“ประเทศที่ไม่ได้หรูเลิศเหมือนยุโรป ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนเอเชีย
ไม่ได้ไฮเทคอย่างอเมริกา แต่ล้ำค่าในเชิงประวัติศาสตร์…ประเทศอียิปต์ (Egypt)”
หลายๆคนเคยได้ยินชื่อและฝันว่าอยากมาเห็นกับตาสักครั้งกับมหาพีระมิด
ผมเองก็เช่นกัน ประเทศนี้มีมนต์เสน่ห์น่าค้นหา มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์
มีความลึกลับที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ผืนทะเลทรายอันกว้างใหญ่
สิ่งที่ได้รับรู้ในข้อมูล บางทีอาจไม่เพียงพอต่อการเปิดประสบการณ์เห็นของจริง
ทริปนี้ผมใช้เวลาเที่ยวเพียง 5 วัน เก็บข้อมูลที่เที่ยวหลักๆได้เพียง 3 เมือง
โดยแบ่งเป็น 2 ตอนในตอนที่ 1 พูดถึง เมืองหลวงไคโร และกีซ่ามหาพีระมิดอันยิ่งใหญ่
ส่วนตอนที่ 2 จะพาไปขึ้นบอลลูนและเจาะลึกประวัติศาสตร์กษัตริย์อียิปต์ที่ลักซอร์
พร้อมที่จะออกไปตามหากุญแจ ที่จะนำพาไปไขความลับสู่อดีตกันแล้วหรือยังครับ?
“อียิปต์…ดินแดนแห่งไอยคุปต์เหนือทะเลทราย”
ประเทศอียิปต์ เป็นประเทศในทวีปแอฟริกา มีแม่น้ำไนล์ไหลผ่าน
คอยหล่อเลี้ยงเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของชาวอียิปต์
แต่เดิมประเทศนี้ได้แบ่งเป็น 2 อาณาจักร และต่างนับถือเทพเจ้าคนละองค์
โดยอียิปต์บนมีเทพผู้พิทักษ์ชื่อ Nekhbet (นกแร้ง)
ส่วนอียิปต์ล่างมีเทพผู้พิทักษ์ชื่อ Wadiyt (งูเห่า)
ต่อมา King Menes สู้รบชนะและสามารถรวมอียิปต์ทั้ง 2 อาณาจักรเข้าด้วยกันได้
และได้ตั้งตนเป็นฟาโรห์องค์แรก และทรงตั้งเมือง Memphis เป็นเมืองหลวง
ในยุคนี้ชาวอียิปต์โบราณจึงบูชาเทพเร หรือสุริยเทพ เป็นหลัก
จึงจะเห็นได้ว่าตามกำแพงหรือวิหารฟาโรห์จะมีภาพวาดของเทพอยู่เต็มไปหมด
เพราะด้วยพื้นฐานความเชื่อของชาวอียิปต์ที่ปลูกฝังมาตั้งแต่อดีตกาล
Egypt Air
ครั้งนี้ผมเดินทางแบบ Multi Destination ซึ่งสามารถทำการจองผ่านเว็บไซท์ของสายการบิน
โดยเส้นทางที่ผมเดินทางคือ ขาไป BKK – Cairo นอนไคโร 2 คืน
Cairo – Luxor นอนลักซอร์ 1 คืน
ขากลับเป็น Luxor – Cairo – BKK ซึ่งเป็นไฟลท์ Fly Thru ต่อมาถึง กทม เลยครับ
ผู้โดยสารสามารถเช็คอินล่วงหน้าผ่านทางเว็บไซท์ของ Egypt Air มาก่อนได้เลย
และมาโหลดสัมภาระที่หน้าเค้าเตอร์อีกที จะช่วยประหยัดเวลาได้ค่อนข้างมาก
เว็บไซท์ Egypt Air –> http://www.egyptair.com
จากกรุงเทพฯ บินตรงสู่ไคโร เมืองหลวงของประเทศอียิปต์ ปัจจุบันมีเพียง Egypt Air สายการบินเดียว
ที่บินตรงไม่จอดแวะพักที่ไหนยาวรวดเดียวประมาณ 9-10 ชม
ขาออกจาก กทม จะมีไฟลท์บินทุกวันอาทิตย์ , วันพุธ และวันศุกร์
ส่วนขาออกจากอียิปต์ จะมีไฟลท์บินทุกวันจันทร์ , วันพุธ และวันศุกร์
โดยเครื่องที่ใช้จะเป็นรุ่น Airbus A330-300 มีทั้ง Business Class และ Economy Class
Egypt Air เป็นหนึ่งในสมาชิกของเครือ Star Alliance ผู้โดยสารชั้นธุรกิจจะสามารถใช้เล้าจน์
ในเครือของ Star Alliance ได้ทั้งหมด คราวนี้ผมเลยมาลองเข้าเล้าจน์ของ EVA Air
ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกของ Star Alliance ด้วยเช่นกัน
*** ผมเป็นผู้โดยสารชั้นประหยัด แต่ที่สามารถเข้าเล้าจน์ได้เนื่องจากทางสายการบิน Egypt Air
เป็นคนประสานงานให้เข้าไปถ่ายภาพด้านในครับ ***
เพื่อนๆหลายคนอาจจะคุ้นตากับเล้าจน์ของการบินไทย หรือ Royal Silk
แต่ถ้าได้มาลองเล้าจน์ของ EVA Air คงต้องชอบแน่ๆ เนื่องด้วยเล้าจน์เพิ่งมีการปรับปรุงใหม่
สไตล์การตกแต่งด้านในจะเน้นแนวโมเดิร์นทันสมัย เน้นแสง สี
จำนวนที่นั่งก็มีให้ค่อนข้างมาก โถงกว้างขวาง มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบครัน
ทั้งห้องอาบน้ำ เก้าอี้นวด คอมพิวเตอร์ และห้องส่วนตัว VIP
ส่วนอาหารก็…อิ่มพุงแตก มีหลากหลายเชื้อชาติทั้งสปาเก็ตตี้ พิซซ่า ขนมจีบ ซาลาเปา
เครื่องดื่มมีเบียร์สดด้วยนะ แต่ผมไม่สามารถโพสรูปลงในนี้ได้ ><
และที่ชอบที่สุดคือของหวาน ทีเด็ดคือไอศกรีมแม็กนั่มแบบแท่งและ Swensens แบบถ้วย
เอิ่ม…เติมไม่อั้น พร่องนิดนึงปุ๊บ เจ้าหน้าที่รีบมาเติมทันที แล้วจะช้าอยู่ทำไม หยิบซิครับ ^^
ทานอิ่ม พักผ่อน แล้วก็เตรียมตัวขึ้นเครื่องเพื่อเดินทางไปอียิปต์ต่อ
ช่วงที่ผมเดินทางเป็นช่วงถือศีลอดของชาวมุสลิม ดังนั้นเครื่องลำที่ผมนั่งจะไม่ใช่แบบทั่วไป
จะใช้เครื่อง Airbus A330-200 ซึ่งเป็นรุ่นเก่ากว่าที่ใช้ในปัจจุบันนำมาใช้บินแทน
ย้ำนะครับ!!! แค่ช่วงถือศีลอดเท่านั้น เพราะปกติใช้เครื่อง Airbus A330-300 ซึ่งใหม่กว่านี้
ผังที่นั่งจะเป็น 2-4-2 ไม่มีจอ PPTV ส่วนตัว แต่มี Amenity Kit มีผ้าห่ม หมอนรองคอให้
ความกว้างของช่องระหว่างขาค่อนข้างกว้าง นั่งไม่อึดครับ
อาหารบนเครื่องเสิร์ฟ 2 มื้อ มื้อแรกมีให้เลือกระหว่างไก่กับปลา ส่วนมื้อที่ 2 จะเป็นออมเล็ทเบาๆ
ส่วนเครื่องดื่มมีบริการตลอดเวลา แต่ไม่มีแอลกอฮอล์นะครับ ^^
Prepare
หลังจากเตรียมการเรื่องตั๋วเดินทางไปกลับเรียบร้อย สิ่งหนึ่งที่ขาโซเชียลอย่างผมขาดไม่ได้
คือ Pocket Wifi รอบนี้ผมใช้บริการของ Smile Wifi ซึ่งมีอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
ชั้นใต้ดิน ตรงทางเข้ารถไฟฟ้า Airport Link สามารถจองล่วงหน้าและไปรับได้ที่นั่นเลย
เว็บจองแพ็คเก็ต Pocket Wifi –> http://www.smilewifi.com/
ค่าบริการวันละ 380 บาท Internet 4G วันละ 500 MB ถ้าหมดปรับสปีดลงเป็น 3G
นอกจากสัญญาณดี แรง ชัด แม้กระทั่งตอนอยู่บนบอลลูนผมยังสามารถ Live FB ได้
อีกหนึ่งฟังก์ชั่นที่มีให้คือการโทรกลับประเทศไทยฟรี โดยผ่านแอพ ChaiyoCall
โหลดแอพนี้มา กด 00 แทนที่ 66 และตามด้วยเบอร์โทรออกได้เลย
นอกจากโทรฟรีแล้ว เบอร์ปลายทางที่รับสายยังขึ้นเป็นเบอร์มือถือของเราด้วยนะ
ไม่ได้ขึ้นเป็นเบอร์แปลกๆ เหมือนตอนโรมมิ่งที่โทรกลับมาไทย
เสื้อผ้าก็มีส่วนสำคัญมากในการเดินทางทริปนี้ เพราะอุณหภูมิช่วงที่ผมเดินทางไปอียิปต์นี้
จะอยู่ที่ 37-40 องศา ซึ่งถือว่าร้อนและแห้งมาก ตัวช่วยหนึ่งก็คือเสื้อผ้าจาก Wrangler
ที่มีนวัตกรรมใหม่ Inficool ยีนส์ไม่กลัวร้อน มีทั้งเสื้อยืด เสื้อแจ็คเก็ต และกางเกงยีนส์
ทั้งของผู้ชายและผู้หญิงเลยครับ หลังจากที่ได้ลองสวมใส่ออกทริปมาแล้ว
ความรู้สึกที่ได้คือเสื้อผ้ามีการระบายเร็ว ไม่เปียกชื้น แห้งง่าย
ลองหามาใช้ซักชุดระหว่างออกทริปที่หลีกเลี่ยงอากาศร้อนๆแบบนี้ไม่ได้ดูนะครับ
เงินทองก็สำคัญแนะนำให้แลกเป็นสกุล USD จากไทยมาก่อนแล้วค่อยมาแลกที่สนามบิน
หรือจะแลกในตัวเมืองก็ได้เรทที่ไม่ต่างกันมาก ปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 LE = 1.9 THB
Visa
สำหรับคนไทยที่จะเดินทางไปเที่ยวจะต้องทำ Visa ก่อนเดินทาง
พำนักได้นาน 14 วัน ใช้เวลายื่นรวมได้รับเล่มคืนประมาณ 5-10 วันทำการ
สถานที่ทำ Visa – สถานทูตอียิปต์ประจำประเทศไทย อยู่ที่อาคารสรชัย ชั้น 31 ใกล้สถานี BTS เอกมัย
ยื่นเอกสารและชำระเงิน – วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30-12.00 น.
รับเล่มวีซ่า – วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 14.00-15.00 น.
เอกสารที่ต้องเตรียม – 1. แบบคำร้องขอวีซ่า –> Visa Application Form
2. Passport ฉบับจริง และสำเนา Passport 1 ฉบับ
3. รูปถ่ายพื้นหลังขาว 2 นิ้วจำนวน 1 รูป
4. จดหมายรับรองการทำงานภาษาอังกฤษ
5. ใบจองตั๋วเครื่องบิน และใบจองที่พัก
6. หนังสือรับรองฐานะทางการเงิน
ค่าธรรมเนียมการขอ Visa – 2,100 บาท ไม่ต้องทำการจองนัดหมายล่วงหน้านะครับ
เพียง 9 ชม เครื่องบินจากกรุงเทพฯ ได้เดินทางมาถึงสนามบินเมืองไคโร
การเดินทางเข้าเมืองนั้นมีทั้ง Airport Shuttle Bus กับ Taxi
แต่ด้วย รร ที่ผมเข้าพักนี้ถ้าจองขั้นต่ำ 2 คืน เค้าจะส่ง Taxi มารับฟรีถึงสนามบินเลยครับ
ก็ถือว่าประหยัดค่ารถ Taxi ไปต่อนึง ^^
ไคโร (Cairo)
มีฉายาว่า “A City of a Thousand Minarets” เพราะมีสุเหร่าและมินาเรต์
หรือหอเรียกสวดประจำสุเหร่าอยู่ทั่วเมือง ภาพโดมที่ปรากฏอยู่เหนืออาคารบ้านเรือน
จึงเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของที่นี่ กรุงไคโรได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของโลกอาหรับ
และเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลางและแอฟริกาอีกด้วย
ไคโรครอบคลุมพื้นที่สองฝั่งแม่น้ำไนล์ ล้อมรอบด้วยทะเลทรายประมาณ 90%
และอยู่ติดกับพีระมิดแห่งกีซาสถานที่โด่งดัง ที่ใครมาอียิปต์แล้วต้องไม่ควรพลาด ^^
ระหว่างทางจากสนามบินเข้าตัวเมืองไคโรก็ได้ข้ามแม่น้ำไนล์
พี่คนขับ Taxi ใจดีเลยจอดแวะให้ถ่ายรูปจากบนสะพานแห่งนี้ด้วย
ไคโรแบ่งพื้นที่ตามประวัติศาสตร์ได้เป็น 3 ย่านหลักๆ ได้แก่
ย่านใจกลางเมือง , ย่านเมืองเก่า (Old Cairo) และ ย่านเมืองใหม่ (New Cairo)
ซึ่งเมืองใหม่นี้ได้มีการพัฒนาที่เจริญมากขึ้นแบบผิดหูผิดตาเลยทีเดียว
ส่วนที่เห็นด้านหน้าที่มองไปจากสะพานแห่งนี้เป็น
ชุมชนอียิปต์โบราณ (Old Cairo) ชุมชนโบราณ
ก่อนที่ไคโรจะเป็นเมืองหลวง มีบรรยากาศของเมืองในยุคกลาง
สิ่งก่อสร้างที่เป็นโบราณสถานสถาปัตยกรรมยุคโรมัน
จากนั้นก็มุ่งหน้าเดินทางต่อเพื่อไปเช็คอินเข้าที่พักในย่านกีซา
ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากสนามบินมาประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชม ครับ
การเดินทางในไคโรมีทั้งรถเมล์ รถไฟฟ้าใต้ดิน แต่ผมเลือกใช้ Taxi ไปในแต่ละจุด
ราคาขึ้นอยู่กับการต่อรอง ที่นี่ Taxi มี Meter ก็แทบไม่ได้ใช้กัน
บางคันก็เปิดหน้าต่างปิดแอร์วิ่งทั้งที่เป็นเมืองร้อน แต่ถ้าบอกเค้าก็จะเปิดแอร์ให้นะครับ
ส่วนเรื่องการโกงของ Taxi ทั้งทริปผมยังไม่เจอ Taxi โกงหรือหลอกอะไร
มีแต่อย่างมากคือขอทิปเพิ่ม ส่วนหลอกไปที่อื่นผมไม่โดนนะครับ
แต่ก่อนขึ้นควรต่อรองทั้งสถานที่และราคาให้เรียบร้อยก่อน และเมื่อถึงที่ค่อยให้เงิน
จากที่พักย่าน Giza เรียก Taxi มาในไคโร จากที่ต่อรองราคาได้คือเที่ยวละ 100 LE
ผมมีน้องๆคนไทยอีก 2 คน ที่ไปเรียนศาสนาอยู่ที่ไคโร ที่เดินทางไปเที่ยวกับผมด้วย
แต่เฉพาะแค่ในไคโรกับกีซาเท่านั้นครับ ซึ่งน้องๆ 2 คนนี้ผมได้รับการติดต่อจากทาง Egypt Air
ที่มอบทุนให้นักเรียนไทยได้ไปศึกษาศาสนาที่ประเทศอียิปต์แห่งนี้ทุกปี
สถานที่แรกที่ผมจะมาเที่ยวในอียิปต์ เมืองไคโรแห่งนี้คือ ซิทาเดล (Citadel)
เปิดทุกวัน 9.00-16.00 น. ค่าเข้าชมคนละ 60 LE (นักเรียนนักศึกษาแสดงบัตรเสียครึ่งราคา)
ซิทาเดล เป็นป้อมปราการที่สร้างขึ้นเพื่อปกป้องกรุงไคโรในระหว่างสงครามครูเสด
คนอียิปต์เรียกป้อมปราการนี้ว่า Al-Qala’a Al-Gabal (หรือ Al-Burge) หมายถึง
ป้อมปราการที่อยู่บนยอดเขา บริเวณที่ก่อสร้างซิทาเดลเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมในการสร้าง
เพราะเป็นจุดที่สามารถมองเห็นไคโรได้ทั้งเมืองและยากต่อการที่ศัตรูจะบุกเข้าโจมตี
ซิทาเดลมีบริเวณกว้างซึ่งตั้งอยู่ภายในกำแพงที่แข็งแกร่ง และด้านในนี้ยังมีสิ่งก่อสร้างที่สำคัญ
อยู่หลายแห่งทั้ง สุเหร่า พิพิธภัณฑ์ตำรวจ รวมถึงสถานที่แสดงเครื่องบินรบด้วย
ด้านในจะพบกับ สุเหร่า มูฮัมหมัด อาลี ปาชา (Mosque of Muhammad Ali Pasha)
ตั้งอยู่ในบริเวณซิทาเดล เป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยม สถาปัตยกรรมยุคออตโตมาน
มีหอมินาเรต์หรือหอเรียกสวดเป็นเสาสูงรูปแปดเหลี่ยม มี Blue Mosque ที่อิสตันบูลเป็นต้นแบบ
ด้านนอกมีหอนาฬิกาซึ่งทางอียิปต์ได้นำเสาโอบิลิสก์ต้นหนึ่งของฟาโรห์รามเสสไปมอบให้ฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสจึงให้นาฬิกามาเป็นเครื่องตอบแทน ปัจจุบันเสาโอบิลิสก์ที่อียิปต์ให้ฝรั่งเศสไป
ตั้งอยู่กลางจัตุรัสคองคอร์ดในกรุงปารีส ส่วนเสาโอเบลิสก์ที่เหลืออีกต้นอยู่ที่ด้านหน้าวิหารลักซอร์
ด้านหลังสุเหร่าเป็นจุดชมวิวกรุงไคโรที่ดีที่สุด ในวันที่อากาศดีท้องฟ้าแจ่มใส
เมื่อขึ้นไปอยู่บนนั้นจะสามารถมองเห็นพีระมิดแห่งกีซาเป็นฉากหลังของกรุงไคโร
หรือถ้ามองไปอีกด้านจะเห็นไคโรทาวเวอร์ที่ตั้งสูงตระหง่านอยู่
ช่างเป็นวิวที่สวยงามและคุ้มค่ากับการที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ งดงามมากครับ ^^
ก่อนออกจากซิทาเดลจะเห็นอีกหนึ่งสุเหร่าที่ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าเลยทางเข้าเข้ามา
สุเหร่า สุลต่านอัลนัสเซอร์ มูฮัมหมัด (Sultan Al-Nasir Muhammad Mosque)
ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุเหร่าศิลปะยุคมัมลุกที่งดงามที่สุดในไคโร
มีหอมินาเรต์ 2 หอตั้งซ้อนกันอยู่ตรงทางเข้า บนยอดมินาเรต์เป็นโดมหัวหนอน
ด้านในมีทั้งที่ผ่านการบูรณะแล้วกับที่ยังหลงเหลือความเก่าแก่ของโครงสร้างให้ได้เห็น
จะว่าไปคนอียิปต์ก็บ้ากล้องและชอบถ่ายรูปมากๆเลยนะครับ
คงเห็นพวกผมเป็นเอเชีย ที่ไม่ค่อยคุ้นหน้าคุ้นตาในประเทศเค้าสักเท่าไร
เดินไปทางไหนก็มีแต่จะขอมาถ่ายรูปด้วยยังกับดาราเลย บางทีถึงขนาดเอาลูก
ของตัวเองมาให้อุ้มด้วยนะแล้วก็วนถ่ายรูปจนครบทุกกล้องมือถือ ก็สนุกและเป็นสีสันอีกแบบหนึ่ง
แต่น้องนักเรียนที่ไปกับผมมาด้วยเตือนมาว่า ถ้ามีผู้ชายมาขอผู้หญิงถ่ายรูปคู่ ให้ตอบปฏิเสธไป
เพราะเป็นการกระทำที่ถือว่าไม่ควรไม่ให้เกียรติกัน ไม่ควรให้ผู้ชายที่นั่นถ่ายคู่กับผู้หญิง
แต่เรื่องความปลอดภัยไม่มีลวนลาม ไม่มีการชิงทรัพย์หรือวิ่งราวใดๆ เพราะกฎหมายที่นี่โหดมาก
จบโปรแกรมจากซิทาเดลพวกผม 4 คนได้โบก Taxi ไปอีก 7 กม
เพื่อมาเที่ยวที่ พิพิธภัณฑ์อียิปต์ (Egyptian Museum)
ผู้ริเริ่มสร้างพิพิธภัณฑ์อียิปต์เป็นชาวฝรั่งเศส ชื่อ ออกุสต์ มาริเอตต์
เพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งแรกของอียิปต์ที่เก็บสมบัติฟาโรห์ ศิลปวัตถุ และโบราณวัตถุต่างๆ
พิพิธภัณฑ์ได้เปิดและมีการสร้างอาคารเพิ่มจนเป็นอาคารอิฐสีส้มอมแดงในปัจจุบัน
เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 09.00-18.00 น. ค่าเข้าชมคนละ 75 LE
(นักเรียนนักศึกษาแสดงบัตรเสียครึ่งราคา)
และถ้าใครอยากถ่ายภาพต้องเสียค่ากล้องเพิ่ม 35 LE (มือถือไม่เสียเงินจ้าาา)
พิพิธภัณฑ์อียิปต์มีโบราณวัตถุแสดงอยู่กว่าแสนชิ้น และยังมีส่วนที่เก็บอยู่ในห้องใต้ดินอีกจำนวนมาก
ศิลปะสมบัติล้ำค่าที่สุดคือสมบัติที่นำมาจากหลุมฝังศพของฟาโรห์ตุตันคาเมน
นอกจากนี้ยังมีงานศิลปะและโบราณวัตถุตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณจนถึงยุคสมัยใหม่เก็บสะสมอยู่ด้วย
ที่นี่ไม่มีแอร์นะครับ เป็นอาคารสูง 2 ชั้น แต่มีห้องเก็บสมบัติล้ำค่าอยู่หลายห้อง
ถ้าจะเก็บรายละเอียดให้ครบคงต้องใช้เวลาเป็นวันๆ หรือถ้าจะเลือกดูแต่สิ่งสำคัญในนี้
ผมว่าใช้เวลาประมาณ 2 ชม ถึงจะครบ
มีการจำลองการเก็บศพแบบมัมมี่ ถึงแม้ไม่ได้มีเยอะมากเท่าที่พิพิธภัณฑ์มัมมี่ที่เมืองลักซอร์ก็ตาม
แต่ก็พอให้ความรู้กับนักท่องเที่ยวได้ระดับนึง ซึ่งมีทั้งศพจริง และที่เก็บศพเปล่าๆ
ไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้อยู่ที่ห้อง Tutankhamun Galleries
จุดเด่นอยู่ในห้องเก็บสมบัติของฟาโรห์หนุ่มองค์นี้ มีเพียงห้องนี้ห้องเดียวที่มีแอร์
มีงานศิลปะเด่น 5 ชิ้นที่งดงามมาก คือ หน้ากากทองคำของตุตันคาเมน (King Tut’s Death Mask) ,
บัลลังก์ทอง (Golden Throne) , โลงศพทองคำแท้ (Innermost Coffin) ,
รูปไม้แกะสลักที่สิงสถิตของวิญญาณผู้ล่วงลับ (Ka Statute)
และ โถทองคำบรรจุอวัยวะภายในของตุตันคาเมน (A Golden Canopic Chest)
*** มีเพียงหน้ากากทองคำของตุตันคาเมนเท่านั้นที่ห้ามถ่ายรูปครับ ***
ที่นี่ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ ยิ่งเดินก็ยิ่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของอียิปต์มากขึ้น
ตั้งแต่ยุคสมัยฟาโรห์องค์แรก รวมถึงสมบัติล้ำค่าต่างๆที่ได้นำมาจากสถานที่จริง
มาเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ถ้าได้มาอียิปต์ แวะเที่ยวไคโรแล้วอย่าพลาดมาชม
มหาสมบัติของอียิปต์ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้กันนะครับ ^^
เพียง 1.5 กม จากพิพิธภัณฑ์อียิปต์ จะเลือกเดินด้วยเท้าหรือโดยสาร Taxi มาที่นี่ก็ได้
เพราะระยะทางไม่ไกล แต่แนะนำว่าควรมาเที่ยว ไคโรทาวเวอร์ (Cairo Tower)
เป็นหอคอยสูง 187 เมตร ปลายหอเป็นรูปดอกบัวตูม เป็นสัญลักษณ์ของกรุงไคโร
สร้างขึ้นด้วยเงินให้เปล่าจากสหภาพโซเวียตรัสเซีย ด้านบนยอดหอเป็นจุดชมวิวไคโรที่ดีที่สุด
เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 09.00-01.00 น. ค่าขึ้นไปบนหอคอยคนละ 150 LE
เมื่อขึ้นลิฟท์มาด้านบนสุด หันไปมองทางทิศตะวันตกก็จะเห็นพีระมิดเป็นเงาตะคุ่ม
อยู่ท่ามกลางความเวิ้งว้างของทะเลทราย เป็นภาพที่งดงามอย่างมหัศจรรย์
อีกทั้งยังสามารถมองเห็น Citadel ที่ได้ไปก่อนหน้านี้ด้วยครับ
Cairo Tower อยู่ที่ถนน Sharia Hadayek Al-Zuhrey ซึ่งตั้งบนเกาะเกซิรา
มองไปรอบๆด้านจะเห็นแม่น้ำล้อมรอบอยู่ ช่างเป็นวิวที่สวยงามและคงไม่คิดว่าที่นี่คืออียิปต์
ที่อียิปต์ได้มีมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่อยู่แห่งหนึ่ง ที่นี่ผมได้แค่แวะผ่าน ไม่ได้เข้าไปชมด้านใน
มหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร (Al-Azhar University) เป็นมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งมานานกว่า 1,000 ปี
เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดในอียิปต์และเก่าแก่เป็นอันดับ 3 ของโลก
ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางการศึกษาด้านภาษาอาหรับและวรรณคดี
ตามริมถนนจะเห็นร้านค้ารถเข็นขายผลไม้ปอกให้ทานกันสดๆอยู่ริมทาง
เมื่อครั้งแรกที่ได้เห็น ผมถึงกับตกใจว่านี่กินได้หรอ เพราะมันคือ “ผลกระบองเพชร”
หรือชื่อภาษาอังกฤษก็คือ Cactus ที่อียิปต์ขายลูกละ 2 LE ปอกเปลือก ข้างในผลสีแดงฉ่ำ
คล้ายแตงโม มีเม็ดคล้ายแก้วมังกร ความหวานสู้แตงโมบ้านเราไม่ได้
แต่ได้ความรู้สึกถึงความฉ่ำของผลไม้ที่อุ้มน้ำไว้ กินแก้กระหายดับร้อนได้ในราคาสบายกระเป๋า
ปิดท้ายของวันนี้ด้วยการเดินหาซื้อของฝาก ณ ตลาดชื่อดัง
เพียงนั่ง Taxi ประมาณ 20 นาทีจากไคโรทาวเวอร์ก็สามารถเดินทางมาถึงที่
ตลาดข่าน เอล-คาลิลี (Khan el-Khalili) เป็นตลาดพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดในไคโร
นักท่องเที่ยวชอบไปเดินเล่นดูบรรยากาศการซื้อขายของแบบโบราณของชาวอาหรับ
มีสินค้าขายทุกอย่างตั้งแต่เครื่องเทศไปจนถึงเสื้อผ้าและหม้อทองเหลือง
ภายในตลาดมีสินค้าที่เป็นของที่ระลึกทุกชนิด เช่น หมวก ผ้าคลุมไหล่ เสื้อผ้า เครื่องเทศ
เครื่องประดับ น้ำหอม พีระมิดจำลอง และรูปจำลองของฟาโรห์กับเทพเจ้า เครื่องราง
รวมถึงภาพวาดบนกระดาษปาปิรุส (ปาปิรัส หรือ พาไพรัส-Papyrus)
สินค้าที่ขายในตลาดมีหลายคุณภาพ ส่วนราคานั้นต่อรองกันได้ตามความพอใจ
กีซา (Giza)
ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งพีระมิด ตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำไนล์ ภาพพีระมิด 3 พีระมิด
แห่งกีซา
กับสฟิงซ์ที่หมอบเฝ้าสมบัติฟาโรห์มานับพันปีถือเป็นภาพสัญลักษณ์ของอียิปต์มาตลอด
เมืองกีซาตั้งอยู่ริมแม่น้ำไนล์เขตชานเมืองไคโร อดีตเมืองนี้คือเมมฟิส นครหลวงเก่าของอียิปต์
แต่ปัจจุบันกลายเป็นเมืองที่ถูกกลืนโดยความเจริญของกรุงไคโรไปแล้ว
ริมถนนสายพีระมิดย่านนี้ มีสิ่งอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวครบทุกอย่าง
ทั้งที่พัก อาหาร และบริการทัวร์ต่างๆ รวมถึงความปลอดภัยที่มีตำรวจตรวจเข้มงวดตลอด
ที่พัก 2 คืนในกีซา ผมพักที่ Great Pyramid Inn ราคาคืนละ 1,500 บาท
รวมอาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน ราคาไม่แพงแต่สิ่งที่ได้รับนั้นถือว่าคุ้มเลยทีเดียว
เพราะถ้าจองขั้นต่ำ 2 คืน ฟรีรถ Taxi ไปรับที่สนามบินด้วย
ห้องพักถือว่าสะอาดพอสมควร ขนาดห้องกำลังพอดีไม่ได้แคบเกินไป
และตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของทางเข้าไปชมการแสดง Sound & Light Pyramid Giza
ซึ่งดาดฟ้าของโรงแรมแห่งนี้ยังสามารถนั่งชมการแสดงโดยไม่ต้องเสียค่าตั๋วอีกด้วย
การแสดง Sound & Light Pyramid Giza จัดขึ้นทุกวัน วันละ 3 รอบ
โดยรอบแรกจะเป็นภาษาอังกฤษเริ่มเวลา 19.00 น. ใช้เวลาการแสดงประมาณ 45 นาที
การแสดงจะเน้นแสง สี และบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของพีระมิดแห่งกีซา
ราคาค่าเข้าชมคนละ 100 LE แต่สำหรับผมนั่งชมอยู่บนดาดฟ้าของโรงแรมแห่งนี้แหล่ะครับ
เช้าวันนี้เริ่มออกเดินทางโดยเหมา Taxi ไปเที่ยวโดยจะไล่เรียงไปตามประวัติศาสตร์ของอียิปต์
ค่าเหมารถ Taxi ขึ้นอยู่กับการต่อรอง ราคาของผมเหมาทั้งวันอยู่ที่คันละ 150 LE
สถานที่แรกที่มาชมคือ พีระมิดซัคคารา (Step Pyramid)
ค่าเข้าชมคนละ 80 LE เปิดทุกวันตั้งแต่ 8.00 – 16.00 น.
ใช้เวลานั่ง Taxi จากกีซามาประมาณ 30 นาที
ทางเดินเข้าไปชมจะมีเสาหินเรียงราย
ซึ่งเสาหินนี้มีมาตั้งแต่ยุคโบราณบ้างก็ได้รับการบูรณะ บ้างก็ปล่อยทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า
พีระมิดซัคคารา เป็นพีระมิดขั้นบันได ที่เก่าแก่ที่สุด
ในยุครุ่งเรืองของอารยธรรมอียิปต์โบราณ มีการสร้างสุสานฟาโรห์ที่เมืองซัคคารา
ซึ่งเป็นสุสานใหญ่ที่สุดในดินแดนแถบนี้ โดย ฟาโรห์โซเซอร์ กษัตริย์ต้นราชวงศ์ที่ 3
ของอียิปต์โบราณ บัญชาให้สร้างพีระมิดหินสำหรับเป็นที่เก็บพระศพของพระองค์
จึงนับได้ว่าพีระมิดซัคคาราเป็นพีระมิดแห่งแรกของอียิปต์ ชาวอียิปต์เชื่อว่าพีระมิดคือสัญลักษณ์ของพระอาทิตย์
ผู้ออกแบบพีระมิดซัคคารา คือ อิมโฮเตป (Imhotep) ผู้มีตำแหน่งเป็นขุนนางยศสูงสุด
ในราชสำนักที่ปรึกษาของฟาโรห์ เป็นสถาปนิกผู้ควบคุมการก่อสร้าง
มองไปทางด้านทิศใต้เป็นสุสานเมืองดาชูร์ (Dahshur) ซึ่งเป็นสุสานของฟาโรห์สนอฟรู
แห่งราชวงศ์ที่ 4 ของอียิปต์โบราณ และเป็นพระบิดาของฟาโรห์คูฟูเจ้าของปิรามิดหลังใหญ่ที่กีซ่า
พีระมิดของฟาโรห์สนอฟรูเป็นพีระมิดค่อม (Bent Pyramid) ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม
และทรงสร้างพีระมิดแดง (Red Pyramid) เรียกชื่อตามสีของหินที่นำมาสร้างพีระมิดขึ้น
ซึ่งผมไม่ได้ไปเยือนทั้ง 2 พีระมิดเก่าแก่นี้ ได้แต่ยืนมองจากพีระมิดซัคคารา
บริเวณรอบๆยังมีทางเดินให้ชมสุสาน ซึ่งกินบริเวณกว้างบนพื้นที่แห่งนี้
โดยจะมีคนท้องถิ่นที่จะมาเสนอตัวเป็นไกด์คอยพาเดินเที่ยวชม
พร้อมกับเล่าประวัติความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้ให้ได้ฟัง
ภายในสุสานจะมีภาพสีที่ยังคงความสมบูรณ์ไว้อยู่
ในภาพเหล่านี้จะบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาต่างๆ
พูดถึงความเป็นอยู่ ความเชื่อในการนับถือเทพเจ้าของคนยุคก่อน
ถึงแม้จะไม่ได้มีภาพเขียนสีเยอะมากแต่ก็มีเสน่ห์ชวนให้ติดตาม
ขับรถออกมาจากพีระมิดซัคคารา เพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดหมายต่อไปซึ่งอยู่ไม่ไกล
ห่างกัน 3 กม พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเมมฟิส (Open Air Museum at Memphis)
ค่าเข้าชมคนละ 40 LE เปิดทุกวันตั้งแต่ 8.00 – 16.00 น.
ปฐมกษัตริย์ของอียิปต์ผู้สร้างเมืองเมมฟิส คือ ฟาโรห์เมเนส
ทรงสร้างเมืองหลวงใหม่ของอาณาจักร ชื่อ เมนนูเฟอร์ และสร้างวิหารของเทพพทาห์
วิหารศักดิ์สิทธิ์บูชาสุริยเทพเป็นเทพเจ้าประจำเมือง
เทพและเทพีที่ได้รับการบูชาคู่กับพทาห์คือเทพีเซคเมต เทวีของพระองค์และพระโอรส ชื่อ เนเฟอร์-ตุม
โบราณวัตถุที่สำคัญของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือรูปแกะสลักขนาดใหญ่ของ ฟาโรห์รามเซสที่ 2
ซึ่งรูปสลักนี้แกะมาจากหินปูน และสลักในท่ายืน แต่ปัจจุบันล้มลงมานอนกองกับพื้น
เรื่องราวของฟาโรห์รามเซสที่ 2 องค์นี้จะเกี่ยวข้องกับอาบูซิมเบล
ซึ่งคราวนี้ผมไม่ได้เดินทางไปเที่ยวที่นั่นด้วยครับ
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเมมฟิสมีพื้นที่ครอบคลุมที่ราบกีซา เมืองซัคคารา และเมืองดาชูร์
ซึ่งเป็นที่ตั้งพีระมิดสำคัญเกือบทั้งหมดของอียิปต์ ในบริเวณพิพิธภัณฑ์มีรูปฟาโรห์รามเสสมหาราช
แกะสลักจากหินปูนเป็นรูปปั้นขนาดยักษ์ ประทับยืนเด่นอยู่ท่ามกลางชิ้นงานศิลปะสมัยโบราณ
ที่นำมาตั้งแสดงไว้ กับทั้งมีสฟิงซ์ยักษ์ที่ทำจากหินอลาบาสเตอร์หนัก 80 ตัน
นอกจากนี้ยังมีชิ้นงานศิลปะสมัยโบราณอื่นๆ ตั้งแสดงไว้กลางแจ้งอีกมาก
ปัจจุบันเมืองเมมฟิสไม่มีซากเมืองเก่าเหลืออยู่เลย ยกเว้นสิ่งก่อสร้างยุคโบราณที่เป็นอนุสรณ์สถาน
กับสิ่งก่อสร้างในยุคอาณาจักรใหม่และยุคหลัง เมืองซัคคาราที่อยู่ติดกันกับเมืองดาชูร์
เกี่ยวข้องกับเมมฟิสในฐานะที่เมืองทั้ง 2 เป็นเมืองสุสานที่ฝังศพของฟาโรห์และขุนนาง
หลังจากเดินเที่ยวจนทั่วก็นั่ง Taxi คันเดิมกลับมาที่กีซา
ต้องบอกเลยว่าไฮไลท์ของทริปนี้อยู่ที่นี่เลยครับ พีระมิดแห่งกีซา (Pyramid of Giza)
เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่ 8.00 – 17.00 น. ค่าเข้าชมคนละ 80 LE
การชมพีระมิดแห่งกีซา สามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเดินเที่ยวเองตามเส้นทางด้านใน
แต่วิธีนี้ต้องบอกเลยว่าโหดมากกกกกก เพราะทะเลทรายช่างกว้างใหญ่ยิ่งนัก
หรือจะเป็นเหมารถเพื่อเดินทางเข้าไป แต่จะได้แค่บางจุด
ส่วนวิธีที่พวกผมเลือกใช้คือการขี่อูฐ ต่อรองราคาไปมาได้ 100 LE ต่อ 3 ชม ต่อคน
อูฐ 1 ตัวนั่งได้ 1 คน ตอนขึ้นลงต้องมีคนคอยช่วย
และที่สำคัญอย่าลืมตกลงราคาให้ดีก่อนขึ้นขี่อูฐนะครับ ไม่อย่างนั้นโดนโขกสับแน่
นักท่องเที่ยวหลายคนเลือกที่จะเดินทางโดยวิธีขี่อูฐ ไม่ว่าจะช่วงเช้าหรือช่วงบ่าย
ที่นี่ก็แดดแรงพอๆกัน ก่อนขึ้นอูฐพวกผมได้ตกลงกันในเรื่องของเส้นทาง
ว่าจะไปที่ไหนบ้าง สรุปคือจะขี่อูฐอ้อมไปทางด้นข้างพีระมิด เพื่อไปตรงวิวพาโนราม่า
จากนั้นจะไปตรงวิวไฮไลท์ที่เห็นพีระมิดครบทุกหลัง และวนกลับเข้ามาพีระมิดตรงกลาง
และลงตรงพีระมิดหลังแรกเพื่อที่จะเดินเท้าชมความอลังการต่อเองครับ
วิวตรงพาโนราม่าที่เห็นพีระมิดเรียงกันแนวยาวครบทุกหลัง
แต่รูปนี้ผมถ่ายไม่ครบขาดพีระมิดหลังแรกไป ซึ่งจะอยู่ฝั่งขวาจากในรูป
ถึงแล้วครับจุดชมวิวพีระมิดที่ไฮไลท์ที่สุด
ข้อแนะนำ ถ้าใครอยากมาถ่ายรูปตรงวิวมุมนี้ผมแนะนำให้เซฟรูปแล้วนำไปให้คนนำอูฐดู
เพราะถ้าคุณบอกว่าไปจุดชมวิวพีระมิด ส่วนใหญ่จะพาไปดูตรงวิวพาโนราม่ารูปบน
เหตุเพราะวิวตรงนี้จะไกลกว่าพอสมควร ถ้าอยากเก็บรูปที่เห็นพีระมิดครบทุกหลังต้องมุมนี้เท่านั้น
พีระมิดแห่งกีซา (Pyramid of Giza) ตั้งอยู่กลางทะเลทรายในบริเวณที่ราบกีซา
บริเวณนี้มีพีระมิดทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่รวม 9 พีระมิดและสฟิงซ์ 1 ตัว
โดยกลุ่มพีระมิดที่มีชื่อเสียงและมีขนาดใหญ่กว่าพีระมิดอื่นๆ ในอียิปต์ มี 3 พีระมิด รวมเรียกว่า
พีระมิดแห่งกีซา (Great Pyramids of Giza) พีระมิดใหญ่ที่สุดในกลุ่มนี้
(พีระมิดหลังที่อยู่ไกลสุดจากรูปหรือหลังแรกตอนเข้ามา) เป็นของ
ฟาโรห์คูฟู กษัตริย์องค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์ที่ 4 ที่ปกครองอียิปต์ ส่วนอีก 2 แห่งเป็นของ
ฟาโรห์คาเฟร กษัตริย์องค์ที่ 4 (พีระมิดหลังตรงกลาง)
ในราชวงศ์เดียวกันกับพีระมิดของ ฟาโรห์เมนคูเร กษัตริย์องค์ที่ 6 พระโอรสของเคเฟรน
ส่วนพีระมิดขนาดเล็กอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณนี้เป็นของพระมเหสีฟาโรห์
หลุมฝังศพของพระกับข้าราชบริพารและขุนนาง
บริเวณนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากๆ ยิ่งมีน้องอูฐหน้าตาบ้องแบ๊วมาเข้าเฟรมด้วย
ยิ่งน่ารักเข้าไปมากกว่าเดิม ถึงแดดจะร้อนแต่พวกผมยืนถ่ายรูปรัวๆ แบบไม่กลัวร้อนกันเลย
บริเวณรอบข้างของพีระมิดแต่ละหลังจะมีชาวอียิปต์มาตั้งโต๊ะขายของที่ระลึก
รวมถึงขายน้ำดื่มแก้กระหายด้วยครับ จากตรงนี้ผมใช้เวลาอยู่บนอูฐประมาณ 2 ชม
ดูแล้วเหมือนไม่ไกล แต่เมื่อเดินทางในทะเลทรายจริงๆแล้วลับหูลับตากันเลย
กลุ่มพวกผมขี่อูฐแล้วมาหยุดตรงพีระมิดหลังตรงกลาง
พีระมิดคาเฟร เป็นพีระมิดที่สร้างโดย ฟาโรห์คาเฟร ผู้เป็นราชโอรสของ ฟาโรห์คูฟู
โดยสร้างขึ้นเคียงข้าง พีระมิดของพระราชบิดา ด้วยขนาดใกล้เคียงกัน
เนื่องจากพีระมิดนี้ ก่อสร้างอยู่บนพื้นหินที่สูงกว่า และตั้งอยู่ตรงกลางของ พีระมิดทั้ง 3 แห่ง
ทำให้เมื่อมองด้วยตาพีระมิดคาเฟร จะมีขนาดใหญ่กว่า พีระมิดคูฟู
ทั้งที่ในความเป็นจริงมีความสูงน้อยกว่า และมีขนาดฐานแคบกว่า
ลักษณะสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ของพีระมิดคาเฟรคือ ส่วนยอดของพีระมิดยังคงมีชั้นหินปูนขัดมัน
ปิดเป็นผิวชั้นนอกของพีระมิดหลงเหลืออยู่ บริเวณใกล้เคียงกับพีระมิดคาเฟร
จะมี มหาสฟิงซ์ เป็นรูปแกะสลักจากหินก้อนเดียว ซึ่งจะมีพูดถึงในตอนท้ายๆ
เดินถัดมาด้านข้างจะพบกับพีระมิดอีกหลัง ซึ่งอยู่ริมถนนและห่างกันไม่ไกลจากหลังกลาง
พีระมิดคูฟู ได้ชื่อว่าเป็น “มหาพีระมิด” ใจกลางเป็นห้องเก็บพระศพ
สามารถลงไปชมด้านในได้ แต่ต้องซื้อตั๋วแยกกับตั๋วตรงทางเข้าด้านหน้า
พีระมิดของฟาโรห์คูฟูรายล้อมด้วยหลุมศพ และพีระมิดขนาดเล็ก
ซึ่งเป็นของสมาชิกในพระราชวงศ์และขุนนางที่มียศสูง
ถือได้ว่าเป็นกษัตริย์ที่โหดร้าย และใช้แรงงานทาสเป็นจำนวนมหาศาล
ในการก่อสร้างมหาพีระมิดที่ยิ่งใหญ่หลังนี้
หินที่นำมาใช้ก่อสร้างพีระมิดที่กีซามีน้ำหนักหลายล้านตัน ใช้คนงานก่อสร้างนับแสน
นับเป็นความสามารถอันน่าอัศจรรย์ของชาวอียิปต์โบราณ ภายในมีอุโมงค์เชื่อมต่อ
เป็นทางเดินเข้าไปยังห้องต่างๆ เช่น ห้องเก็บสมบัติ ห้องประกอบพิธีศพ และห้องไว้พระศพ
นักวิชาการสันนิษฐานว่าการก่อสร้างพีระมิดนั้น หินแต่ละก้อนจะถูกก่อซ้อนกันขึ้นไป
โดยเริ่มจากฐานแล้วเอาหินมาวางเรียงกันทีละชั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ หินแต่ละก้อนถูกตัดแต่งและ
คำนวณน้ำหนักให้ใกล้เคียงกัน เมื่อวางประกบซ้อนกันจะแนบสนิทกัน การลากดึงก้อนหิน
สู่ชั้นบนก็ใช้วิธีถมทรายให้เป็นเนินลาดชัน แล้วใช้แรงคนช่วยกันชักลากหินแต่ละก้อนขึ้นไปก่อ
ทีละด้านจนถึงบนสุด หลังจากนั้นก็ฉาบเรียบด้วยหินแกรนิตละเอียดทั้งหลังเป็นครั้งสุดท้าย
ขากลับเดินจากพีระมิดคูฟูมาตรงด้านหน้าเพื่อที่จะไปตรงสฟิงซ์ จะผ่านบริเวณที่จัดเก้าอี้
ไว้นั่งชมการแสดง Sound & Light ในช่วงตอนกลางคืน บริเวณนี้มีร้านค้าตั้งอยู่มากมายหลายร้าน
ถ้ามาพีระมิดแห่งกีซาแล้วไม่มาชมรูปปั้นสฟิงซ์ด้านหน้านี้ถือว่ามาไม่ถึง
สฟิงซ์ (Sphinx) เป็นประติมากรรมหินแกะสลักรูปสิงโตหมอบ ใบหน้าเป็นมนุษย์
โดยสฟิงซ์ที่หมอบเฝ้าพีระมิดแห่งกีซาเป็นเวลานานกว่า 4,500 ปีนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอาคาร
ที่ฟาโรห์เคเฟรสร้างขึ้นพร้อมกับพีระมิด ไว้เป็นองครักษ์พิทักษ์ที่ฝังพระศพของพระองค์
สฟิงซ์เป็นหินแกะสลักทั้งก้อน
ส่วนหัวมีใบหน้าเป็นพระพักตร์ของฟาโรห์เคเฟร
สวมผ้าคลุมเนเมส
สวมเครื่องประดับศีรษะของกษัตริย์อียิปต์ มีงูจงอางแผ่แม่เบี้ยอยู่ตรงหน้าผาก
ปัจจุบันเคราสิงโตสัญลักษณ์ของฟาโรห์หลุดหายไป ดั้งจมูกของฟาโรห์ก็ชำรุดไปตามกาลเวลา
ไม่ว่าจะแดดแรงแค่ไหน ความสวยงามของพีระมิดก็ไม่ได้ทำให้
พวกผมยอมแพ้ต่ออากาศร้อนแต่อย่างใด สู้ครับ!!!
พวกผมใช้เวลา 1 วันเต็มๆในการซึมซับและเรียนรู้ประวัติของพีระมิด
เพียง 1 วันคงไม่อาจศึกษาได้ครบ ซึ่งความยิ่งใหญ่ของที่นี่เหมาะสมกับที่ได้รับ
การประกาศจากองค์การยูเนสโกของสหประชาชาติที่ขึ้นทะเบียน
บริเวณเมืองเมมฟิส สุสานโบราณในนครแห่งความตาย พีระมิดแห่งกีซา พีระมิดที่ซัคคารา
และพีระมิดที่ดาชูร์ ให้เป็นพื้นที่มรดกโลกด้านวัฒนธรรมอีกด้วย
อีกทั้งมหาพีระมิดนี้ยังได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
และเป็นหนึ่งเดียวใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ ที่ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
และถ้าใครได้มาเห็นกับตาเหมือนที่ผมเห็นจะรู้สึกได้ว่า
ความอลังการ ความยิ่งใหญ่ ความมหัศจรรย์ที่หลายคนพูดให้ฟัง
คงไม่อาจเทียบเท่าได้กับสิ่งมหัศจรรย์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงด้านหน้านี้
เป็นอย่างไรบ้างครับกับตอนแรกที่พาไปรู้จักประเทศอียิปต์
พาไปเที่ยวเมืองหลวงไคโร และพาไปย้อนอดีตของพีระมิดกีซา
ถึงแม้ไม่ได้ลงรายละเอียดมาก แต่ก็ทำให้รู้ว่าทำไมใครๆถึงอยากมาไขความลับในอดีตที่นี่
ขอขอบคุณ Egypt Air สำหรับเส้นทาง Bangkok-Cairo-Luxor , Luxor-Cairo-Bangkok
ขอบคุณ Smile Wifi สัญญาณ Wi-Fi ชัด แรง แบตทนนาน แถมยังโทรฟรีกลับไทยด้วย
ขอบคุณ Wrangler Thailand สำหรับเสื้อผ้าใส่ไม่กลัวร้อนกับนวัตกรรม Inficool
ขอบคุณน้องนักเรียนไทยทั้ง 2 คน ที่ช่วยสื่อสารและต่อรองราคาจนถึงที่สุด
อียิปต์ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เรื่องขโมยของผมว่าปลอดภัยกว่าประเทศแถบยุโรปซะอีก
แต่ด้วยภาพลักษณ์ และข่าวที่ออกไปหลายคนเลยมองว่าประเทศนี้น่ากลัว และไม่กล้ามา
แต่ผมก็ได้พิสูจน์ และสัมผัสความเป็นอยู่ของคนที่นี่และบอกได้เลยว่า “อียิปต์…ไม่อันตราย”
เตรียมพบกับตอนที่ 2 มุ่งหน้าสู่อีกหนึ่งเมืองสำคัญอย่างลักซอร์ (Luxor)
Link รีวิวตอนต่อไปครับ –> อียิปต์-ลักซอร์ รีวิวตอนที่สอง
พาไปขึ้นบอลลูนชมวิวเหนือสุสานฟาโห์ และไขความลับในอดีตของอียิปต์กันต่อครับ ^^
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^