“การได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่างพีระมิดกีซา ทำให้ผมขนลุกซู่
แต่ถ้าได้ลองเปลี่ยนบรรยากาศมาอยู่เหนือน่านฟ้า
สายตาจ้องมองลงมายังดินแดนในอดีต คุณ…จะรู้สึกอย่างไร?”
ทริปนี้จะพาไปชมความงามในยุครุ่งเรืองของอดีตจากบนบอลลูน
และเที่ยวชมสุสานในฝั่ง West Bank เพื่อไขความลับ
ในดินแดนกลางทะเลทรายที่หลายคนต่างมาศึกษาในความเป็นมา
ในดินแดนที่หลายคนต่างร่ำลือถึงความลี้ลับ และความมหัศจรรย์
ในดินแดนที่หลายคนต่างปรารถนามาเยือนเพื่อให้ได้เห็นสิ่งเหล่านั้นกับตา
ดินแดนนี้คือ “อียิปต์…ดินแดนแห่งไอยคุปต์เหนือทะเลทราย”
ตอนที่แล้วผมได้พาไปเที่ยวในไคโรเมืองหลวงของประเทศอียิปต์
และพาไปชมสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่างพีระมิดที่กีซา -> อียิปต์-ไคโร กีซา รีวิวตอนแรก
ในตอนนี้ผมจะพามาทำความรู้จักอีกเมืองหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน…“ลักซอร์ (Luxor)”
จากไคโรไปยังเมืองต่างๆในอียิปต์ สามารถเดินทางได้หลายรูปแบบ
ไม่ว่าจะเป็นทางรถ ทางเรือล่องแม่น้ำไนล์ ทางรถไฟ หรือทางที่สะดวกที่สุดอย่างเครื่องบิน
สำหรับ Egypt Air ก็มีให้บริการบินภายในประเทศอียิปต์เช่นกัน หลากหลายเส้นทาง
วิธีการจองสามารถเข้าไปที่เว็บไซท์ Egypt Air –> http://www.egyptair.com
แล้วเลือกจุดหมายปลายทางที่จะเดินทาง อย่างทริปนี้ผมเดินทางไปลักซอร์
อีกหนึ่งเมืองที่อยู่ทางใต้ของอียิปต์ที่มีประวัติความสำคัญไม่น้อยไปกว่าที่กีซาเลยครับ
Domestic Flight จากไคโรไปลักซอร์ใช้เครื่อง Embraer 170 ผังที่นั่งเป็น 2-2
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม ครับ
จากสนามบินลักซอร์ต้องหา Taxi ออกจากสนามบิน ไม่มี Shuttle Bus ให้บริการ
ราคา Taxi ในสนามบินติดป้ายไว้ที่ 50 LE แต่ไม่ค่อยจะได้ราคานี้นะครับ
เพราะอย่างที่ผมต่อรองราคามาก็อยู่ที่ 70 LE ซึ่งไปส่งถึงที่พักที่อยู่ในเมืองเลย
ผมจองที่พักติดแม่น้ำไนล์ Eatabe Hotel ราคาคืนละ 850 บาท รวมอาหารเช้า
ห้องที่ผมเลือกเป็นวิวแม่น้ำไนล์ ได้เห็นบรรยากาศริมน้ำสดชื่น ถึงแม้ว่าตัวห้องจะไม่ได้หันไปทาง
แม่น้ำไนล์เต็มๆ แต่ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ โดยรวมแล้วห้องพักสะอาด และใกล้สถานที่เที่ยวต่างๆ
อาหารเช้าก็มีให้เลือกมากมาย ส่วนใหญ่จะเน้นแป้งนะครับ ^^
ลักซอร์ (Luxor)
เมืองริมแม่น้ำไนล์ที่เต็มไปด้วยวิหารหินทรายที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี
กับสุสานกษัตริย์ที่ลึกลับของอียิปต์โบราณ ทำให้ลักซอร์ได้ชื่อว่าเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุด
ลักซอร์เต็มไปด้วยโบราณสถานและวิหารที่มีจำนวนมาก มากกว่าสถานที่ราชการซะอีก
โดยตัวเมืองตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไนล์ซึ่งเรียกว่าฝั่งคนเป็น (East Bank)
และในฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ส่วนใหญ่จะเป็นที่ตั้งของสุสานกษัตริย์และราชินี
ทำให้ถูกเรียกว่าดินแดนฝั่งคนตาย (West Bank)
จุดเด่นของลักซอร์ คือ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โบราณคดี และด้านการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ
แถมยังมีทิวทัศน์ริมแม่น้ำไนล์ที่สวยงาม รวมถึงการได้ขึ้นบอลลูนชมวิวเมืองจากมุมสูง
ทำให้ลักซอร์มีที่เที่ยวที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่เฉพาะกลุ่มคนที่มาศึกษาประวัติศาสตร์เท่านั้น
การเดินทางในลักซอร์มีทั้ง Taxi รถม้า เรือข้ามฟาก และการเดินเท้าไปยังตามจุดต่างๆ
อย่าง รร ที่ผมพัก สามารถเดินไปยังพิพิธภัณฑ์ลักซอร์ หรือจะเดินไปวิหารลักซอร์ก็ได้
หลังจากเก็บข้าวของที่โรงแรมเสร็จเรียบร้อย ผมก็ได้เดินทางไปเที่ยวสถานที่แรก
ซึ่งจริงๆแล้วสามารถเดินไปได้ แต่ช่วงที่ผมไปนั้นอากาศที่ลักซอร์ร้อนมาก ร้อนกว่าไคโรซะอีก
เลยใช้บริการ Taxi ให้ไปส่งสถานที่แรกและนัดเวลามารับเพื่อไปยังจุดหมายต่อไป
ค่า Taxi ที่เรียกและต่อรองราคาได้อยู่ที่ 30 LE เพียงไม่ถึง 5 นาทีจากโรงแรมก็มาถึง
วิหารคาร์นัก (Karnak Temple) ที่นี่เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่ 6.00 – 17.30 น.
ราคาค่าเข้าชมคนละ 80 LE ส่วนนักเรียน นักศึกษาเพียงแสดงบัตรลด 50%
วิหารโบราณแห่งนี้มีอายุกว่า 1,300 ปี เป็นวิหารกลุ่มขนาดใหญ่อยู่ที่หมู่บ้านคาร์นัก เมืองลักซอร์
บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไนล์ทางเหนือของเมืองธีปส์ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงซากวิหาร
แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มวิหารของอียิปต์โบราณที่ใหญ่ที่สุดอีกด้วย
ทางเข้าสู่วิหารคาร์นักเรียงรายไปด้วยสฟิงซ์ศิลาหัวแกะ ชาวอียิปต์โบราณสร้างวิหารคาร์นัก
ด้วยวิธีเดียวกับการสร้างพีระมิด โดยไม่ใช้ลิ่มสลักหรือสิ่งใดๆ เชื่อมให้ยึดติดกัน
สฟิงซ์เหล่านี้เป็นเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยัง ถนนสฟิงซ์ ที่วิหารลักซอร์ซึ่งห่างออกไปประมาณ 2.5 กม
ด้านในวิหารประกอบด้วย วิหารเทพอามุน (Temple of Amun) ห้องทำพิธีของพระ ซุ้มประตู (Pylon)
เสาโอบิลิสก์ สัญลักษณ์ของสุริยเทพ และทะเลสาบ ทั้งหมดนี้เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรือง
และความสำคัญของเมืองธีปส์ในอดีต เมื่อผ่าน ซุ้มประตูวิหารซุ้มแรก (First Pylon) ที่มีคานไพลอนกว้าง
จะเป็น Great Court เป็นทางเข้าไปสู่ Great Pillared Hall และต้องผ่านอีก 3 ซุ้ม
กว่าจะเข้าไปถึงวิหารเทพอามุน เดิมเป็นเพียงวิหารเล็กๆ ต่อมาฟาโรห์ธุสมุสที่ 1
ทรงขยายวิหารจนกว้างใหญ่ จากนั้นฟาโรห์องค์ต่อมาได้สร้างเติมแต่งจนกว้างขวางใหญ่โต
บริเวณที่เป็นจุดเด่นของวิหารคาร์นัก คือ ห้องโถงเสา (Great Hypostyle Hall)
ซึ่งเริ่มสร้างโดยฟาโรห์เซติที่ 1 และสร้างเสร็จสมบูรณ์ในสมัยฟาโรห์รามเสสที่ 2 ประกอบด้วย
กลุ่มเสาใหญ่จำนวน 134 ต้น ในจำนวนนี้มีเสายักษ์ 12 ต้น เสาที่เหลืออีก 122 ต้น เป็นเสาต้นที่เล็กกว่า
รอบๆ เสาทั้ง 134 ต้น มีการสลักอักษรภาพเป็นคำสรรเสริญเทพเจ้ากับ
คาร์ทูช พระนามของฟาโรห์ผู้สร้างวิหารคาร์นักแห่งนี้
เลยจากห้องโถงเสานี้เข้าไปจะพบกับเสาโอบิลิสก์ 2 ต้น เสาต้นหนึ่งเป็นของฟาโรห์หญิงฮัตเซปซุต
เสาโอบิลิสก์อีกต้นหนึ่งเป็นของฟาโรห์ธุตโมซิสที่ 1
ลวดลายที่ยังงดงามอยู่บนเสาแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของเสาโอบิลิสก์
นอกจากวิหารเทพอามุนแล้ว ยังมี วิหารเทพคอนสุ (Temple of Khonsu) ,
วิหารเทพีโอเปต (Temple of Opet) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นพระมารดาของเทพโอซีริส ,
วิหารของเทพมอน (Precinct of Montu) เทพเจ้าแห่งสงคราม และอาคารอื่นๆอีกหลายอาคาร
นอกจากนี้ ภายในกำแพงวิหารคาร์นักยังมี ทะเลสาปศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Lake)
ซึ่งพระที่จะเข้าทำพิธีสำคัญเกี่ยวกับเทพเจ้า จะต้องอาบน้ำชำระล้างร่างกายในทะเลสาบก่อนทุกครั้ง
ผมได้จ้างไกด์ที่เป็นโลคอลไกด์ คอยให้คำแนะนำ ในแต่ละจุดที่สำคัญภายในวิหารแห่งนี้
ระยะเวลาประมาณ 1 ชม ค่าไกด์ 50 LE พูดภาษาอังกฤษได้คล่องมากๆ ฟังชัด
และมีความรู้เรื่องสถานที่แห่งนี้ค่อนข้างมาก เผื่อใครสนใจจะไปจ้างโลคอลไกด์ที่นั่นก็หาไม่ยาก
ตอนซื้อตั๋วก่อนเข้าวิหารจะมีคนมาเสนอเอง ตกลงให้เรียบร้อย และจ่ายเงินเมื่อจบทริปนะครับ
เดิมอักษรภาพเหล่านี้มีหลายสีสวยงามมาก กาลเวลาและความเปลี่ยนแปลง
ของดินฟ้าอากาศทำให้สีอื่นๆ จางหายไป
เคยมีคำโปรยของนักประพันธ์ชาวฝรั่งเศสผู้มือชื่อเสียงกล่าวว่า
“วิหารคาร์นักให้ความประทับใจในวิถีชีวิตที่ยิ่งใหญ่เหนือคำบรรยาย”
นักท่องเที่ยวที่เข้าไปในวิหารจะถูกความใหญ่โตของวิหารและรูปปั้นขนาดใหญ่ข่ม
ทำให้รู้สึกว่ามนุษย์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่เล็กกระจิดริดเท่านั้น
มาต่อกันที่วิหารถัดไป วิหารลักซอร์ (Luxor Temple) นั่ง Taxi มาประมาณ 5 นาที
จากวิหารคาร์นัก เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 6.00-22.00 น.
ค่าเข้าชมคนละ 60 LE นักเรียน นักศึกษาเพียงแสดงบัตรลดครึ่งราคา
จะเห็นได้ว่าเสาโอบิลิสก์จะมีเพียงต้นเดียว ซึ่งจากที่กล่าวในตอนที่แล้ว
เสาโอบิลิสก์อีกต้น ปัจจุบันได้ตั้งอยู่กลางจัตุรัสคองคอร์ดในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ทางเดินเข้าวิหารลักซอร์มีสฟิงซ์เรียงรายอยู่ 2 ข้างทาง
สร้างขึ้นในสมัยฟาโรห์เนคทาเนโบที่ 1 (Nectanebo I) ว่ากันว่าใบหน้าสฟิงซ์จำลองมาจาก
พระพักตร์ของฟาโรห์อาเมนโฮเทปที่ 3 ถนนสฟิงซ์นี้ทอดยาวไปทางวิหารคาร์นัก ด้วยความยาว 2.5 กม
วิหารลักซอร์ เป็นวิหารหินทรายที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมยุคฟาโรห์
สร้างในสมัยฟาโรห์อาเมนโฮเทปที่ 3 (Amenhotep III) เพื่อถวายเทพเจ้าทั้งสามของชาวเมืองธีปส์ คือ
เทพอามุน เทพีมัต และเทพคอนสุ แต่ต่อมาฟาโรห์อัคเคนาเตน (Akhenaten) โอรสของพระองค์
ได้หันไปนับถือเทพเจ้าองค์เดียว คือ เทพอาเตน (Aten) จึงทอดทิ้งวิหารลักซอร์และย้ายเมืองหลวงใหม่
ทำให้อียิปต์เกิดความแตกแยก กระทั่งถึงรัชสมัยของฟาโรห์ตุตันคาเมนกับ
ฟาโรห์ฮอร์เอมเทป (Horemtep) ได้หันกลับมานับถือเทพอามุน
และทะนุบำรุงวิหารแห่งนี้ให้มีความสำคัญดังเดิม วิหารลักซอร์ที่สวยงามในปัจจุบัน
เป็นผลงานการสร้างเพิ่มเติมของฟาโรห์รามเสสที่ 2 (Ramses II) ผู้สร้างกลุ่มวิหารคาร์นัก
เดินต่อเข้ามาจะพบกับลานรามเสสที่ 2 มีเสาคอลัมน์รายล้อมอยู่ 2 ชั้น
ทุกต้นทำเป็นรูปต้นกก ปาปิรุสจำลอง ให้ความยิ่งใหญ่อลังการสุดๆ
สุดด้านทิศตะวันออกเป็นที่ตั้ง สุเหร่าอาบู อัลฮักกัก (Abu al-Haggag Mosque)
ที่ราชวงศ์ฟาติมิดสร้างขึ้น สุเหร่านี้ได้ชื่อมาจากนักบุญมุสลิมของเมืองลักซอร์
เมื่อแรกสร้างไม่มีใครรู้ว่าที่ตรงนั้นเป็นที่ตั้งวิหารเดิม เพราะจมอยู่ใต้ดินทรายที่ทับถมมาเป็นเวลานาน
เมื่อได้มีการขุดพบวิหาร สุเหร่าจึงอยู่สูงกว่าวิหาร สูงเด่นอยู่กลางวิหาร
ด้านในจะเห็นภาพแกะสลักจารึกเรื่องราวในอดีตต่างๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เยอะเท่าที่วิหารคาร์นักก็ตาม
และอีกหนึ่งเรื่องราวสำคัญของวิหารแห่งนี้คือ เมื่อยุคสงครามคาเดช (Qadesh) ระหว่าง
ฟาโรห์รามเสสที่ 2 กับพวกฮิตไทต์ ซึ่งจบลงด้วยการทำสัญญาสงบศึก โดยฟาโรห์รามเสสที่ 2
ทรงอภิเษกกับเจ้าหญิงฮิตไทต์เพื่อเป็นการให้คำมั่นว่าจะไม่ทำสงครามกันอีก
และได้มีรูปปั้นของทั้งสองพระองค์ตั้งอยู่ตรงด้านหน้าซุ้มประตูแห่งนี้ พูดได้ว่าฟาโรห์รามเสสที่ 2
มีบทบาทและความสำคัญต่อเมืองลักซอร์เป็นอย่างมาก
อีกหนึ่งกิจกรรมยามเย็นที่อยากให้ได้ลอง คือ การนั่งเรือใบเฟลุกกะล่องแม่น้ำไนล์
ยามอาทิตย์อัศดงไปเยือน เกาะบานานา (Banana Island) ที่อยู่กลางแม่น้ำ
เรือใบเฟลุกกะเป็นเรือโบราณของชาวอียิปต์ ที่ไม่มีเครื่องยนต์ อาศัยกระแสลมในการเคลื่อนที่
ค่าล่องเรือ 100 LE ใช้เวลาประมาณ 1 ชม ท่าเรือจะอยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์ลักซอร์ ครับ
แดดร่มลมตก วิวยามพระอาทิตย์ตก มองไปทางเทือกเขาธีบัน
ช่างเป็นบรรยากาศที่โรแมนติกสุดๆ ใครจะไปเชื่อว่าที่นี่คือ อียิปต์ ดินแดนกลางทะเลทราย
ถ้าไม่มีกระแสลมเรือใบจะแล่นได้มั้ย? คำตอบคือได้แต่ต้องมีตัวช่วย
เนื่องจากผมอยากสัมผัสประสบการณ์ที่ได้ล่องเรือไม่มีเครื่องยนต์ แต่กระแสลมก็ไม่แรงพอ
ที่เรือใบจะล่องออกไปได้ กัปตันเรือจึงใช้เรือยนต์ลากตอนขาไป
ส่วนขากลับปล่อยให้เจ้าเฟลุกกะลำนี้ล่องมาตามกระแสน้ำและแรงลมเอง
บอกเลยว่านิ่ง และเร็วมาก เผลอแปปเดียวถึงฝั่งแล้ว ><
เมื่อล่องเรือเฟลุกกะเสร็จ เดินออกจากท่าเรือเพื่อไปยังพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
พิพิธภัณฑ์ลักซอร์ (Luxor Museum) เป็นอาคารก่อด้วยอิฐแดงหันหน้าไปทางแม่น้ำไนล์
บริเวณด้านนอกแสดงรูปปั้นขนาดใหญ่ของกษัตริย์และฟาโรห์องค์สำคัญหลายยุคสมัย
ค่าเข้าชมคนละ 100 LE เปิดทุกวันแบ่งเป็น 2 ช่วงคือ 9.00-16.00 น. , 17.00-22.00 น.
นักเรียน นักศึกษาแสดงบัตรเสียครึ่งราคา ส่วนค่ากล้องต้องเสียเพิ่ม 50 LE ครับ
ภายในตัวอาคาร 2 ชั้น แสดงศิลปะสมบัติและโบราณวัตถุ ตั้งแต่ยุคฟาโรห์ไปจนถึงยุคสมัยมัมลุก
ห้องแรกที่พบคือห้อง Cachette Hall แสดงรูปปั้นที่ขุดพบจากใต้วิหารลักซอร์
รูปปั้นชิ้นที่น่าสนใจคือ สฟิงซ์ยุคตุตันคาเมน ทำด้วยหินอลาบัสเตอร์ และรูปแกะสลัก
จากหินแกรนิตสีชมพูเป็นเศียรของอาเมนโอเทปที่ 3 กับเทพฮอรัส ทำด้วยหินบะซอลต์
รูปปั้นฟาโรห์ฮอร์เอมเทปคุกเข่าอยู่หน้าเทพอามุน เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีสมบัติฟาโรห์ซึ่งได้มาจากหลุมฝังศพของฟาโรห์ตุตันคาเมน
ที่บริเวณหุบผากษัตริย์ เช่น ศีรษะวัวฝังทองคำของเทพีเมฮิต-วาฮิต
พระแท่นที่ใช้ในการทำมัมมี่ และเรือจำลองทำด้วยไม้ 2 ลำ
ในปีกตึกที่สร้างต่อเติมใหม่ เป็นที่เก็บโบราณวัตถุยุคเมืองธีปส์รุ่งเรืองชื่อห้อง Thebes Glory
จุดเด่นของพิพิธภัณฑ์ส่วนนี้คือ มัมมี่ของฟาโรห์อาโมซิสที่ 1 (Ahmosis I)
และมัมมี่ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นมัมมี่ของฟาโรห์รามเสสที่ 1 (Ramses I)
ส่วนลวดลายกำแพงตรงนี้ ทำได้สวยงามมากครับ เพราะในช่วงที่บางส่วนหลุดหาย
จะใช้เป็นการวาดแทนที่กระเบื้องแผ่นนั้นแทน งดงามมากครับ
พิพิธภัณฑ์ลักซอร์ ถึงแม้ว่าสมบัติและสิ่งของที่นำมาแสดงจะไม่ได้เยอะเท่าที่ไคโร
แต่ทุกชิ้นล้วนมีคุณค่าและความเป็นมาบ่งบอกถึงประวัติศาสตร์ในอดีตอันรุ่งเรืองได้เป็นอย่างดี
ถ้าได้มาเยือนลักซอร์ ลองหาเวลาสัก 1-1.5 ชม มาชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ดูนะครับ
เช้านี้ผมจะพาไปสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ ที่ไม่คิดว่าจะมีที่อียิปต์นี้
ก่อนหน้าเดินทางมา ผมได้หาข้อมูลและพบว่าที่เมืองลักซอร์ มีหนึ่งกิจกรรม
ที่นักท่องเที่ยวหลายคนต้องลอง ขึ้นบอลลูนชมวิวฝั่ง West Bank (Hot Air Balloons)
มีหลายเจ้าให้เลือก ผมเลือกใช้บริการของ Magic Horizon Balloons
ราคามีให้เลือกหลายแพ็คเกจ ผมเลือกแบบถูกที่สุดตกคนละ 60 USD ต่อ 1 ชม.
ในแพ็คเกจราคา 60 USD ต่อคนรวมอะไรบ้าง?
– รถตู้รับ-ส่งจากโรงแรมไปท่าเรือ
– เรือข้ามฟากไป-กลับ ฝั่ง West Bank พร้อมกาแฟ ชา ขนมปังเล็กน้อย
– รถตู้รับส่งจากท่าเรือไปจุดขึ้นบอลลูน
– ขึ้นบอลลูนนาน 1 ชม.
– ประกาศนียบัตรหลังจากจบจากกิจกรรมการขึ้นบอลลูน
เมื่อมาถึงจุดขึ้นบอลลูน ทางเจ้าหน้าที่จะจัดเตรียมจากแบบสอบถามที่ให้กรอก
เพื่อจัดให้แต่ละคนว่าลงกระเช้าใบไหน ตาม น้ำหนักและตามกรุ๊ป ช่วงนี้จะได้เห็นเจ้าหน้าที่
กำลังตั้งลำนำบอลลูนขึ้น เป็นช่วงที่คึกคักและร้อนพอสมควร
ก่อนขึ้นกัปตันจะบอกถึงขั้นตอนการเตรียมตัวทั้งตอนที่บอลลูนลอยขึ้นและลง
ขาลอยขึ้นไม่เท่าไร แต่ขาลงต้องฟังให้ดีๆ เพราะอาจเกิดอันตรายได้ครับ
Ready…Go Up Up Up!!! เพียงแปปเดียวบอลลูนก็ลอยขึ้นฟ้าแล้วครับ
กระเช้าบอลลูน 1 ลำ นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นได้ประมาณ 12-28 คน
ขึ้นอยู่กับแพ็คเกจราคาที่เลือกด้วย ยิ่งจำนวนคนน้อยราคายิ่งสูง
แต่สำหรับแพ็คเกจที่ถูกที่สุดที่ผมเลือกความจุต่อลำอยู่ที่ ประมาณ 28 คน
ผมถือว่าโชคดีมากๆที่ลมไม่แรง และได้เห็นวิวที่แปลกตาเหนือน่านฟ้าเมืองลักซอร์
ทั้งหุบผากษัตริย์ วิหารลักซอร์ หรือสุสานต่างๆที่สามารถมองได้จากมุมสูง
ซึ่งเป็นมุมที่สวยงาม แปลกตาไปอีกแบบ
การได้เห็นวิวพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าจากบนบอลลูนนี่ถือว่าโรแมนติกและฟินสุดๆ
ถามว่าคุ้มมั้ยที่รถมารับจากโรงแรมตั้งแต่ 3.50 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เช้ามากๆ
แต่ภาพชุดนี้คงแทนคำตอบนั้นได้ดีว่าคุ้มที่สุดเลยครับ
วิวบนบอลลูนที่ผมเห็นตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น จนพระอาทิตย์ขึ้นพ้นภูเขา
แสงแดดสะท้อนหุบเขาธีบัน ช่างเป็นมุมที่งดงามมากๆ ถ้าได้มองจากบนนี้
ลักซอร์ไม่ได้แห้งแล้ง ลักซอร์ยังมีทุ่งนา ทุ่งหญ้าสีเขียว จะต่างไปกับไคโรและกีซา
ลองชมภาพแบบซีรี่ย์ตอนอยู่บนบอลลูนลอยเหนือน่านฟ้านี้แบบ Non-Stop กันครับ
เวลา 1 ชม. ช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน กัปตันได้ประกาศให้เตรียมตัว
เพราะขณะนี้บอลลูนกำลังจะลงสู่ภาคพื้นดินแล้วครับ โดยกัปตันจะทำการวอไปยังเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดิน
เพื่อที่หาพิกัดที่จะนำบอลลูนลงพื้น โดยจะมีเจ้าหน้าที่อีกชุดคอยช่วยกันด้านล่าง
และแล้วช่วงเวลาสำคัญของการนำบอลลูนลงพื้นก็มาถึง…
ผลคือ ปลอดภัยดี ถึงแม้มีกระแทกนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้เจ็บอะไรครับ ^^
ขอแชะรูปคู่กับกัปตันคนเก่งที่พาชมวิวมุมสูงและกลับลงมาได้ปลอดภัย
พร้อมทั้งประกาศนียบัตรที่ทางบริษัทได้ให้ไว้เป็นที่ระลึกใบนี้ด้วยครับ
รถตู้มาส่งที่บริเวณข้ามเรือเพื่อกลับไปฝั่ง East Bank
ถ้ามาเส้นทางนี้จะรวดเร็วกว่ามาทางรถยนต์ประมาณ 40 นาที
บรรยากาศยามเช้า ณ ริมแม่น้ำไนล์ จะเห็นเรือข้ามฟากวิ่งรับ-ส่งชาวบ้าน
เรือนี้ใช้เวลาข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งประมาณ 5 นาที เรือจะวิ่งไม่เร็ว เน้นชิวๆครับ
กลับจากขึ้นบอลลูน ผมมาทานอาหารเช้าที่โรงแรมก่อนที่จะเริ่มออกเที่ยวในฝั่ง West Bank
ซึ่งได้นัดกับทาง Taxi ที่เหมาเที่ยวไว้ทั้งวัน วันละ 300 LE โดยโปรแกรมไปทั้งหมด 5 ที่
เริ่มออกจากที่พักตอน 8.30 น. (โปรแกรมและราคาอยู่ที่การเจรจา และเที่ยวให้เสร็จค่อยจ่ายเงิน)
เส้นทางรถจากฝั่งที่พักมาฝั่งตรงข้ามจะต้องข้ามสะพานที่ไกลออกไป
แต่ถ้าใช้วิธีนั่งเรือข้ามฟากจะใกล้กว่า เพราะท่าเรือจะอยู่ตรงข้ามวิหารลักซอร์
Taxi จากฝั่งโรงแรมมาถึงฝั่งนี้ใช้เวลาประมาณ 45 นาที
จุดแรกที่ผ่าน คือ เทวรูปยักษ์เมมนอน (Colossi of Memnon)
ตั้งอยู่ริมถนน สามารถมองเห็นได้แต่ไกล ไม่ต้องเสียค่าชม เป็นเทวรูปหินขนาดใหญ่สูง 18 เมตร
แต่ละรูปแกะสลักจากหินทั้งก้อน เป็นรูปฟาโรห์อาเมนโฮเทปที่ 3 ประทับนั่งบนบัลลังก์
เดิมเทวรูปทั้ง 2 นี้ตั้งอยู่หน้าวิหารประกอบพิธีศพของพระองค์ แต่เนื่องจากมีเหตุน้ำท่วม
วิหารจึงพังทลายไป เหลือแต่เทวรูปตั้งอยู่กลางทะเลทราย ต่อมาฟาโรห์องค์อื่นๆ
ได้นำหินที่สร้างวิหารประกอบพิธีศพของอาเมนโฮเทปไปสร้างวิหารของตน
คงเหลือแต่เทวรูปหินขนาดยักษ์นี้เอาไว้ที่เดิม
ไปต่อกันที่สถานที่ต่อไป พบกับความยิ่งใหญ่ของประวัติฟาโรห์ กับ หุบผากษัตริย์ (Valley of the Kings)
เป็นหุบเขาและเนินเขาที่อยู่ในพื้นที่กึ่งทะเลทราย เป็นสุสานที่ฝังศพฟาโรห์
ภายในบริเวณหุบผากษัตริย์บนเทือกเขาธีบัน พบสุสานแล้ว 64 หลุม มีทั้งห้องฝังพระศพ ห้องเก็บสมบัติ
และห้องที่ใช้เก็บสิ่งของต่างๆ ที่ใช้ในพิธีฝังศพ
สุสานแต่ละแห่งมีรหัสเรียกชื่อนำหน้าด้วยอักษร KV (King Valley) ตามด้วยตัวเลขตั้งแต่ KV1 – KV64
ราคาค่าเข้าชมคนละ 100 LE และมีตั๋วราคาพิเศษเพิ่มสำหรับการเข้าชมสุสานที่สำคัญอย่างของ
สุสานตุตันคาเมน ที่ต้องจ่ายเพิ่มอีก 100 LE (รายละเอียดดูได้จากหน้าห้องขายตั๋ว)
เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 17.00 น.
ด้านในหุบผากษัตริย์ค่อนข้างกว้างขวาง และแทบไม่มีที่ร่มเลยนอกจากภายในสุสาน
เพื่อเป็นการประหยัดพลังงานในการเดินชมและเลี่ยงแดดร้อน จะมีรถคอยให้บริการไปส่งที่ด้านหน้า
ระยะทางประมาณ 1 กม ค่ารถคนละ 4 LE (ไป-กลับ)
เมื่อมาถึงด้านหน้า จะมีการตรวจอย่างเข้มงวดอีกรอบ ด้านในห้ามถ่ายรูปนะครับ
ถ้ามีกล้องผมแนะนำให้ใส่กระเป๋าสะพาย ไม่ต้องคล้องคอไว้
ไม่อย่างนั้นต้องฝากกล้องทิ้งไว้ด้านหน้า ซึ่งที่ฝากก็เป็นแค่ชั้นเปิดโล่งๆ
แต่จริงๆแล้วด้านในสามารถถ่ายรูปได้ ถ้า!!! ให้ทิป (บัคชีพ) กับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลแต่ละสุสาน
เพราะผมเห็นชาวต่างชาติหลายคนทำกัน มีทั้งเป็นโลคอลไกด์ มีทั้งทำเป็นแอบไม่รู้ไม่เห็น
แล้วให้เราถ่ายภาพจากมือถือแบบแอบๆแทน เพื่อแลกกับทิปเพียงเล็กน้อย ประมาณ 10 LE
ด้านในจะมีสุสานที่สมบูรณ์อยู่เพียงไม่กี่แห่ง หนึ่งในนั้นเป็นของ สุสานฟาโรห์ตุตันคาเมน (KV62)
เป็นสุสานที่สมบูรณ์ที่สุด ห้องไว้พระศพทาสีทองอร่าม ภาพประดับผนังทั้งสี่ด้านในห้องไว้พระศพ
เป็นภาพฟาโรห์ตุตันคาเมนในผ้าห่อพระศพ ส่วนสมบัติฟาโรห์ตุตันคาเมนจำนวนกว่า 5,000 ชิ้น
ปัจจุบันกระจัดกระจายไปอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ทั่วโลก ที่มีอยู่มากที่สุด คือ พิพิธภัณฑ์อียิปต์ที่กรุงไคโร
หลายคนสงสัยว่าทำไมฟาโรห์ตุตันคาเมนถึงได้เป็นที่รู้จักและมีการพูดถึงบ่อยครั้ง
เนื่องจากเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ด้วยวัยเพียง 9 ปี และสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
และด้วยตัวสุสานของพระองค์ที่ถูกขุดพบยังมีสภาพที่สมบูรณ์ พบหน้ากากทองคำฟาโรห์อันสวยงาม
จึงเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่บอกเล่าเรื่องราวของอาณาจักรอิยิปต์โบราณได้เป็นอย่างดี
สุสานของรามเสสที่ 6 (KV9) สิ่งที่น่าสนใจในสุสานนี้เป็นสมบัติฟาโรห์ ภาพวาด
ภาพแกะสลักบนผนังของห้องฝังพระศพ และจารึกอักษรไฮโรกลิฟ ภาพวาดส่วนใหญ่ยังมีสีสันงดงาม
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนับพันปี ภาพที่พบเป็นภาพเทพเจ้า ภาพฟาโรห์ถวายเครื่องบรรณาการแด่เทพเจ้า
และคัมภีร์มรณะที่จะนำทางฟาโรห์ไปสู่โลกหลังความตาย
มาต่อกันที่ สุสานฟาโรห์ธุตโมซิสที่ 3 (KV34) เป็นสุสานแรกที่มีการขุดเจาะภูเขา
เพื่อทำเป็นสุสานฝังพระศพในหุบเขากษัตริย์ ที่อยู่บนที่สูงต้องขึ้นบันไดไปบนเนินเขา และ
ไต่บันไดลงมามุดเข้าสุสาน จุดเด่นของที่นี่เป็นภาพวาดบนผนังในห้องฝังพระศพ จารึกในคัมภีร์อัมดูอัต
เป็นคัมภีร์ที่ว่าด้วยการโคจรของสุริยเทพผ่านความมืดมิดของราตรีกาลในเวลา 12 ชั่วโมงของยามค่ำคืน
ก่อนที่เทพราจะเสด็จขึ้นสู่ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกในเช้าวันรุ่งขึ้น
ในหุบผากษัตริย์มีสุสานฟาโรห์หลายพระองค์ด้วยกัน แต่สุสานส่วนใหญ่อยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์นัก
สุสานแต่ละแห่งเจาะลึกเข้าไปในภูเขาเป็นห้องยาวๆ วกวนไปมา และสมบัติฟาโรห์ที่พบในสุสาน
จะถูกย้ายออกไปอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ทั้งในและนอกประเทศจนเกือบหมด
ถ้าจะชมให้ทั่วครบทุกสุสานในนี้คงต้องใช้เวลาเป็นวันๆกันเลย ส่วนผมขอเลือกชม
เฉพาะไฮไลท์เพราะยังต้องเดินทางไปอีกหลายที่ ในฝั่ง West Bank นี้ครับ ^^
ไปดูประวัติฝั่งฟาโรห์ชายมาแล้วที่อียิปต์ยังเคยมีฟาโรห์หญิงที่ปลอมเป็นผู้ชายมาแล้วด้วย
วิหารฮัตเซปซุต (Temple of Hatshepsut) เป็นวิหารประกอบพิธีศพของฟาโรห์หญิงฮัตเซปซุต
ด้านหลังวิหารเป็นหน้าผาหินสูง 300 เมตร ของเทือกเขาธีบันโอบล้อมเป็นฉากหลัง มีอายุกว่า 3,500 ปี
วิหารประกอบพิธีศพของฟาโรห์หญิงแห่งนี้เป็นวิหาร 3 ชั้น เล่นระดับ แต่ละชั้นมีระเบียงด้านหน้า
ภายในมีภาพแกะสลักและคำจารึกเฉลิมฉลองความสำเร็จในรัชสมัยของพระนาง
วิหารฮัตเซปซูตเป็นอนุสรณ์สถานที่สง่างามที่สุดในดินแดนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์
วิหารแห่งนี้เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่ 8.00 – 17.00 น. ราคาคนละ 50 LE
และมีรถคอยให้บริการไปส่งด้านหน้าวิหาร ระยะทางประมาณ 500 เมตร ค่ารถคนละ 2 LE (ไป-กลับ)
ในบริเวณนี้มีวิหารประกอบพิธีศพของฟาโรห์ 3 พระองค์ด้วยกัน วิหารแรกที่เหลือแต่ซากปรักหักพัง
เป็นวิหารประกอบพิธีศพของฟาโรห์เมนทู-โฮเทปที่ 2 (Mentuhotep II)
วิหารที่ 2 คือวิหารฮัตเซปซุตที่สง่างามสมบูรณ์แบบมากที่สุด และเมื่อ 70 ปีที่แล้ว
ก็ขุดพบวิหารประกอบพิธีศพของฟาโรห์ธุตโมซิสที่ 3 อีกวิหารหนึ่ง
วิหารแห่งนี้มีความสัมพันธ์กับเทพีฮาธอร์ เทพเจ้าองค์สำคัญของเทือกเขาธีบัน
บนชั้น 2 ของวิหาร มีห้องบูชาเทพีฮาธอร์ ตกแต่งด้วยเสาที่หัวเสาแกะสลักเป็นรูปเทพีฮาธอร์
ผนังในห้องตกแต่งด้วยภาพฟาโรห์ฮัตเซปซุตกับเทพีฮาธอร์
และบนชั้น 3 ของวิหาร
มีเสาเทวรูปขนาดใหญ่ของฟาโรห์หญิงฮัตเซปซูตในฉลองพระองค์ชุดเทพเจ้าโอซีริส
ประทับยืนเอามือไขว้กันบนหน้าอกอยู่หน้าทางเข้าห้องโถงซึ่งเคยเป็นที่บูชาเทวรูปเทพเจ้าโอซีริส 24 องค์
แต่ปัจจุบันเทวรูปเหล่านี้ได้ถูกทำลายไปเกือบหมด เหลือเพียงไม่กี่องค์เท่านั้น
ว่ากันว่า ฟาโรห์หญิงฮัตเซปซุตเป็นสตรีที่ทรงอำนาจที่สุดในโลกยุคนั้น และทรงเป็นนักปกครองที่เก่งกาจ
ทั้งด้านศิลปะ การค้า และการต่างประเทศ ตลอดเวลาที่ทรงครองราชย์เป็นเวลานานกว่า 20 ปี
ทรงทำให้อียิปต์รุ่งเรือง จนกระทั่งได้รับการยกย่องให้เป็นฟาโรห์หญิงองค์แรกและองค์เดียวของแผ่นดิน
ลักษณะเด่นของพระนาง คือ การแต่งพระองค์เวลาเสด็จออกราชการ ทรงฉลองพระองค์เหมือนฟาโรห์
สวมเคราปลอมเหมือนบุรุษและเครายาวลงมาจนถึงหน้าอก จนได้ชื่อว่าเป็นราชินีมีเครา
วิหารแห่งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ผมชอบมากๆ ถึงแม้แทบจะไม่มีที่ร่ม แต่ห้ามพลาดที่จะมาชมครับ
ถึงช่วงพักเที่ยง พักเบรคให้หายเหนื่อยกันก่อน คนขับ Taxi ได้พามาทานร้านอาหารแบบโลคอล
อย่าถามผมนะครับว่าชื่อร้านอะไร เพราะป้ายหน้าร้านมีแต่คำว่า “Restaurant” ><
สั่งเป็นอาหารพื้นเมือง เซ็ตไก่มาคนละชุด ราคาก็ไม่มีแต่พอจ่ายเงินทีก็ตกใจ ชุดละ 100 LE
ความอร่อยใช้ได้ ไก่อร่อยดี ซุปมะเขือเทศก็ใช้ได้ แต่เสียดายที่ไม่มีราคาบอกก่อนเนี่ยแหล่ะ
ชาวอียิปต์โบราณเชื่อกันว่าทิศตะวันตกเป็นทิศของคนตาย จึงนำศพคนตายไปฝังไว้ทางฝั่งตะวันตก
ของแม่น้ำไนล์ บริเวณนี้จึงมีสุสานอยู่เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะสุสานของฟาโรห์หลายพระองค์
พื้นที่บริเวณนี้จึงมีชื่อว่า นครแห่งความตาย (City of the Dead) หรือ West Bank
ในบริเวณนครแห่งความตายประกอบด้วย หุบผากษัตริย์ที่รวมสุสานฟาโรห์ (Valley of the Kings)
หุบเขาราชินี (Valley of the Queens) รวมถึงวิหารฮัตเซปซุต
ทั้งหมดที่กล่าวมาต้องซื้อตั๋วจากด้านหน้าทางเข้าเท่านั้น ที่เหลือไม่ว่าจะเป็นวิหารต่างๆหรือสุสานขุนนาง
ต้องซื้อล่วงหน้าที่ห้องขายตั๋ว (Antiquities Inspectorate Ticket Office)
ที่อยู่เลยด้านหลังเทวรูปยักษ์ (Collosi of Memnon) ใกล้กับวงเวียน โดยจะมีราคาค่าเข้าชม
แต่ละสถานที่ติดอยู่ด้านหน้า ย้ำ!!! อีกครั้ง ต้องซื้อที่นี่เท่านั้น เพราะด้านหน้าไม่มีขายตั๋วนะครับ
หลังจากวางแผนและซื้อตั๋วเสร็จเรียบร้อย ก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่ต่อไปซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่ซื้อตั๋ว
วิหารประกอบพิธีศพฟาโรห์ฟาโรห์รามเสสที่ 3 (Medinet Habu หรือ Habu Temple)
ฟาโรห์รามเสสที่ 3 เป็นฟาโรห์องค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์ที่ 20 พระองค์ทรงเป็นฟาโรห์นักรบองค์สุดท้าย
ของสมัยอียิปต์โบราณ เปิดให้ชมทุกวันตั้งแต่เวลา 8.00 – 17.00 น. ค่าเข้าชมคนละ 40 LE
ทางเข้าของวิหารจะต้องเดินผ่านหอคอยทรงสูง เป็นการสร้างเลียนแบบป้อมปราการ
ของพวกซีเรียในสมัยที่พระองค์ออกไปทำสงครามในบริเวณนั้น
ด้านหน้าเป็นซุ้มประตูวิหารหรือไพลอน ซึ่งวิหารหลังนี้มีทั้งหมด 2 ไพลอน ถัดจากไพลอนเข้าไป
จะเป็นลานกลางวิหาร ห้องโถงเสา จนไปถึงห้องบูชาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอยู่ด้านในสุด
ภาพแกะสลักบนไพลอนแสดงให้เห็นว่าฟาโรห์รามเสสที่ 3 กำลังสังหารศัตรูต่อหน้าเทพอะมุน
ซึ่งบนคานของไพลอนนี้ยังคงเห็นภาพแกะสลักที่มีสีสันสวยงามอยู่
ถัดจากไพลอนจะเป็นลานกลางวิหาร โดยรอบของลานนี้จะเป็นเสาระเบียง
มีรูปสลักฟาโรห์รามเสสที่ 3 ในร่างของเทพโอซิริสประดับอยู่ด้วย
จะสังเกตได้ว่าลวดลาย และสีสันที่วิหารแห่งนี้ ยังคงความงดงามและความชัดของลวดลายไว้อยู่
ตามเสาและผนังจะแกะสลักตกแต่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเทพเจ้าต่างๆ
ภาพแกะสลักหลายภาพยังคงมีสีสันสวยงามมาตั้งแต่ครั้งอดีต
ด้วยลวดลายที่ชัดแบบหาดูที่ไหนไม่ได้ ที่นี่เป็นอีกหนึ่งวิหารที่ไม่ควรพลาดมาชมครับ
ด้านหลังเสาทรงสี่เหลี่ยมจะเป็นลานเสาทรงกลมขนาดใหญ่ซึ่งยังคงมีสีสันและลวดลายที่สวยงาม
ทำให้จินตนาการไปได้ว่า ในสมัยก่อนวิหารหลังนี้คงจะสวยงามและอลังการมาก
สมกับเป็นวิหารแห่งฟาโรห์ที่คงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ตามพระประสงค์ของพระองค์
ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของสุสานกษัตริย์ที่พบเห็นได้ทั่วมาแล้ว มาเที่ยวกันต่อกับสถานที่ต่อไป
สุสานขุนนาง (Dir El Madina Temple and Tombs)
เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 6.00 – 17.00 น. ค่าเข้าชมคนละ 40 LE ที่นี่ไม่ให้ถ่ายรูปนะครับ
แต่ถ้าอยากจะถ่ายรูปก็ต้องทิปนิดหน่อยกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลด้านในสุสาน ><
สุสนขุนนางได้ถูกพบทั่วอียิปต์ แต่สุสานที่ฝั่งตะวันตกของเมืองลักซอร์ได้รับการรักษาไว้ดีกว่าที่อื่น
ในขณะที่สุสานฟาโรห์ได้เข้าไปอยู่ในที่ลึกลับซับซ้อนในหุบผากษัตริย์ของเทือกเขาธีบัน
แต่ที่ฝังศพของขุนนางของราชสำนักจะอยู่ในระนาบเดียวกันกับพื้นดิน สามารถมองเห็นได้ง่าย
สุสานขุนนางมีหลุมศพประมาณ 400 หลุม ในขณะที่ฟาโรห์ตกแต่งสุสานด้วยสมบัติฟาโรห์
ภาพเทพเจ้า ภาพการเข้าเฝ้าถวายเครื่องบรรณาการเทพเจ้า
แต่สุสานขุนนางกลับตกแต่งด้วยสิ่งดีๆ ในชีวิตของโลกนี้ เพื่อจะได้นำติดตัวไปถึงโลกหน้า
ภาพเขียนที่ปรากฏจึงเป็นภาพแห่งความสุขของชีวิตในราชสำนักและภาพของสังคมชั้นสูงในอียิปต์
สถานที่เที่ยวส่งท้ายก่อนกลับที่มีประวัติและผู้คนต่างรู้จักชื่อของฟาโรห์องค์นี้ คือ
วิหารของรามเสสที่ 2 (Remesseum) เป็นวิหารประกอบพิธีศพของฟาโรห์รามเสสที่ 2
พระองค์ทรงสร้างวิหารประกอบพิธีศพของพระองค์ขึ้นบนที่ตั้งวิหารเดิมของฟาโรห์เซติที่ 1
วิหารแห่งนี้มีขนาดใหญ่โตมาก ใช้เวลาสร้างนานถึง 20 ปีจึงจะสำเร็จ
ปัจจุบันแทบทุกสิ่งที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีตกลายเป็นซากพังไปหมด สิ่งที่น่าสนใจของวิหารรามเสสที่ 2 คือ
ภาพแกะสลักบนซุ้มประตู ที่เล่าเรื่องชัยชนะของอียิปต์ต่อชาวฮิตไทต์ในการรบที่เมืองดาปูร์
ที่นี่เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 6.00 – 17.00 น. ค่าเข้าชมคนละ 40 LE
หลังจากเที่ยวฝั่ง West Bank เกือบครบ ผมก็เตรียมตัวกลับมาโรงแรมเพื่อเก็บของ
และเตรียมตัวไปขึ้นเครื่องที่สนามบินต่อเลย ไฟลท์บินขากลับ ผมเช็คอินแบบ Fly Thru
สัมภาระที่โหลดใต้ท้องเครื่องจะไปถึงที่ไทยเลยโดยไม่ต้องนำมาเช็คอินใหม่อีกรอบ
Boarding Pass ก็มีให้ 2 ใบเลย เพิ่มความสะดวกสบายในการต่อเครื่องค่อนข้างมากครับ
จากลักซอร์มาไคไรเป็นเครื่องแบบเดิมเหมือนขามา ผังที่นั่งเป็นแบบ 2-2
ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชม. ก็ถึงสนามบินที่ไคโร และเดินตามป้าย Transit
ดูเกทของไฟลท์ที่จะเดินทาง เพื่อที่จะต่อเครื่องกลับไทยได้เลยครับ
ระยะเวลาในการ Transit ไม่นานจนเกินไป พอให้เดินซื้อของช้อปปิ้งที่สนามบิน
และทานอาหารได้สักมื้อ จากนั้นเจ้าหน้าที่ประกาศเรียกขึ้นเครื่อง ไฟลท์บินกลับไทยวันนี้
ยังเป็นเหมือนขามา เพราะยังอยู่ในช่วงถือศีลอดเลยใช้เครื่องลำเก่า
ผังที่นั่งเป็นแบบ 2-4-2 มีอาหารให้ 2 มื้อ สามารถ Request เมนูพิเศษได้และ
สามารถเช็คอินล่วงหน้าได้จากทางหน้าเว็บไซท์ของ Egypt Air -> www.egyptair.com
เพียง 9 ชม. เครื่องบินได้มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ
เป็นทริปที่ใช้ระยะเวลาไม่นาน แต่เต็มอิ่มกับประวัติศาสตร์ของอียิปต์พอสมควรครับ
ผมจะขอสรุปประเทศอียิปต์แบบสั้นๆกระชับได้ใจความตาม 10 ข้อด้านล่าง
แล้วบางทีคุณอยากจะมาสัมผัสเองเหมือนที่ผมพบเจอก็เป็นได้…
- ประเทศที่มีสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่างพีระมิดตั้งตระหง่านกลางทะเลทราย
- ประเทศที่มีเรื่องลึกลับชวนให้ค้นหา แม้กระทั่งปัจจุบันเทคโนโลยีไปไกล
แต่ก็ยังไม่มีใครรู้เบื้องลึกของประเทศนี้อย่างชัดแจ้ง - ประเทศที่มีฝนตกใน 1 ปี ไม่ถึง 10 วัน ที่เหลือคือแดดเปรี้ยงกับหนาวสุดขั้ว
เป็นแบบนี้แล้วใครไปอียิปต์เจอฝนนี่ถือว่าโค-ตะ-ระ โชคดีเลยนะจะบอกให้ - ประเทศที่อยู่ในทวีปแอฟริกาแต่มีความเป็นเอเชียและอาหรับจ๋า
จนคิดว่านี่เรามาเที่ยวผิดประเทศหรือเปล่าเนี่ย (ก็แอบคล้ายจริงๆ) - ประเทศที่สะอาดกว่าอินเดีย ขอทานน้อยกว่า ปลอดภัยกว่ายุโรปและ
ไม่ต้องกังวลเรื่องโจรขโมยเพราะประเทศนี้เค้ากฎหมายรุนแรงมากกกก - ประเทศที่ค่าครองชีพไม่แพง ลองแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทยแล้ว 1 LE = 1.9 THB
- ประเทศที่ค่าน้ำมันถูกมากกก แหม่ๆๆๆก็เพราะเค้าส่งออกน้ำมันซินะ
ก็ตกลิตรละ 5 LE = 9.5 บาท แต่อย่าคิดเช่ารถขับเองเลย จะหาว่าไม่เตือน!!! - ค่าใช้จ่ายที่ผมใช้ไปในทริปนี้อยู่ที่คนละประมาณ 20,000 บาท
ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน ทั้งจากไทยและภายในประเทศอียิปต์เอง - อาหารที่นี่เน้นแป้ง แป้ง และก็แป้ง แป้งทุกมื้อ และคงไม่เหมาะกับคนเป็นเก๊าต์
เพราะเนื้อสัตว์ที่นี่เน้นไก่มากกว่าเนื้อวัวซะอีก >< - จดลิสต์ชื่อประเทศอียิปต์ว่าต้องไปให้ได้สักครั้งเถอะ…เชื่อผม ^^
ความทรงจำในทริปสั้นๆที่ได้ #บันทึกเที่ยว ไว้ในทริปนี้ เป็นความทรงจำที่ไม่อาจลืม
เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ บนแผ่นดินประเทศใหม่ที่ผมเพิ่งเคยไปสัมผัส
ล้วนเป็นความทรงจำดีๆ ทั้งหมดที่คอยช่วยเหลือและช่วยพาให้ทริปนี้ผ่านไปอย่างราบรื่นผมต้องขอบคุณน้องๆคนไทยที่ไปเรียนศาสนาที่นั่นที่ช่วยพวกผมพาเที่ยวครึ่งทางแรก
ขอบคุณอีกหนึ่งผู้ร่วมเดินทางคู่กับผม ที่คอยพยุงในช่วงครึ่งทริปหลังให้ผ่านไปได้ด้วยดี
และ ขอบคุณทางสายการบิน Egypt Air ที่คอยประสานงานอยู่ตลอดในช่วงที่เดินทาง
ขอบคุณชาวอียิปต์ ที่มองดูแล้วไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่ด้วยภาพลักษณ์
และข่าวที่ออกไปหลายคนเลยมองว่าผู้คนและประเทศนี้น่ากลัว จึงไม่กล้ามา
แต่ผมได้สัมผัสความเป็นอยู่ของคนที่นี่และบอกได้ว่า “อียิปต์…ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด”
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^