หลังจากลุ้นมานานว่ากรุงเทพฯ จะหนาวเหมือนที่พยากรณ์ไว้มั้ย เสื้อหนาว โลชั่นก็เตรียมไว้พร้อม…แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง สงสัยลมหนาวคงจะไม่อยากมาเยือนบ้านเราสักเท่าไหร่ แต่ไหนๆ ก็เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว เราสองคนเลยวางแผนไปโต้ลมหนาว เดินเล่นท่ามกลางหิมะกันที่ซัปโปโรกันดีกว่า เดี๋ยวนี้จะไปซัปโปโรก็ง้ายง่าย เพราะสายการบิน Thai Air Asia X เขามีบินตรงทุกวัน สุดแสนจะสะดวกสบาย เวลาบินออกจากไทย 02:20 น. ไปถึงซัปโปโร 10:50 น. เที่ยวต่อแบบสบายๆ ขากลับก็กลับถึงไทยเวลา 18:00 น. สามารถเรียกรถกลับบ้านง่ายๆ ไม่ดึกเกินไป จะไปกินปู ดูหมี เล่นสกี ชมลาเวนเดอร์ สามารถไปเที่ยวได้ทั้งปี รู้แบบนี้แล้วจะรอช้าอยู่ทำไมไปตะลุยพร้อมกันเลย…“ฮอกไกโด ห้องครัวของญี่ปุ่น”
(Bilingual Review)
While waiting to see that the weather in Bangkok will be cold as predicted or not, we already prepared coats and body lotion. But finally all of us have to be disappointed. We wonder that the cold wind would not want to visit us this year. As we already prepared everything, so we plan to go to face cold wind and walk in the snow in Sapporo instead. Currently it is easy to go to Sapporo because Thai Air Asia X has direct flights every day that is extremely comfortable. The flight departs from Bangkok at 2.20 a.m. and arrive to Sapporo at 10.50 a.m. So, we can start our trip immediately. The return flight will be reach to Bangkok at 6 p.m. that is not too late for us to take taxi to our home. We can go to eat giant crabs, watch bears, skiing, or watch lavender throughout the year at…“Hokkaido — the kitchen of Japan”
ไฟลท์นี้เป็นไฟลท์ยอดนิยมและคนค่อนข้างเยอะ เราเลยเลือกความสะดวกสบายด้วยการเช็คอินผ่านตู้คีออส หรือจะทำเช็คอินออนไลน์มาก่อน แล้วพิมพ์ Boarding Pass ผ่านตู้นี้ทีหลังก็ยังได้ โซนที่นั่งมี Flat Bed ถัดมาเป็น Quiet Zone และ Normal Zone ผังที่นั่งเป็น 3-3-3
This route is very popular and there are a lot of passengers. So, we chose to check-in at the kiosk. Checking in online first and then come to print boarding pass at this cabinet is another good idea that is very convenient. In the airplane, there are Flat Bed Zone, Quiet Zone, and Normal Zone which the seat model is 3-3-3.
เราใช้เวลาเดินทางจากสนามบินดอนเมืองประมาณ 6 ชั่วโมงครึ่ง มาถึงสนามบินซัปโปโร จากสนามบินเรานั่งรถไฟ JR เพื่อไปเที่ยวที่เมือง Otaru ก่อนเข้าไปเช็คอินที่พัก โดยซื้อตั๋วรถไฟ JR แบบเที่ยวเดียวไปลงที่สถานี Minami-Otaruchikko ในราคาคนละ 1,590 JPY
We took about 6 and a half hours from Don Mueang Airport to Sapporo Airport. From Sapporo airport, we took JR train to go to Otaru first. We purchased one-way JR train ticket to go to Minami-Otaruchikko station which priced 1,590 JPY per person.
เมืองโอตารุ
เมืองนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของขนมหวานและร้านอาหารอร่อยมากมาย และเป็นเมืองท่าขนาดเล็ก ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของซัปโปโร อยู่ห่างจากซัปโปโรเพียง 30 กิโลเมตร แต่เดิมเป็นเมืองท่าและศูนย์กลางทางการค้าและการเงิน ทำให้มีอาคารสำคัญๆ หลายแห่ง รวมถึงคลองโอตารุที่สร้างขึ้นในปี 1923 ใช้วิธีการถมทะเลเพื่อใช้สำหรับเทียบเรือ โดยเรือลำใหญ่จะถ่ายสินค้าลงเรือลำเล็กและลำเลียงไปตามคลองเพื่อขนถ่ายสินค้าไปเก็บไว้ที่โกดัง ต่อมาในปี 1980 บริเวณคลองแห่งนี้ได้รับการบูรณะให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม ส่วนโกดังริมคลองก็กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ ร้านค้า และร้านอาหาร เป็นสถานที่ที่ทั้งชาวเมืองและนักท่องเที่ยวนิยมมาเดินเล่นถ่ายรูปกันอย่างคับคั่ง ยิ่งอากาศหนาวๆ หิมะตกแบบนี้แล้ว บรรยากาศช่างสุดแสนจะโรแมนติก
Otaru
This city is famous in terms of desserts and delicious restaurants. It is a small port located in the northwest of Sapporo which is only 30 kilometers from Sapporo. Originally, it was a port and center of commercial and financial that caused many important buildings located here including Otaru Canal which was built in 1923. This canal was built by filling the sea. The big boat will transfer goods into small boat and transport it along the canal to the warehouse. Later in 1980, this area was restored and became a beautiful tourist destination. The warehouse along the canal became museum, shops, and restaurants. This is the place where both locals and tourists alike came to relax and take pictures. When there is snow like this, it will be more romantic.
มาเริ่มกันที่ย่าน Marchen Square ซึ่งเป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี (Otaru Orgel Museum หรือ Otaru Music Box Museum) ที่เป็นอาคารทรงโบราณ กับร้านขนมหวาน LeTAO ตรงกลางพื้นที่มีประภาคารส่องสว่าง ที่ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี มีนาฬิกาไอน้ำตั้งตระหง่านอยู่ ซึ่งนาฬิกาไอน้ำนี้เป็นของขวัญที่ทางเมือง Vancouver ประเทศแคนาดาส่งมาให้ โดยจะส่งเสียงทุกๆ 15 นาที และจะมีไอน้ำพ่นออกมาทุกๆ 1 ชั่วโมง หากใครที่ติดตามเพจ Nejutravel คงจะจำกันได้ตอนที่เราไปแคนาดา (เมื่อเดือนสิงหาคม 2018) เราได้ถ่ายรูปกับนาฬิกาไอน้ำที่เมือง Vancouver ซึ่งเป็นนาฬิกาแบบเดียวกับที่เราเห็นที่นี่เลย
Let’s start at Marchen Square where we can see the Music Box Museum (Otaru Orgel Museum or Otaru Music Box Museum) located in the ancient building and also LeTAO dessert shop which located in the middle of the area having lighthouse. At the front of the music box museum, there is steam clock which is a gift from Vancouver, Canada. The steam clock will emit a sound in every 15 minutes and will have steam spewing out in every 1 hour. If you have followed Nejutravel for a while, you might remember the photo we took in Canada (in August 2018) that we showed you the steam clock in Vancouver. Two of these stream clocks are the same.
พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีโดดเด่นด้วยอาคารโบราณที่สร้างด้วยอิฐสีแดง ตัวอาคารสร้างเมื่อปี 1912 แต่เดิมใช้เป็นที่ทำการของผู้ค้าข้าวและธัญพืชที่ใหญ่ที่สุดใน ฮอกไกโด ปัจจุบันได้ปรับปรุงให้กลายมาเป็นร้านและพิพิธภัณฑ์ที่ภายในมีกล่องดนตรีมากมายหลายแบบ ทั้งแบบตุ๊กตารูปต่างๆ แบบแมวกวัก แบบแขวนผนัง แบบที่เป็นกล่องเครื่องประดับ โคมไฟ ที่ทับกระดาษ ซูชิหน้าต่างๆ ฯลฯ หรือจะสั่งทำตามแบบที่เราชอบก็ได้ ซึ่งสามารถเลือกเพลงได้เองด้วย ตัวอาคารมี 3 ชั้น ตกแต่งด้วยไม้ให้ความรู้สึกแบบดั้งเดิม ว่ากันว่าที่นี่มีของขายกว่า 25,000 ชิ้นเลยทีเดียว แต่ละอย่างเห็นแล้วช่างน่าซื้อเป็นของที่ระลึกกลับบ้านเสียจริง
Music box museum is characterized by ancient buildings made of red bricks. The building was built in 1912, originally used as the largest rice and cereal trading center in Hokkaido. Nowadays, it has been transformed into a shop and museum that has many different music boxes including doll-shaped, wall-hanging, cat-like designs, jewelry box, lantern, paperweight, and sushi music boxes etc. We can order the style that we like and can also choose music by ourselves. This building has 3 floors, decorated with wood, giving a traditional feel. There are more than 25,000 items sold here. Every item is beautiful and made us want to buy as a souvenir.
จากพิพิธภัณฑ์สามารถเดินเล่น ช้อปปิ้งได้ทั้ง 2 ฝั่งของถนน Sakaimachi เพราะมีร้านค้าให้เลือกเยอะมาก ทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านของฝาก ร้านขนม โดยร้านขนมที่ไม่ควรพลาด คือ ร้านขนม LeTAO ร้านขนมชื่อดังที่มีเมนูขนมหวานและขนมเค้กให้เลือกกว่า 50 ชนิด ขนมที่ขึ้นชื่อและเป็นที่รู้จักกันดีของคนไทยนั่นก็คือ Fromage Double ซึ่งเป็นชีสเค้กแบบอบวางทับด้วยชีสเค้กแบบสด ทำให้ได้ 2 รสชาติที่เข้ากัน ลงตัว ชีสของที่นี่เนื้อนุ่มละมุนมากๆ
From the museum, we can go shopping along the both sides of Sakaimachi street. There are a lot of shops, restaurants, cafes, souvenir shops, dessert shops. The one that should not to be missed is LeTAO shop which is the dessert shop that serves over 50 desserts and cakes. The menu that is vert famous and well known is Fromage Double which is a baked cheesecake overlaid on fresh cheesecake, resulting in 2 flavors that fit together. The cheese here is very soft.
อีกร้านที่ไม่ควรพลาด ซึ่งอยู่ติดกับร้าน LeTAO นั่นก็คือ ร้าน Kitakaro Café ซึ่งขนมขึ้นชื่อของร้านนี้คือ Choux Cream ไส้ทะลัก (Jumbo Pie Cream Puff) ที่เนื้อแป้งกรุบกรอบ สอดไส้ด้วย Custard Cream เข้มข้น เนื้อหวานนุ่ม จึงไม่แปลกใจแลยว่าทำไมผู้คนถึงยืนทานเจ้าชูครีมนี้กันอยู่ทั้งหน้าร้านและหลังร้านเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ที่ร้านยังมีเมนูเด็ดๆ อย่าง ขนมเค้กม้วน ไอศกรีม Soft Serve เค้ก และเครื่องดื่มต่างๆ อีกด้วย
Another shop that should not be missed is the one that is adjacent to the LeTAO shop named Kitakaro Café. The famous menu of this shop is Choux Cream (Jumbo Pie Cream Puff) which is crunchy bread stuffed with concentrated Custard Cream. Therefore, it is not surprising why there are a lot of people eating Choux Cream at front and back of the store. In addition, the shop also has other recommended menus such as cake roll, ice Soft Serve ice cream, cakes, and various drinks.
ที่ Otaru นี้ยังมีถนนช้อปปิ้งสำคัญอีกสายนั่นก็คือ Miyako Dori ซึ่งสังเกตง่ายๆ คือจะมีหลังคาปกคุลมตลอดเป็นระยะทางประมาณ 300 เมตร ละแวกนี้มีร้านค้าต่างๆ มากมายทั้งร้านขายเสื้อผ้า ร้านรองเท้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ สามารถเดินช้อปปิ้งได้ทุกสภาพอากาศ หากเลี้ยวซ้ายไปอีกนิดก็จะเจอกับ Sunmall สามารถเดินช้อปปิ้งต่อได้
At Otaru, there is another important shopping street named Miyako Dori. It can be observed easily that there is roof covering the walkway throughout the distance of about 300 meters. This neighborhood has various clothing stores, shoe stores, restaurants, and coffee shops. Turned left a bit, we found Sunmall and will be able to continue shopping.
เดินต่อมาอีกเล็กน้อย จะพบกับศูนย์อาหาร Denuki Koji เป็นกลุ่มอาคารรูปทรงย้อนยุค ราวกับได้หลุดเข้าไปในสมัยเอโดะ ภายในจะเป็นตรอกเชื่อมต่อกัน อาคารแต่ละหลังเปิดเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น (มีไม่ต่ำกว่า 15 ร้าน) มีทั้งร้านราเมน ปิ้งย่าง อาหารเซ็ต ขนมหวาน และบาร์เบียร์ ที่ด้านหน้ามีรถลากซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมือง Otaru ไว้ให้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
Walk a little further, we met Denuki Koji food center that is a group of retro-shape buildings. That made us feel like gone back into the Edo era. The small streets inside this area are connected to each other. Each building serves as Japanese restaurant. (there are not less than 15 restaurants). There are ramen restaurants, grilled-food restaurants, dessert shops, and beer bars. At the front, there is a rickshaw which is the symbol of Otaru.
อีกหนึ่งไฮไลท์ของเมืองที่ไม่ควรพลาดก็คือ คลอง Otaru ที่สร้างโดยการขุดเข้ามาจากชายฝั่งเล็กน้อยแล้วหักเลี้ยวขนานไปกับชายฝั่ง เดิมเป็นคลองที่ใช้ในการเทียบเรือและขนสินค้าขึ้นลงจากโกดัง ปัจจุบันโกดังเหล่านี้ได้รับการดัดแปลงให้กลายเป็นร้านค้า และร้านอาหาร ในช่วงทศวรรษที่ 1970 ทางการได้คิดที่จะถมคลองทั้งหมดเพราะไม่ได้ใช้งาน แต่ถูกชาวบ้านคัดค้านไว้ จึงทำให้เหลือคลองอยู่เพียงครึ่งหนึ่งของความยาวเดิม
Another highlight of this city that should not be missed is Otaru Canal. This canal is created by digging from the coast a little and then turning parallel to the coast. It was originally canal used to dock and transport products from the warehouse. At present, these warehouses have been converted into shops and restaurants. In the 1970s, the authorities thought to fill the whole canal because it was not in use but this idea was rejected by the villagers. Therefore, the canal is only half of the original length.
หากมาถึง Otaru แล้ว ไม่ควรพลาดกับร้าน Isezushi ซึ่งเป็น ร้านซูชิระดับ 1 ดาวมิชลิน แม้ราคาอาหารที่นี่ค่อนข้างสูง แต่รับรองว่าทานแล้วไม่ผิดหวังแน่นอน และที่สำคัญคือต้องจองล่วงหน้า และมาให้ตรงตามเวลาที่นัดไว้ เพราะร้านค่อนข้างเล็กและมีที่นั่งจำกัด เมนูที่เราจองไว้คือเมนู Dai ซึ่งมีซูชิทั้งหมด 12 ชิ้น เนื้อปลาสด แน่น อร่อยจนไม่ต้องจิ้มโชยุเพิ่มกันเลย -> Reservation Isezushi
If arriving in Otaru, don’t miss Isezushi which is 1-star Michelin restaurant. Although the price of the food here is quite high, but we guarantee that you will not be disappointed. You have to book in advance and have to arrive at the restaurant on time because the shop is quite small and has limited seat. The menu we reserved is Dai menu which has 12 sushi. The fish is fresh and very delicious -> Reservation Isezushi
Kiroro Resort
หลังจากเต็มอิ่มกับเมือง Otaru กันพอสมควรแล้ว เราสองคนก็มุ่งหน้าไปยังที่พักที่ Kiroro Resort ตั้งอยู่ที่หมู่บ้าน Akaigawa ใกล้กับเมือง Otaru การเดินทางก็แสนง่าย เพราะมีรถ Shuttle Bus จากสถานีรถไฟไปถึงรีสอร์ทโดยตรง Kiroro Resort เป็นสกีรีสอร์ทหนึ่งเดียวในญี่ปุ่นที่เจ้าของเป็นคนไทย การเดินทางมายังรีสอร์ทแห่งนี้นั้นไม่ยาก จากสนามบินนั่งรถ Sapporo JR มายังสถานี Otaruchikko แล้วนั่งรถ Shuttle Bus เพื่อมุ่งหน้ามายัง Kiroro Resort หรือนั่ง Shuttle Bus ตรงจากสนามบินมาถึงที่พักเลยก็สะดวกสุดๆ แต่ต้องจองล่วงหน้านะครับ เพราะรอบรถมีจำกัด และที่นั่งก็มีจำกัดเช่นกัน -> Link Shuttle Bus
Kiroro Resort
After traveling in Otaru already, both of us headed to check in at the accommodation named Kiroro Resort. It is located in the village of Akaigawa which is near Otaru. Going there is easy because there is a shuttle bus from the train station and go directly to the resort. Kiroro Resort is the only ski resort in Japan that the owner is Thai. From the airport, we can take Sapporo JR train to go to Otaruchikko station and then take shuttle bus to head to Kiroro Resort or take shuttle bus directly from the airport. We must book in advance because the bus schedule and the seats are limited. -> Link Shuttle Bus
ภายในรีสอร์ท มีโรงแรมหรูถึง 2 แห่ง คือ The Kiroro, a Tribute Portfolio Hotel, Hokkaido และ Sheraton Hokkaido Kiroro Resort ทั้งสองโรงแรม จะมี Shuttle Bus รับ-ส่งฟรีตลอดทั้งวัน (ทุกๆ 10 นาทีในช่วง Peak Period) คอนเซ็ปต์ของที่นี่คือ Ski-In Ski-Out พูดง่ายๆ ก็คือเมื่อใดที่เราอยากเล่นสกี ก็แค่เดินออกจากห้องแล้ววิ่งขึ้นลานสกีได้เลย และเมื่อเล่นสกีเหนื่อยแล้วก็กลับมาพักที่ห้องได้แบบสบายๆ
In the resort, there are 2 luxury hotels that are The Kiroro, a Tribute Portfolio Hotel, Hokkaido and Sheraton Hokkaido Kiroro Resort. Both hotels have free shuttle bus throughout the day (every 10 minutes during the peak period). Here is the Ski-In Ski-Out resort which is simply said that when we want to go ski, we just walk out of the room and run to mountain center. And whenever we are tired from skiing, we can return to the room to have relax.
ครั้งนี้เราพักที่ Tribute Portfolio เนื่องจากใกล้สถานที่ในการทำกิจกรรมต่างๆ ที่นอกเหนือจากสกี อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เมื่อใดที่อยากเล่นสกีก็สามารถนั่ง Shuttle Bus ไปลงที่ Mountain Center ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงแรม Sheraton ได้ง่ายๆ
This time we stayed at the Tribute Portfolio because it near the places that we can do various activities beyond skiing. There are also many facilities. Whenever we want to ski, we can easily take free shuttle bus to Mountain Center which located next to Sheraton hotel.
ที่ Tribute Portfolio มี 14 ชั้น มีห้องพักรวมทั้งสิ้น 281 ห้อง โดยห้องพักที่ชั้น 7 และ 8 จะเป็นสำหรับสมาชิก SPG เท่านั้น ห้องที่เราพักเป็นห้อง Superior ตกแต่งในสไตล์เรียบหรู สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน พร้อมด้วยวิวสวยขั้นเทพ ด้วยทัศนียภาพอันงดงามของเทือกเขาสูงต่ำสลับกันไป
At Tribute Portfolio, there are 14 floors. The number of the rooms is 281. The rooms on the 7th and 8th floors will be for SPG members only. The room we stay is Superior room which is decorated in a luxurious style, full of facilities, and with beautiful view of high and low mountains.
ห้องอาบน้ำและห้องน้ำแยกเป็นสัดส่วนชัดเจน มีทั้งอ่างแช่ตัวและฝักบัว พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทั้ง มินิบาร์ กาต้มน้ำ เครื่องทำกาแฟ ตู้เย็น เครื่องฟอกอากาศ ทีวีขนาดใหญ่ โซฟา โต๊ะทำงาน เตียงนอนขนาดใหญ่ หนานุ่ม อุ่น นอนสบาย
The shower room and toilet are well separated. There are both bath tub and rain shower. There are all necessary facilities including mini bar, kettle, coffee maker, refrigerator, air purifier, large TV, sofa, work desk, and large comfort bed.
ที่ด้านข้างของโรงแรม มี Chapel ซึ่งเป็นโบสถ์เล็กๆ สีอิฐ ที่ถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานแต่งงานอยู่บ่อยๆ ด้วยความโรแมนติกและบรรยากาศที่น่าจดจำ ทำให้มีผู้คนมาจัด White Wedding ที่นี่กันเป็นจำนวนมาก
On the side of the hotel is Chapel that is small brick-colored church that is used as a wedding venue. Because the atmosphere here is very romance and unforgettable, there are a lot of people come to organize the White Wedding here.
มาดูกิจกรรมของที่นี่กันบ้าง ที่นี่ไม่ใช่จะมีแค่สกีเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ให้เลือกทำอีกมากมาย แต่ต้องไปติดต่อที่ Nature Center ก่อน ซึ่งแต่ละวันจะมีบอกรายการกิจกรรมต่างๆว่าวันไหนเล่นอะไรได้บ้าง ราคาต่อคนเท่าไหร่
There are a lot of activities here. Not only a ski, but also other activities. First of all, we have to contact Nature Center in order to see a list of activities that can be played on each day and the price per person.
เริ่มกันที่ Snowcat Tour ที่จะพาเรานั่งรถบิ๊กฟุตคันโตโลดแล่นไปบนหิมะ เพื่อไปยังยอดเขาที่จะได้เห็นวิวแบบเต็มๆ ตา กิจกรรมนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.
We started with Snowcat Tour that took us on the Bigfoot car and going on the snow. It took us to the top of the hill in order to see the full view of the resort. This activity takes about 1 hour.
หรือจะเล่น Snow Banana Boat ก็ให้ความมันส์ได้แบบสุดขั้ว นอกจากนี้ยังมี Snow Mobile, Snow Rafting, Twilight Tour, Snowshoe Tour ฯลฯ นับว่าตอบโจทย์ได้ทุกเพศทุกวัย เหมาะสำหรับการมาพักผ่อนแบบครอบครัวโดยแท้
Then we played Snow Banana Boat that is extremely fun. In addition, there are Snow Mobile, Snow Rafting, Twilight Tour, Snowshoe Tour etc. These activities can serve all ages and truly suitable for family vacation.
หรือถ้าไม่อยากเสียค่าใช้จ่ายใดๆแต่เพลิดเพลินกันได้ทั้งครอบครัว ขอแนะนำ Sled ที่มีหลายรูปแบบทั้งมินิมอเตอร์ไซค์ ถาดเลื่อนธรรมดา จะเล่นเดี่ยว เล่นคู่ หรือแข่งกันเป็นกลุ่มก็ไม่อันตรายเพราะพื้นที่บริเวณนี้ได้ถูกดัดแปลงและมีเจ้าหน้าที่ดูแลอยู่ตลอด
If you don’t want to pay for additional ticket, we recommend you try Sled. There are many styles of the vehicles including mini-motorcycles and normal sliding tray. You can play individually or play in pair or in group. It is safe because there are staffs take care of this area all the time.
สำหรับคนที่อยากเล่นสกี สามารถเช่าอุปกรณ์ได้ที่ Kiroro Mountain Center ซึ่งอยู่ติดกับ Sheraton แม้จะไม่มีพื้นฐานทางด้านสกีหรือสโนว์บอร์ดมาก่อนก็สามารถมาลิ้มรสประสบการณ์สกีได้ที่นี่ เพราะเค้ามี Ski & Snowboard Academy ไว้ให้ผู้ที่ต้องการเรียนสกีได้เรียนก่อนที่จะลงสนามจริง
If you want to ski, you can rent the equipment at Kiroro Mountain Center which located next to Sheraton hotel. Although having no basis of skiing or snowboarding, you can try ski experience here because there is Ski & Snowboard Academy in order to serves tourists who want to learn how to ski/snowboard.
สำหรับใครที่อยากผ่อนคลาย สามารถใช้แช่ออนเซ็นได้ที่ Kiroro Onsen ซึ่งอยู่ที่ชั้น 2 ของ Tribute Portfolio แยกชาย-หญิง ภายในมีบ่อแช่ทั้งแบบ Indoor และ Outdoor ซึ่งเปิดให้บริการระหว่างเวลา 11:00-23:00 น. (ทางเราได้ขออนุญาตเจ้าหน้าที่เข้ามาถ่ายตอนที่ออนเซ็นยังไม่เปิด และเพื่อให้ภาพที่ออกมาเหมาะสมทางเจ้าหน้าที่จึงอนุญาตให้นุ่งผ้าขนหนูลงไปแช่ได้ ซึ่งหากคนที่มาแช่ ปกติจะไม่สามารถถ่ายภาพและนุ่งผ้าลงไปได้ครับ)
For anyone who wants to relax, you can enjoy onsen at the Kiroro Onsen. The onsen area is located on the 2nd floor of the Tribute Portfolio. It is separated into male and female areas. There are both indoor and outdoor pools. The onsen opens from 11 a.m. to 11 p.m. (We asked for permission to take photos inside when the onsen closed. In order to get proper photos, the staff allowed us to wear towel in the onsen. Normally, people who come to use the onsen have to take all their clothes off.)
อีกทั้งยังมี Stone Sauna สระว่ายน้ำ และ Outdoor Stone Pool ที่สามารถมาเล่นพร้อมหน้ากันได้ทั้งครอบครัว (แต่ต้องใส่ชุดว่ายน้ำนะครับ)
Moreover, there are also Stone Sauna, swimming pool, and Outdoor Stone Pool where everyone in the family can enjoy but has wear swimming suit).
เรื่องอาหารนั้นไม่ต้องกังวลเพราะที่นี่เค้ามีร้านอาหารให้เลือกถึง 11 ร้าน มีอาหารมากมายหลายแบบทั้งอาหารอิตาเลียนที่ห้องอาหาร Alla Moda Italian Restaurant
No need to worry about the food here because there are 11 restaurants which serve various types of food including Italian food at Alla Moda Italian Restaurant.
ซึ่งเด็ดทั้ง Appetizer, Pizza, Pasta และ Main ที่ไม่ควรพลาดอย่าง Grilled Lamb Rack ที่อร่อยเด็ดจนลืมไม่ลง
Appetizer, Pizza, Pasta, and Main courses are very tasty. The menu that you should not miss is Grilled Lamb Rack that is very remarkably delicious.
อาหารญี่ปุ่นที่ห้องอาหาร Fuga Sushi House ซึ่งมีแบบเป็นเซ็ตให้เลือก ที่เราเลือกคือ Miyabi Menu ที่เสริ์ฟครบทั้ง Appetizer ซาซิมิสดๆ Hot Pot ทานอุ่นๆ แก้หนาว ไข่ตุ๋นนุ่มๆ ซูชิ ซุป และผลไม้
Japanese food at Fuga Sushi House restaurant is served in a set. We chose Miyabi Menu which is the set of appetizer, fresh sashimi, hot pot, soft poached eggs, sushi, soup, and fruits.
อาหารจีน บุฟเฟ่ต์ ชาบู ที่ Buffet Rivierouge ซึ่งมีเมนูให้เลือกมากมาย ให้ทานอิ่มแบบไม่อั้น แถมรสชาติถูกปากคนไทยอย่างเราๆ แน่นอน แถมวิวที่นี่ก็ดีสุดๆ สามารถเห็นคนเล่นสกีได้แบบเต็มๆ
Chinese food and Shabu buffet are served at Buffet Rivierouge restaurant. There is wide selection of menus. The taste is good for Thais. From the restaurant, you can see the ski area clearly.
อาหารยุโรปที่ Alpine Brasserie ที่มีเมนูให้เลือกหลากหลายทั้งเบอร์เกอร์ แซนด์วิช ซุป สลัด เนื้อ แซลมอน เค้ก ฯลฯ อีกทั้งยังมี Afternoon Tea ไว้ให้บริการด้วย
Alpine Brasserie restaurant serves variety of European menus including burgers, sandwiches, soups, salads, salmon, cakes etc. And also serves the Afternoon Tea in the afternoon.
นอกจากนี้ยังมีห้องอาหาร Pop ซึ่งเสิร์ฟอาหารเช้าแบบ International Buffet ที่มีไลน์อาหารให้เลือกมากมายทั้งอาหารฝรั่งและอาหารญี่ปุ่น พร้อมทั้งเสิร์ฟมื้อเย็นด้วย หรือจะเป็นสเต็กที่ห้องอาหาร Shunsai หรือจะลองสัมผัสความหนาวกันที่ Ice Star Restaurant หรือจะลิ้มอาหารญี่ปุ่นแท้ๆที่ห้องอาหาร Hokki หรือจะชิมราเมนที่ห้องอาหาร Lumiere หรือจะทานอาหารพร้อมดูวิวหิมะตกสวยๆ ที่ Asari View เยอะขนาดนี้ คงต้องอยู่กันหลายวันหน่อยถึงจะเก็บได้หมด ซึ่งแต่ละห้องอาหารจะปิดคนละวัน และจะเปิดคนละเวลา ดังนั้นควรตรวจสอบเวลาเปิด-ปิดให้ดี และเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะพลาดของอร่อย ขอแนะนำให้สำรองที่นั่งล่วงหน้า โดยการ Scan QR Code ที่ทางที่พักเตรียมไว้ให้ หรือจะแจ้งให้ทาง Reception จองให้ หรือจองผ่านลิ้งค์ของทางที่พักนี้ก็ได้ครับ -> Link จองห้องอาหาร
Pop restaurant serves international buffet for breakfast. There is a wide selection of foods which are both Western and Japanese menus. It also serves dinner. For steak lover, you should try fresh steak at Shunsai restaurant. If you want to experience the cold restaurant, do not miss Ice Star Restaurant. If you want to authentic Japanese food, you should go to Hokki restaurant. If you want to try ramen, let’s go Lumiere restaurant. If you want to dine with beautiful snow views, Asari View restaurant is your best choice. As there are many restaurants like this, you should stay here for several days if you want to try all. Each restaurant is closed on different day and has their specific open hours, so please check their schedule first. In order to avoid missing to try these delicious menus, you are highly recommended to reserve the seats in advance by scanning the QR Code provided by the hotel. Or just inform the reception to reserve or book through this link -> Link Book a restaurant.
ก่อนกลับ มีอีกหนึ่งกิจกรรมที่ห้ามพลาดนั่นก็คือ การขึ้นไปสั่นระฆัง Asari Bell บนยอดเขาอะซาริ (Asari Peak) โดยสามารถนั่ง Gondola ที่ Mountain Center ขึ้นไปยังยอดเขา เป็นระยะทาง 4 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 25 นาที
There is another activity that is not to be missed that is going to shake Asari Bell at Asari Peak. You can take the Gondola at the Mountain Center up to the top of the mountain for 4 kilometers. It takes about 25 minutes.
มาถึงด้านบนแล้วที่ห้ามพลาดเลยคือการขอพรเรื่องความรัก และสั่นระฆังให้ดังสนั่นเขากันไปเลย ^^
Arrived at the top, you should not miss to pray for the love and shake the bell here.
ซัปโปโร
ต่อไป เราจะไปตะลุยใน เมืองซัปโปโร กันต่อ จาก Kiroro Resort มีรถ Shuttel Bus มาถึงเมืองโอตารุ แล้วต่อรถไฟ หรือจะนั่ง Shuttle Bus กันยาวๆมาลงที่ซัปโปโรเลยก็ได้ครับ แต่ต้องจองล่วงหน้าตามลิ้งค์เดิมที่เคยให้ไปก่อน ไม่อย่างนั้นเต็มนะ จะบอกให้!!!
Sapporo
Our next destination is Sapporo. From Kiroro resort, we took shuttle bus to go to Otaru. Then we took train (or continue shuttle bus) to go to Sapporo. It should be booked in advance via the link we provided earlier.
คืนแรกในซัปโปโรนี้ เราจะพาเพื่อนๆ ไปดูการประดับไฟที่สวยงามในเทศกาล White Illumination ที่ สวน Odori สวนแห่งนี้เป็นสวนสาธารณะที่อยู่ใจกลางเมืองซัปโปโร เป็นสวนที่มีลักษณะแคบ (กว้างเพียง 100 เมตร) แต่ยาวถึง 1.5 กิโลเมตร ซึ่งเป็นสวนที่ใช้เป็นที่จัดงานเทศกาลต่างๆ ของเมือง งาน White Illumination เป็นงานที่ตกแต่งไฟได้อย่างสวยงามเข้ากับบรรยากาศหิมะตก ได้ฟีลโรแมนติก
The first night in Sapporo, we went to see the beautiful illuminations at White Illumination Festival in Odori Park. This park located in the center of Sapporo. Even it is narrow park (only 100 meters wide), but its lengt is 1.5 kilometers. This park is usually used to organize various festivals of the city. The park is beautifully decorated with is a good combination with snowy romantic atmosphere.
แถมยังมี German Christmas Market ที่มีร้านขายอาหารและขนมต่างๆ ให้เลือกทาน ยิ่งอาหารร้อนๆ ยืนทานในเต็นท์กลางหิมะ ช่างได้บรรยากาศจริงๆ จากที่นี่เราจะได้เห็น Sapporo TV Tower ที่โดดเด่นท่ามกลางหิมะที่ตกโปรยปราย
There is also German Christmas Market that has a variety of food and snack shops. Having hot foods a tent on the snow is really romantic. From here, we can see Sapporo TV Tower that stands out among the rainy snow.
1 วันเต็มๆในซัปโปโร เที่ยวอะไรได้บ้าง? ก่อนหน้าที่จะมาซัปโปโรได้ยินคนพูดถึงเบียร์ซัปโปโรกันมาเยอะ เลยขอไปดูวิธีการผลิตเบียร์และประวัติของเบียร์ซัปโปโรต้นตำหรับกันที่ Sapporo Beer Museum สักหน่อย พิพิธภัณฑ์เบียร์แห่งนี้เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาด เพราะ ฮอกไกโด นั้นขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตเบียร์รุ่นแรกๆ ของประเทศญี่ปุ่น เมืองซัปโปโรจึงเป็นแหล่งผลิตที่เก่าแก่ที่สุดและเป็นชื่อยี่ห้อที่คนนิยมที่สุดอีกด้วย โดยเริ่มมีการกลั่นเบียร์ตั้งแต่ ปี 1877 มาจนถึงปัจจุบัน
What can we do in 1 full day in Sapporo? Before coming to Sapporo, we heard many people talking about Sapporo beer. So, let’s go to see the brewing process and the history of the original Sapporo beer at Sapporo Beer Museum. This beer museum is one of the must-see attractions. Hokkaido is reputed to be the first brewery in Japan and Sapporo is the oldest beer production place. The name of the city became the name of the famous beer. Starting the distillation of beer since 1877 up to the present.
ด้านในพิพิธภัณฑ์มีเรื่องราวประวัติของเบียร์ในญี่ปุ่น พร้อมขั้นตอนการผลิตเบียร์ สามารถเดินชมเองโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือจะเลือกแบบทัวร์เพื่อให้เจ้าหน้าที่บรรยายให้ฟังก็ได้ ที่ชั้นล่างมีเบียร์หลากหลายแบบไว้ให้ได้ชิม พร้อมทั้งร้านขายของฝากที่ระลึก หากใครที่ไม่ดื่มเบียร์แบบผม ที่นี่เค้ามีเบียร์แบบ Non-Alcohol (Mugi no Kutsurogi-Laidback Barley) ให้ได้ลองลิ้มชิมรสกันด้วยนะ
Inside the museum, there are the history of Japanese beer and also the brewing process. We either can walk by ourselves (for free) or take the tour which has staff to explain in detail. On the ground floor, there are a variety of beers to taste and the souvenir shops. For the ones who does not drink beer like us, there non-alcohol beer (Mugi no Kutsurogi-Laidback Barley) served here.
เบียร์แล้วต่อด้วยขนมหวานขึ้นชื่อ มาซัปโปโรทั้งที ไม่ควรพลาดที่จะไปชมโรงงาน ชิม ช้อปขนมขายดีอย่าง Shiroi Koibito ของฝากขึ้นชื่อของ ฮอกไกโด ซึ่งเป็นของบริษัท Ishiya เปิดให้ผู้สนใจเข้าชมโรงงานผลิตขนมปังบางกรอบสอดไส้ช็อคโกแลต ซึ่งผลิตมาตั้งแต่ปี 1980 ด้านนอกจัดเป็นสวนสำหรับเดินเล่นพักผ่อน มีมุมสวยๆ ไว้ให้ถ่ายรูปมากมาย
After finished tasting the beer, we move to see the famous dessert factory in Sapporo named Shiroi Koibito. It is Hokkaido’s famous dessert which is owned by Ishiya company. The visitors can go to the production process of the thin bread stuffed with chocolate. It was produced since 1980. Outside the factory, there is a garden that we can take a lot of beautiful photos.
ที่ชั้นล่างของอาคารเป็นร้านค้าขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งขนม ของที่ระลึก ฯลฯ ส่วนชั้นบนจะเป็นร้านให้สามารถนั่งทานได้ สำหรับผู้ที่อยากชมภายในโรงงาน ก็มีบริการทัวร์ให้เข้าชมเป็นรอบๆ ซึ่งจะได้เห็นกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นจนบรรจุห่อออกมาเป็นสินค้าอย่างที่เห็นกันตามท้องตลาด รับรองว่าใครได้มาที่นี่ คงต้องได้ซื้อเจ้าขนมปังกรอบสอดไส้ชอคโกแลตกลับบ้านกันไม่มากก็น้อยแน่นอน
On the ground floor, there is souvenir shop that sells various snacks and souvenirs. The upper floor has cafe that we can enjoy desserts here. If you want to see inside the factory, you can take tour service to visit around the factory that will arrange according to their schedule. You will see the production process from the beginning to being packaged into products as seen in the market. Everyone who come here will eventually buy this snack to take back home.
อีกหนึ่งไฮไลท์ของซัปโปโร คือ ตึกที่ทำการรัฐบาลเก่าฮอกไกโด เป็นอาคารเก่าแก่อายุนับร้อยปี ใครผ่านมาเป็นต้องแวะมาถ่ายรูปกับอาคารแห่งนี้กันทั้งนั้น ปัจจุบันที่ทำการของรัฐบาลฮอกไกโดจริงๆ ได้ย้ายไปอยู่ที่ตึกใหม่ ทันสมัย ซึ่งอยู่ทางด้านหลัง อาคารแห่งนี้จึงกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นมาของเมืองซัปโปโรและเกาะฮอกไกโดแทน
Another highlight of Sapporo is the former Hokkaido government office building which is more than hundred years old. When tourists passed by this building, they usually stop by to take pictures with this building. Currently, the Hokkaido government office is already moved to a new modern building which is on the back. This building became a museum showing the history of Sapporo and Hokkaido.
สิ่งที่ทุกคนที่มาซัปโปโรจะต้องเห็นเพราะตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางเมือง นั่นก็คือ Sapporo TV Tower ซึ่งเป็นหอสำหรับส่งสัญญาณวิทยุและโทรทัศน์ที่ใช้กันมาหลายสิบปี อยู่ท้ายสวน Odori ทางฝั่งตะวันออก จำลองมาจาก Tokyo Tower ซึ่ง Sapporo TV Tower นี้ สร้างเมื่อปี 1957 ด้วยความสูงถึง 147.2 เมตร มีทั้งจุดชมวิวและร้านอาหารอยู่ด้านบน
One thing that everyone who comes to Sapporo will see because it stands out in the center of the city is Sapporo TV Tower which is a radio and television tower that has been used for decades. It located at the end of Odori Park on the east side. This Sapporo TV Tower was built in 1957 with a height of 147.2 meters. It was modeled from Tokyo Tower. There are both viewpoint and restaurant on top.
ที่ซัปโปโรยังมีวิวมุมสูงที่เหมาะให้ขึ้นมาชมยามค่ำคืน ที่นี่เป็นทั้งจุดชมวิวและเป็นสถานที่ที่คนมาขอพรเรื่องความรักกันมากมาย นั่นก็คือ Mt. Moiwa ซึ่งมีความสูงถึง 531 เมตร การจะขึ้นไปบนยอดเขานั้นต้องโดยสาร Mt. Moiwa Ropeway ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกเป็นกระเช้าขนาดใหญ่ เริ่มจากสถานีเชิงเขา (Sanroku Station) ไปยังสถานีเปลี่ยนรถ (Chufuku Station) ระหว่างทางจะเห็น เจดีย์สันติสุข (Peace Pagoda) สีขาวตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่
At Sapporo, there is another viewpoint that is perfect for watching the beauty of the city at night and also being the sacred place that people usually come to pray for love. It is Mt. Moiwa which has a height of 531 meters. To get to the top of the mountain, we had to take the ropeway that combined with 2 parts. The first one is a large basket starting from Sanroku Station to the Chufuku Station. On the way, you will see white Peace Pagoda stands out on the mountain.
ช่วงที่ 2 เป็นกระเช้าขนาดเล็กกว่า วิ่งบนรางที่ลาดเอียงจากสถานี Chufuku ไปยังสถานี Sancho ซึ่งใช้เวลา 1.45 นาที ราคา Ropeway ไป-กลับอยู่ที่คนละ 1,700 JPY (ราคาเด็กอยู่ที่ 900 JPY) บนยอดเขา Mt. Moiwa นี้ สามารถมองเห็นวิวเมืองแบบพาโนราม่า อีกทั้งยังมีระฆังเพื่อขอพรเรื่องความรัก วิวยามค่ำคืนที่นี่งดงาม และโรแมนติกจริงๆ จนได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 3 ของจุดชมวิวกลางคืนที่สวยที่สุดใน ฮอกไกโด
Another part is a smaller basket running on a sloping track from Chufuku Station to Sancho Station that will take 1.45 minutes. The price of the ropeway is 1,700 JPY per person (the price for children is 900 JPY). From Mt. Moiwa peak, we can see panoramic view of the city. There is also a bell that we can pray for the love. The night view from here is very beautiful and romantic. This attraction is ranked as one of the three most beautiful night viewpoints in Hokkaido.
เที่ยวมาทั้งวัน ด้วยอากาศหนาวๆ แบบนี้เมนูปิ้งย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวพวกเราในทันที เราจึงเลือกที่จะไปลองเนื้อแกะย่างสไตล์เจงกิสข่านกันที่ร้าน Jingisukan Daruma ร้านนี้เรายกให้เป็นเพชรเม็ดงามในย่าน Susukino ซึ่งเป็นย่านกินดื่ม และเที่ยวกลางคืนที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือของญี่ปุ่น บริเวณนี้มีร้านอาหารและแหล่งบันเทิงรวมกว่า 4,000 ร้าน ที่บอกว่าเป็นเพชรเม็ดงามก็เพราะร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในตรอกไม่ไกลจาก Subway นัก (ลงสถานี Susukino ออก Exit 5 เดินมาอีกเล็กน้อย) เมื่อไปถึงร้านจะต้องรอคิวสักพัก เพราะเป็นร้านที่ชาวญี่ปุ่นนิยมมาก ที่นั่งก็มีค่อนข้างจำกัด (ประมาณ 15-20 ที่) แต่ทุกคนก็เต็มใจรอ
With the cold weather like this, the grill menu is suddenly sprung up in our heads. We chose to try the grilled lamb at Jingisukan Daruma restaurant. This restaurant is like a diamond in Susukino which is the biggest night life area in northern Japan. There are more than 4,000 restaurants and entertainment venues in Susukino. We say this shop is a diamond in Susukino because it is a small restaurant hidden in the alley, but it is not far from the Subway (Susukino Station Exit 5 and walk a bit). We had to wait for a while when arrived at the restaurant because it is very popular for Japanese. The seats are quite limited (about 15-20 seats). But everyone is willing to wait.
เนื้อแกะที่นี่มีให้เลือกทั้งแบบเนื้อล้วน เนื้อติดกระดูก และเนื้อแบบหั่นเต๋า ส่วนตัวเราขอแนะนำแบบหั่นเต๋าย่างไม่ต้องสุกมาก ฉ่ำๆ เล็กน้อย เนื้อแกะที่นี่ไม่มีกลิ่นให้กวนใจ เนื้อก็นุ่ม อร่อยสุดๆ ตบด้วยเบียร์ Sapporo Classic เย็นๆ สักแก้ว รับรองว่าลืมไม่ลงแน่ๆ แต่หากสาย Non-Alcohol แบบเรา เขาก็มีเบียร์ที่เป็น 0% Alcohol ขายนะ รับประทานกันเต็มอิ่ม ตกคนละประมาณ 1,200 JPY เท่านั้น ถือว่าคุ้มมากๆ ใครมาซัปโปโรขอแนะนำว่าร้านนี้ต้องลอง!!!
The lamb that served here is available in lamb meat, lamb ribs and diced lamb meat. Personally, we would like to recommend diced lamb meat and do not over cooked. The lamb here is no strong smell but very juicy, soft, and delicious. You should try it together a cool glass of classic Sapporo Beer. If you prefer non-alcohol beer like us, there is 0% alcohol sold here. The total expense is 1,200 JPY per person but very worthy. If you come to Sapporo, you should not miss this restaurant.
ขอพูดถึงอีกหนึ่งโรงแรมในตัวเมืองซัปโปโรที่เราเข้าพักในครั้งนี้กันซักหน่อย เราพักที่โรงแรม Sapporo Prince Hotel ซึ่งสามารถเดินทางมาได้ง่ายๆ เพียงนั่งรถไฟมาลงที่สถานี Nishijuitchome แล้วเดินมาอีกประมาณ 500 เมตร ก็จะเห็นโรงแรมตั้งตระหง่านอยู่ที่หัวมุมถนนกลางเมือง ไม่ห่างจากสวน Odori และแหล่งช้อปปิ้ง Tanukikoji โรงแรมมีทั้งหมด 587 ห้อง มี 3 Room Type ทั้งแบบ Standard (Twin) อยู่ที่ชั้น 5-12 มี 254 ห้อง / Superior (Twin/Double) บนชั้น 14-21 มี 252 ห้อง / ห้อง Deluxe (Twin/Double/Suite) บนชั้น 22-27 มี 81 ห้อง ดีไซน์ของโรงแรมก็เก๋ไก๋ เป็นแบบวงกลม สามารถเดินได้รอบทั้งชั้น และทุกห้องจะหันไปเห็นวิวที่แตกต่างกัน
A Another hotel in Sapporo that we stayed is Sapporo Prince Hotel where can be easily reached. We just take the train to Nishijuitchome station and keep walking about 500 meters. Then we can see the hotel standing at the corner in city center. It is not far from Odori Park and Tanukikoji shopping area. The hotel has a total of 587 rooms. There are 3 room types including Standard (Twin) on the 5th-12th floors (254 rooms), Superior (Twin/Double) on 14th-21st floors (252 rooms), and Deluxe (Twin/Double/Suite) on 22nd-27th floors (81 rooms). The design of the hotel is chic and being in circular shape, so we can walk around the entire floor. Each room is facing different views.
ห้องที่เราพักในครั้งนี้เป็นห้องแบบ Deluxe ซึ่งจะมีลิฟต์ส่วนตัวสำหรับ Royal Floor แยกต่างหากจากห้องพักประเภทอื่น โดยเราจะต้องใช้ Key Card เพื่อเข้าลิฟต์ ภายในห้องกว้างขวางมาก มีโซฟาขนาดใหญ่ให้นั่ง/นอนดูวิวหิมะตกได้อย่างเพลิดเพลิน พร้อมด้วยโต๊ะทำงาน และทีวีขนาดใหญ่อยู่กลางห้อง เตียงนอนขนาดใหญ่ หนานุ่ม
The room we stayed is Deluxe room. There are 2 private elevators for customers who stay on the Royal Floor. We have to use special key card to access the private elevators. Our room is very spacious. There is a large sofa that we can sit or sleep to see the snow, work desk, and a large TV in the middle of the room. The bed is large and soft.
ในส่วนของห้องน้ำ ห้องสุขา และห้องอาบน้ำแยกสัดส่วนชัดเจน Amenities ในห้องสุดแสนจะดีงาม มีให้ทั้งแบบเดี่ยวและแบบเซ็ตของแบรนด์ C.O. Bigelow แถมยังมีมาส์กหน้าไว้ให้ด้วย
The toilet and shower room are clearly separated. Amenities in the room are very great. There are both single item and a set of C.O. Bigelow brand. There is also face mask.
สำหรับห้องอาหารของผู้ที่เข้าพักที่ Royal Floor (ชั้น 22-27) ตั้งอยู่ที่ชั้น 28 เป็นห้องอาหารที่วิวสวยมากๆ ตรงตามคอนเซ็ปต์ของ Prince Hotel โดยแท้ เมนูอาหารก็มีให้เลือกมากมายทั้งเมนูไข่ต่างๆ สลัด ขนมปัง เบคอน ไส้กรอก เมนูอาหารญี่ปุ่น น้ำผลไม้ ชา กาแฟ ฯลฯ ทานไปชมวิวมุมสูงจากโรงแรมเพลินๆไป มื้อนี้อร่อยที่ซู้ดดดด ^^
Guests staying on the Royal Floor (22nd-27th floors) can have breakfast at the restaurant on the 28th floor. The view from this restaurant is very nice (as usual as other Prince hotels). There are various menus including eggs, bread, bacon, sausage, Japanese menus, juices, tea, coffee etc.
มื้อเย็น เราได้ทานอาหารที่โรงแรม เป็นร้านอาหาร Steak-House KATSURA บนชั้น 28 เรียกได้ว่าเป็นร้านสเต็กวิวเทพจริงๆ อาหารก็ปรุงกันสดๆ ให้เห็นกันทีละจาน ลักษณะเหมือนร้านเทปันยากิ ที่เชฟจะมาปรุงอาหารให้เราดูบนเตาต่อหน้าแบบจานต่อจาน พร้อมอธิบายถึงวัตถุดิบต่างๆ
We had dinner at Steak-House KATSURA restaurant on the 28th floor. The view from this restaurant is very nice. The food is cooked freshly. It looks like teppanyaki restaurant that chef will cook in front of us and will explain us about the ingredients of each dish.
เริ่มต้นจากสลัด ซาซิมิ สเต็ก ซุปที่อุ่นแบบเก๋ๆ ในถุงที่ดีไซน์มาโดยเฉพาะ ข้าวผัด และของหวาน ทุกโต๊ะสามารถมองเห็นวิวได้อย่างชัดเจน แค่ได้มานั่งดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ กับอาหารอร่อยๆ กับคนรู้ใจในบรรยากาศสุดโรแมนติก แค่นี้ก็คุ้มแล้วหละครับ ^^
Start with salad, sashimi, steak, soup with is warmed in special bag, fried rice, and end up with the desserts. All seats can see the view of the city clearly. Just having cold drinks with delicious food together with special person in a romantic atmosphere like this is very worthy.
ที่ Sapporo Prince Hotel มี Hot Spring เปิดให้บริการสำหรับลูกค้าที่เข้าพัก เวลา 5:00-10:00 น. และ 16:00-24:00 น. ราคาคนละ 500 JPY (รวม Tax 150 JPY) (ทางเราได้ขออนุญาตเจ้าหน้าที่เข้ามาถ่ายตอนที่ออนเซ็นยังไม่เปิด ปกติจะไม่สามารถถ่ายภาพได้ครับ)
At Sapporo Prince Hotel, there is Hot Spring which open for all hotel guests. It opens from 5-10 a.m. and 4 p.m.-midnight. The price is 500 JPY (including 150 JPY tax) per person. (We already asked for the permission before taking pictures when the onsen is not open. Normally taking pictures in the onsen area is not allowed.)
หลังจากเช็คเอ้าท์เพื่อเตรียมตัวกลับ กทม. เรียบร้อย วิธีการเดินทางมายังสนามบินมี 2 ทางเลือก คือนั่งรถไฟจากแถวโรงแรมมายังสถานี Shin-sapporo แล้วนั่งรถไฟต่อไปยัง New Chitose Airport หรืออีกวิธีง่ายๆ ก็คือนั่งรถ Shuttle Bus ที่ทางโรงแรม Sapporo Prince Hotel ให้บริการจากโรงแรมไปยังสถานีรถไฟ Sapporo ซึ่งจะเริ่มให้บริการตั้งแต่เวลา 07:30 น. และจะมีรถวิ่งทุกๆ 1 ชั่วโมง ไปจนถึงเวลา 16:30 น. (เว้นรอบ 12:30 น.) ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาทีเท่านั้น จากนั้นค่อยต่อรถไฟไปสนามบินอีกที
After checking out from the hotel, we heading to return to Bangkok. There are 2 ways to go the airport that are taking train from the hotel to Shin-sapporo station and then take the train to New Chitose Airport. Another way that is much easier is taking shuttle bus from Sapporo Prince Hotel to Sapporo Station. The shuttle bus service starts at 7.30 a.m. until 4.30 p.m. (no bus on 12.30 p.m.) that will leave every 1 hour. It takes only 20 minutes. After that we have to continue taking the train to the airport.
Tips
ก่อนกลับเราขอแนะนำ Tips ในการมาเที่ยว ฮอกไกโด สักเล็กน้อย เพราะมีหลายคนถามมาเยอะเกี่ยวกับวิธีการเดินทางด้วยรถไฟ ไม่ต้องกังวลใจไป เพราะมีทั้ง Application และ Google Map สามารถใช้เดินทางได้ง่ายๆ แต่จะใช้ App เหล่านี้ได้ แน่นอนว่าต้องมี Internet ซะก่อน เราเลือกใช้งาน Pocket Wi-Fi ของ Samurai Wi-Fi ซึ่งสัญญาณดี ไม่มีหลุด ตัวเครื่องเล็กกะทัดรัด แบตเตอรี่อึดมากสามารถใช้งานได้ทั้งวัน อีกทั้งยังสามารถแชร์สัญญาณกันได้หลายคน ค่าเช่าตกวันละ 280 บาท -> Samurai Wi-Fi การรับคืนเครื่องก็ง่ายๆ เพราะสามารถรับ-คืนได้ที่สนามบิน (มีเคาน์เตอร์ทั้งที่สนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ)
Tips
Before going back, we would like to recommend some tips for visiting Hokkaido because many people asked about how to travel by train. Do not worry because you can use both application and Google Map. So, you can travel in Hokkaido easily. To use the app, of course, you must have the internet. We chose to use Samurai Pocket Wi-Fi. Its signal is very good. The device is very compact. The battery is very durable and can be used all day. Moreover, it can be shared to many people. The rental fee is only 280 baht per day -> Samurai Wi-Fi. You can get and return the device at the airport (there are counters at both Don Mueang and Suvarnabhumi Airport).
ประกันการเดินทางก็สำคัญไม่น้อย เนื่องด้วยด้วยหิมะที่ตกหนัก ทำให้กลัวว่าไฟล์ทจะดีเลย์ หรือมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง จะซื้อประกันที่ครอบคลุมทั้งหมดก็กลัวจะแพงเกินไป เราเลยเลือกประกันเดินทางของ Sompo Thailand แม้ว่าชื่ออาจจะไม่คุ้นหูสำหรับคนไทยนัก แต่เป็นบริษัทประกันภัยอันดับหนึ่งจากญี่ปุ่นเลยนะครับ ประกันการเดินทางนี้ช่วยให้เราหายกังวล เพราะ Cover หมดทั้งกรณีไฟล์ทดีเลย์ กระเป๋าเดินทางเสียหายหรือมาถึงช้า การยกเลิกเที่ยวบินกรณีผู้เดินทางมีเหตุสุดวิสัย (เช่นญาติเสีย ป่วยหนัก หรือบ้านไฟไหม้) หรือเหตุการณ์ใดๆ ก็ตามที่เราคาดไม่ถึง จ่ายแค่หลักร้อยแต่ได้ความคุ้มครองถึงหลักล้านเลยนะ ยิ่งเป็นทริปญี่ปุ่นด้วยแล้ว การทำประกันกับบริษัทประกันภัยอันดับหนึ่งจากญี่ปุ่นอย่าง Sompo (ซมโปะ) นับเป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุด และยังมีแผนประกันเดินทาง GO Japan สำหรับคนที่เดินทางไปญี่ปุ่นโดยเฉพาะอีกด้วย -> Link Sompo
Travel insurance is another important thing. Due to heavy snow, the flight may be delayed or there might have some unexpected events occurring during the trip. The insurance that cover all is very expensive. So, we chose to buy travel insurance of Sompo Thailand. Even the name of Sompo may not be familiar to Thais, but it is number one insurance company in Japan. Having travel insurance, we will not have to worry because it covers the cases like flight delay, luggage damaged or arrived late, flight cancellation in case that we have accidentally issues (such as relative passed away, seriously ill, or house fire) or any other events that we have not expected. Paying only hundreds, but you will have coverage for more than millions. Especially for Japan trip, buying travel insurance from No.1 insurance company in Japan like Sompo seems to be the best choice. Moreover, there is Go Japan plan that suitable for people who plan to travel to Japan. -> Link Sompo
จุดเด่นของประกัน Sompo คือ หากเกิดเหตุต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลที่ญี่ปุ่น เราไม่ต้องสำรองจ่ายก่อนกับโรงพยาบาลในเครือของซมโปะที่ครอบคลุมในญี่ปุ่นกว่า 200 โรงพยาบาล (ประกันการเดินทางเจ้าอื่น เราจะต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อนแล้วค่อยมาเบิกคืนทีหลัง) โดยทั่วไปโรงพยาบาล/คลินิคที่ญี่ปุ่นไม่ได้มีหมอตรงอาการที่จะรักษาเราได้ทุกที่ และจะไม่ค่อยรับนักท่องเที่ยวถ้าไม่ใช่กรณีฉุกเฉินจริงๆ ซึ่งทางประกันซมโปะจะเข้ามาช่วยได้มากในเรื่องนี้ อีกทั้งยังมีบริการ Sompo Assist ที่หมายเลข (+66)2-205-7775 คอยให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง โดยจะมีเจ้าหน้าที่คนไทยรวมถึงคุณหมอคนไทยสอบถามอาการและให้คำแนะนำเบื้องต้น รวมไปถึงนัดหมาย รพ.ในเครือที่ญี่ปุ่นให้ด้วย อีกทั้งยังช่วยเป็นล่ามสื่อสารกับทางโรงพยาบาลให้เราอีก นอกจากนี้ ประกันการเดินทางของ Sompo ยังคุ้มครองอุบัติเหตุที่เกิดจากกีฬา เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผนไปเล่นกีฬาประเภทต่างๆ เช่นสกี สโนวบอร์ด จักรยาน (ที่ไม่ใช่การเเข่งขัน) เรียกได้ว่าคุณสมบัติครบ เหมาะสำหรับทริป ฮอกไกโด จริงๆ
The highlight of Sompo insurance is that if we have to admit to more than 200 hospital in Japan that Sompo insuracne covered, we do not have to pay first (For other travel insurance, we have to pay first and claim later). Normally, hospitals and clinics in Japan will not have specialized doctors stand by all the time and might not accept the tourists if not really emergency case. Sompo Thailand can help this issue because there is Sompo Assistant (at number +662-205-7775) Which stand by to help us 24 hours a day. We can talk to Thai staffs and also Thai doctors in order to ask for the basic advice. The staffs will help us to make appointment with affiliated hospitals in Japan and also help to interpret and communicate with the hospital. In addition, Sompo’s travel insurance also covers accidents caused by sports. That is very suitable for those who have plans to play sports such as skiing, snowboarding, and bicycling (non-competition). According to these, we think this one is suitable for our Hokkaido trip.
เรื่องราคาก็สบายหายห่วง เพราะ Sompo เค้าใจดีให้ส่วนลดพิเศษสำหรับแฟนเพจ Nejutravel เพียงกรอกโค้ดส่วนลด “NEJU19” (ตามตัวอย่างด้านล่าง) เมื่อซื้อประกันฯ ก็รับ ส่วนลดทันที 10% และสำหรับ 10 ท่านแรก รับทันที ที่ห้อยกระเป๋าสุดน่ารัก รีบสมัครกันตั้งแต่วันนี้ -30 เม.ย. 62 เท่านั้นนะครับ (ข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ https://www.sompo.co.th/)
Don’t worry about the price because Sompo Thailand give special discounts to Nejutravel fanpage. Just enter the discount code “NEJU19” (as in the example below) when buying insurance, you will get 10% discount. For the first 10 people, they will get cute bag tags. Hurry to apply from today until 30 Apr 2019. (For more information, you can find out at https://www.sompo.co.th/).
ขากลับ เดินทางกลับด้วยสายการบิน Thai Air Asia X เที่ยวบินที่ XJ621 ออกจากซัปโปโรเวลา 12:05 น. มาถึงสนามบินดอนเมืองเวลา 18:00 น. เครื่องออกตรงเวลา ไม่มีดีเลย์ให้เคืองใจ
We returned with Thai Air Asia X airline. The flight number is XJ621 which departing from Sapporo at 12:05 p.m. and arrive at Don Mueang Airport at 6 p.m. The flight is on time and no delay.
เราเลือกที่นั่งล่วงหน้าผ่านทาง “My Booking” โดยตรงจากทางเว็บ -> AirAsia เพื่อให้ได้ที่นั่งริมหน้าต่าง เพราะวันนี้อากาศดีจะได้เห็นวิวสวยๆระหว่างทางขากลับ
We selected seats in advance via “My Booking” directly from the web -> AirAsia in order to reserve window seats. The weather is good today, so we can see beautiful views.
ทริป ฮอกไกโด ครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นทริปที่ครบรส เพราะเราได้สัมผัสกับการเล่นสกี พักสกีรีสอร์ทสุดหรูและโรงแรมใจกลางเมือง แช่ออนเซ็น เล่นกิจกรรมต่างๆ ท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย เดินเล่นถ่ายรูป ชิมขนมหวานที่เป็นแหล่งผลิต ช้อปปิ้งแบบสุดเหวี่ยง ชม Illumination และ Christmas Market อีกทั้งยังได้ลองลิ้มชิมอาหารอร่อยๆ มากมาย สมแล้วกับฉายาที่ได้รับว่า…“ฮอกไกโด ห้องครัวของญี่ปุ่น”
This Hokkaido trip is a perfect trip because we experienced skiing, stayed in luxury ski resort, stayed in nice hotel in the city center, relaxing at onsen, doing various activities among the snow, taking nice photos, tasting desserts at the original places, shopping, watching Illumination, enjoy Christmas Market, and also tasting many delicious foods. That is no wonder why people call Hokkaido as the “Japanese kitchen”.
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^
