูซิครับ ใส่ชุดว่ายน้ำ กว่าจะเดินถึงบ่อน้ำแร่ ต้องผ่านอากาศอันหนาวเหน็บแค่ไหน
ก็แค่ -3 องศา โดยมีกางเกงว่ายน้ำตัวเดียว ><
อย่าคิดว่าคล้ายแช่ออนเซ็นที่ญี่ปุ่นนะ เพราะไม่ค่อยเหมือนซักเท่าไร
แต่พอได้ลงน้ำเท่านั้นล่ะ ไม่อยากขึ้นมาเจออากาศหนาวด้านบนเลย ฮ่าๆๆๆ
บ่อที่นี่แช่รวม ชาย หญิง นะครับ ก่อนลงแช่ต้องล้างตัวให้สะอาดซะก่อน
และด้านในมีเครื่องดื่มให้บริการ จิบเบียร์ แช่น้ำแร่ มองภูเขาหิมะ โอ้ววววว ฟินซินะ ^^
ใครอยากหน้าเด้งหน้าใสก็มีโคลนสำหรับทาหน้าด้วยนะ เอามาทาๆพอกๆ
เค้าบอกว่า พอก 1 ครั้ง หน้าจะดูเด็กลง 5 ปี ผมเล่นพอกไป 10 กว่าครั้งเลย ><
3. อุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Thingvellir National Park)
อุทยานแห่งชาตินี้ ยูเนสโก้ได้คัดเลือกให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ซึ่งตั้งอยู่ระหว่าง
รอยแยกของหุบเขากับทะเลสาบ Pingvallavatn ทะเลสาบทางธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์
เป็นจุดกำเนิดทางประวัติศาสตร์และทางธรณีวิทยา เพราะเป็นจุดที่มีรอยเลื่อนของโลก
ระยะทางหลายหมื่นกิโลเมตร และยังเป็นจุดเชื่อมระหว่างทวีปอเมริกาและทวีปยุโรป
ระยะทางที่ใช้ในการเดินชมความยาวประมาณ 1-2 กิโลเมตร
ทางเดินทำไว้ดี เดินสะดวก แต่ลมค่อนข้างแรงเพราะเป็นพื้นที่เปิดโล่งรับลมเต็มๆ
4. น้ำตกกูลฟอสส์ (Gullfoss)
หรืออีกชื่อนึงที่เรียกว่า “น้ำตกทองคำ” เนื่องจากเมื่อละอองน้ำปะทะกับแสงแดดแล้ว
จะสะท้อนแวววาวออกมาเป็นสีทองอร่าม เป็นที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นน้ำตกที่สวยงามที่สุด
ในไอซ์แลนด์ และถูกเรียกขานเป็นไนแองการ่าแห่งไอซ์แลนด์
เป็น 1 ใน 3 สถานที่ท่องเที่ยวที่ไอซ์แลนด์ จัดให้อยู่ใน “วงกลมทองคำ (Golden Circle)”
ที่ผู้มาเยือนไม่ควรพลาด แต่ข้อระวังของการมาเที่ยวที่นี่คือ “ลมแรงมาก”
คิดภาพตามว่า ผมสามารถปลิวไปตามลมได้ ถ้าไม่มีที่ให้จับ
ภาพนี้บ่งบอกว่า ลมแรงมากถึงมากที่สุด ละอองน้ำกระเด็นขึ้นมาตามลม
FuseForm เอาอยู่ โดยที่เสื้อด้านในไม่เปียกเลยซักนิด แต่ตัวผมก็เกือบปลิวไปตามลมเช่นกัน
5. น้ำพุร้อนเกย์ซีร์ (Geysir)
ที่ไอซ์แลนด์มีน้ำพุร้อนให้ชมมากมาย และเป็นที่มาของคำว่ากีเซอร์ ที่ใช้กันทั่วโลก
สำหรับน้ำพุร้อนที่มีชื่อและอยากแนะนำให้ชมกันคือ น้ำพุร้อน Geysir ใน Haukadalur
ตั้งอยู่ทางใต้ของไอซ์แลนด์
ในอดีตน้ำพุร้อนของที่นี่จะพวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินสูงกว่า 180 ฟุตเลยทีเดียว
ในปัจจุบันยังสามารถพุ่งได้มากที่สุดประมาณ 60-100 ฟุต ในเกือบทุกๆ 5 นาที
และมีความร้อนประมาณ 400 องศาเซลเซียส
6. น้ำตกสโคคาร์ฟอสส์ (Skogafoss)
น้ำตกสโคคาร์ฟอสส์ ตั้งอยู่ที่ฐานของเทือกเขา Eyjafjoll
มีความสูงถึง 61 เมตร เป็นน้ำตกที่ชั้นสูงที่สุดในไอซ์เเลนด์
มีชื่อเสียง และเป็นที่นิยมของเหล่านักท่องเที่ยวเดินทางมามากที่สุด
เป็นสถานที่ถ่ายรูปธรรมชาติยอดนิยมที่สุด ที่ห้ามพลาด
ถ้ามาในช่วงเช้าและอากาศดีๆ จะเห็นสายรุ้งพาดผ่านตรงน้ำตกด้วย
7. ขี่สโนว์โมบิลตะลุยทุ่งน้ำแข็ง (Myrdalsjokull Glacier)
หลังจากแต่งตัวใส่ชุด ใส่อุปกรณ์กันหนาวให้เรียบร้อย
เราจะขึ้นรถซุปเปอร์จิ๊บเพื่อขึ้นไปบนธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ ใหญ่แค่ไหนก็ภูเขาทั้งลูกล่ะครับ
บนนี้มีอุณหภูมิประมาณ -20 องศาเซลเซียส ถุงมือสำคัญมากๆในการช่วยบังคับแฮนด์สโนว์โมบิล
ใช้เวลาในการขี่สโนว์โมบิลเล่นบนธารน้ำแข็งขนาดใหญ่แห่งนี้เป็นเวลา 1 ชม.
หนาวเหน็บอย่างกับกระดูกจะแตก แต่ความมันส์ระดับ 5 ดาวเลยทีเดียว ^^
8. หาดทรายสีดำ (Black Sand Beach)
มาชมความสวยงามที่แปลกตาของหาดทรายสีดำ
อันมีเทือกเขาที่เกิดจากการสึกกร่อนของหินลาวา และแนวหินบะซอลต์
เป็นหินอัคนีที่พบได้โดยทั่วไป ที่เกิดจากการเย็นตัวของลาวาอย่างรวดเร็วบนพื้นโลก
แนวหินบะซอลต์ ที่พบได้ตามหาดทรายสีดำ มีรูปทรงที่แปลกตา
ช่วงเวลาตอนเย็น เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการถ่ายภาพบริเวณนี้
9. น้ำตกเซลจาลันต์ (Seljalandfoss)
เป็นหนึ่งในน้ำตกที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศไอซ์แลนด์ โดยมีความสูงประมาณ 60 เมตร
มุมแนะนำในการถ่ายภาพคือบริเวณด้านหลังน้ำตก แต่ทางที่เดินเข้าไปนั้นก็ยากพอสมควร
ความหนาว ความลื่นเป็นอุปสรรคในการเดินเข้าไป แม้กระทั่งเชือกที่มีให้จับ
ยังเป็นน้ำแข็งเกาะ ส่วนทางเดินก็ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งเหมือนกัน
10. แสงเหนือ (Aurora)
และแล้วก็มาถึงไฮไลท์ของทริปนี้ แสงเหนือ หรือที่เรียกเป็นทางการว่า Aurora Borealis
เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติซึ่งเกิดจากอนุภาคในลมสุริยะที่หลุดรอดการจับของสนามแม่เหล็กโลก
มากระทบกับอะตอมของออกซิเจนและไนโตรเจน ทำให้ปลดปล่อยพลังงานออกมา
เป็นสีแดงและเขียว มีลักษณะเป็นแสงสีคลื่นพริ้วไหวเหมือนม่านผืนมหึมาบนท้องฟ้า
และจะปรากฏในตอนกลางคืนที่มีท้องฟ้าโปร่ง การพบเห็นแสงเหนือขึ้นอยู่กับสภาพอากาศเป็นสำคัญ
แต่อย่าเพิ่งหมดความพยายามในการหาซะก่อน เพราะที่ไอซ์แลนด์เค้าขึ้นชื่อในการพยากรณ์อากาศ
เว็บที่นิยมดู : http://en.vedur.is/weather/forecasts/aurora/
http://www.yr.no/place/Iceland/
http://www.aurora-service.eu/aurora-forecast/
และอีกหนึ่งตัวเลขที่ควรรู้คือ KP Index ที่มีค่าตั้งแต่ 0 – 9
ยิ่งค่า KP สูง โอกาสที่เห็นเต็มผืนฟ้ายิ่งมาก
KP 0 – 4 : ถ้ามองด้วยตาเปล่าจะเห็นเป็นสีขาวๆ เป็นเส้นเล็กๆ พริ้วไหว
KP 5 – 8 : ถ้ามองด้วยตาเปล่าจะเห็นเป็นสีเขียวมีอยู่ทั่วท้องฟ้า
KP 9 : นานๆเจอซักที จะไม่ได้มีแค่สีเขียว แต่จะมีสีม่วง สีแดงปนมาด้วย
วันไหนที่พยากรณ์บอกว่าท้องฟ้าโปร่ง ไม่มีเมฆ วันนั้นถือว่าได้ลุ้นวัดดวงกันเลยว่าจะเจอ KP เท่าไหร่
ผมไปอยู่ไอซ์แลนด์ 5 วัน พบแสงเหนือ 2 วัน วันแรก KP 2 เล็กๆบางๆมาก ฮ่าๆๆ
และอีกวันคือคืนวันสุดท้ายก่อนกลับ เจอระดับ KP 5 – 6 ซึ่งเมื่อมองขึ้นไปเหนือศีรษะแล้วยิ่งตกใจ
เพราะเหมือนกับเรากำลังโดนครอบอยู่บนหัว เป็นภาพที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก
เทคนิคการถ่ายรูปแสงเหนือ คือต้องใช้ช่วงเลนส์ที่มีความกว้าง (เผื่อเก็บเส้นสายให้ได้มากที่สุด) ,
ใช้เลนส์ที่มีรูรับแสงกว้าง (F ประมาณ 2.8) , ใช้ขาตั้งกล้อง (สำคัญมาก) ,
ปรับโฟกัสเป็น Manual และตั้งเวลาในการถ่ายรูป (ควรมีรีโมทหรือสายลั่นชัตเตอร์)
แต่ถ้าอยากได้เป็นภาพเคลื่อนไหว อย่าหวังว่าการถ่าย VDO จะช่วยท่านได้ ><
ต้องถ่ายเป็นภาพนิ่งแล้วมาใช้โปรแกรมในการทำต่อ หรือที่เรียกว่า การถ่าย Time Lapse
และแล้วผมก็ได้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับฝันที่เป็นจริง ฝันที่ได้ไปเห็นแสงเหนือ Aurora
เป็นประสบการณ์ที่ยากที่จะอธิบายได้ว่า ณ. ตอนนั้น ผมตื่นเต้นมากแค่ไหน
ถึงขนาดที่ว่า แค่ยืนมองเฉยๆไม่ต้องถ่ายรูป ท่ามกลางอากาศ 0 องศา แบบลืมหนาวกันเลยทีเดียว
ถ้ามีโอกาส ผมจะกลับมาเที่ยวที่ไอซ์แลนด์ ดินแดนต้องมนตราแห่งนี้อีกแน่นอน
Iceland…Aurora & Dream
ขอขอบคุณ CTH Z Pay TV ที่สนับสนุนการเดินทางกับกิจกรรมในครั้งนี้
ขอบคุณ The North Face , Wrangler Thailand , Keen Thailand สำหรับอุปกรณ์กันหนาวทุกชิ้น
ขอบคุณ Nikon Thailand ที่ให้ยืมเลนส์ช่วงฟิชอาย ที่ทำให้ได้ภาพมุมมองสวยๆ
ขอบคุณ พี่กบ ช่างภาพ VDO และพี่โอ ผู้โชคดีอีกท่าน ที่ทำให้ทริปนี้สนุกไม่รู้ลืมเลยจริงๆ ^^
ปิดท้ายด้วยภาพ Time Lapse แสงเหนือ Aurora ที่เต้นระบำอยู่บนท้องฟ้าในค่ำคืนสุดท้ายก่อนกลับ
ยังคงเป็นภาพที่ติดตาผมจนทุกวันนี้…แสงเหนือ Aurora
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^