“ทะเลทราย เมืองเนรมิต ขี่อูฐ”…คำเหล่านี้อยู่ในหัวผม
ตั้งแต่ได้ยินชื่อประเทศในกลุ่มตะวันออกกลางมาตลอด
และในประเทศเหล่านั้นจะต้องมีลิสต์ เมืองดูไบ เข้ามาด้วยแน่
ครั้งนี้ผมจะพาเพื่อนๆ ไป #บันทึกเที่ยว กันที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
แต่ไปครั้งนี้พิเศษตรงที่จะพาขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ชมวิวมุมสูงจากบนนั้น
รวมทั้งไปทำความรู้จักเปิดประสบการณ์เที่ยวดูไบใน 1 วันเต็มๆ ว่าสามารถไปที่ไหนได้บ้าง
บางทีเมื่ออ่านรีวิวนี้จบแล้ว เมืองดูไบอาจไม่ใช่แค่เมืองที่แวะ Transit อีกต่อไป
อาจเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวหลายคน อยากมาพัก 2-3 คืนขึ้นไป
เมื่อพร้อมแล้วเก็บกระเป๋า เตรียมตัวไปพิสูจน์พร้อมกันครับ ^^
“ดูไบ…จากเมืองเนรมิตสู่สถาปัตยกรรมบนดินแดนอาหรับราตรี”
สายการบิน flydubai
ทริปนี้ผมเดินทางกับสายการบิน flydubai ซึ่งเป็นสายการบิน Low Cost
ที่บินตรงจากสุวรรณภูมิไปยังเมืองดูไบทุกวัน วันละ 2 เที่ยวบิน เวลาดีด้วยครับ
สายการบิน flydubai นี้ มีเที่ยวบินให้เลือกหลากหลายเส้นทาง
ทริปนี้ผมเลยเลือก Trasit แวะเที่ยวดูไบ 1 วัน แล้วเดินทางต่อไปยังประเทศจอร์แดน
ตั๋วราคาไม่แพง แถมมี Promotion ออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประหยัดค่าเดินทางไปได้มาก
วิธีการจองสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ flydubai –> https://www.flydubai.com/en/
แล้วเลือกจุดหมายปลายทางที่จะเดินทาง อย่างทริปนี้ผมไปประเทศจอร์แดน
ขาไปผมเลือกแยกไฟล์ท ไม่ Fly Thru กระเป๋า เพื่อที่มีเวลาออกมาเที่ยวดูไบได้เต็มๆ 1 วัน
ส่วนขากลับผมเลือกไฟล์ทแบบ Fly Thru เลยครับ (ถ้าจะออกมาเที่ยวดูไบต้องทำ Visa ด้วยครับ)
สายการบินจะเปิดให้ Check in-Online ล่วงหน้าก่อนเดินทาง 24 ชม. ผมแนะนำว่าให้ทำก่อน
เพราะจะสามารถเข้าไปเลือกที่นั่งและไม่ต้องไปรอต่อคิวนานที่หน้าเค้าเตอร์อีกด้วย
สัมภาระหิ้วขึ้นเครื่องได้คนละ 7 กก. ส่วนผมซื้อเพิ่มผ่านทางเว็บไซต์อีกคนละ 20 กก.
อาหาร ผมไม่ได้เลือกสั่งจองล่วงหน้า เพราะถ้าหิวกลางดึกขึ้นมาค่อยสั่งบนเครื่องทาน
ตัวเครื่องบินเป็นรุ่น Boeing 737-800 ผังที่นั่งชั้นประหยัดเป็น 3-3
ส่วนชั้นธุรกิจเป็นเก้าอี้แบบปรับเอนได้มากกว่า (ไม่ใช่ Flat Bed) ผังที่นั่งเป็น 2-2
ทุกที่นั่งมีจอส่วนตัว มีที่เสียบชาร์ตไฟหัว USB
ในส่วนของ Entertainment บนเครื่องส่วนใหญ่จะเสียเงินเพิ่ม
ซึ่งมี 3 โปรแกรมให้เลือก
แบบแรก Free จะมีเมนูอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง พร้อมราคาบอก /
มีรายการสินค้า Duty Free / มีข่าวและข้อมูลประชาสัมพันธ์ต่างๆ และมีบอกไฟล์ทบิน
แบบที่ 2 Basic เสียเพิ่ม 15 AED (ประมาณ 135 บาท) มี TV / เกมส์ และเพลงให้ฟัง
แบบที่ 3 Premium เสียเพิ่ม 35 AED (ประมาณ 315 บาท) มี Movies ให้ชม
*** TV และ Movies มีตัวอย่างให้ชมฟรี 5 นาทีแรก ก่อนตัดสินใจเลือกโปรแกรม ***
เมนูอาหารบนเครื่องส่วนใหญ่จะเป็นขนมปังแซนด์วิช หรือมาม่าคัพ
สามารถกดเลือกได้จากเมนูตรงหน้าจอแล้วสั่งพนักงานได้เลยครับ
หรือถ้าอยากสั่งอาหารร้อนต้องสั่งจองล่วงหน้าผ่านทางเว็บไซต์
ก่อนเดินทางไม่น้อยกว่า 48 ชม. (ของแต่ละไฟล์ทบิน) นะครับ
ขาไปเครื่องดีเลย์นิดหน่อยประมาณ 30 นาที แต่โดยรวมถึงที่หมายตรงเวลา
ใช้เวลาบินจาก กทม มาดูไบประมาณ 6.30-7 ชม. ครับ
ดูไบ (Dubai)
เราคงจะได้ยินชื่อเมืองดูไบกันอยู่บ่อยๆ จนอาจคิดว่าดูไบเป็นเมืองหลวง
ของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซึ่งจริงๆ แล้วเมืองหลวงของประเทศนี้คือเมืองอาบูดาบี
แต่เมืองที่ใหญ่ที่สุดและมีประชากรมากที่สุดของประเทศกลับเป็นเมืองดูไบ
อีกทั้งสถานที่เที่ยวต่างๆ ก็อยู่ในดูไบเป็นส่วนมาก จึงทำให้หลายคนคุ้นหูกับเมืองนี้มากกว่า
สภาพภูมิประเทศโดยรวมค่อนข้างแห้งแล้ง และร้อน เพราะมีพื้นที่เป็นทะเลทรายเป็นส่วนใหญ่
สกุลเงินที่ใช้คือ Dirhams (เดอร์แฮม) ตัวย่อคือ AED โดย 1 AED ประมาณ 9 บาท
ช่วงเดือนที่อากาศร้อนที่สุดคือ สค-กย อุณหภูมิประมาณ 42-45 องศา (ร้อนมากกกก!!!)
การเดินทาง
การเดินทางในดูไบมีทั้ง Taxi Meter และรถไฟใต้ดิน (Metro) ไว้คอยให้บริการ
Taxi ก็มีหลายแบบ ทั้งแบบ Lady โดยเฉพาะ แบบที่รับ-ส่ง เฉพาะสนามบิน ราคาเริ่มต้นต่างกัน
ส่วนรถไฟใต้ดินของที่นี่มี 2 สาย คือ
สายสีแดง ให้บริการ
วันเสาร์-พุธ (5.30-24.00 น.) , วันพฤหัสบดี (5.30-01.00 น.) และวันศุกร์ (10.00-01.00 น.)
สายสีเขียว ให้บริการ
วันเสาร์-พุธ (5.50-24.00 น.) , วันพฤหัสบดี (5.50-01.00 น.) และวันศุกร์ (10.00-01.00 น.)
วันหยุดราชการของที่นี่ก็เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ในแถบตะวันออกกลาง นั่นก็คือ วันศุกร์ และวันเสาร์
ถ้าจะเดินทางไปไหนก็วางแผนกันให้ดีๆ นะครับ
การซื้อตั๋วรถไฟใต้ดิน หากเดินทางแค่ไม่กี่ครั้ง ขอแนะนำตั๋วแบบ Single Trip เพราะประหยัดกว่า
สามารถซื้อได้ที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วหรือที่เครื่องออกตั๋วอัตโนมัติซึ่งไม่ยุ่งยาก
ราคาตามระยะทาง ประมาณ 2-6.5 AED ขึ้นอยู่กับการเดินทาง
ถ้าข้ามโซน จะทำให้ราคาตั๋วรถไฟแพงมากขึ้นด้วย หรือ
ถ้าใครใช้เดินทางหลายรอบแนะนำเป็นแบบรายวันไปเลยครับ คุ้มกว่าเห็นๆ
ประเทศนี้ให้เกียรติผู้หญิงมาก โดยเฉพาะผู้หญิงที่คลุมผ้าฮิญาบ แม้แต่ในขบวนรถไฟใต้ดิน
ก็จะมีโบกี้สำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ สังเกตได้จากสัญลักษณ์รูปผู้หญิงและเด็ก
คุณผู้ชายอย่าได้ย่างกรายเข้าไปในโบกี้นี้เชียว สำหรับโบกี้ปกติคุณผู้หญิงสามารถใช้บริการได้ตามปกติ
แต่หากต้องการความสะดวกสบาย หรืออยากนั่งเป็นครอบครัว ขอแนะนำให้ซื้อตั๋วแบบ Gold Class
หากใครแอบมั่วนิ่มซื้อตั๋วธรรมดาแต่มาขึ้น Gold Class ทางเค้าจะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจ
และจะโดนค่าปรับคนละ 200 ดีแรมเลยครับ หากไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ
ก็จะโดนยึด Passport ไว้เลยกฎหมายที่นี่เค้าแรงนะครับ ขอเตือนไว้ก่อน !!!
Pocket Wifi
การสื่อสารที่ขาดไม่ได้เป็นเหมือนปัจจัยที่ 5 ที่ต้องพกพาไปเที่ยวด้วยทุกที่
นั่นคือ Internet ผมได้เช่า Pocket Wifi ของ Samurai Wifi
โดยรับ-คืน เครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตรงชั้น 4 บริเวณประตู 7
แพ็คเก็จ วันละ 480 บาท สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตด้วยความเร็วสูงสุดได้ 500MB/Day
เมื่อใช้งานครบแล้วจะสามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ไม่จำกัด ด้วยความเร็วที่ลดลง
#SamuraiWifi #GlobalWifi #สัญญาณแรง #Supportตลอด24ชั่วโมง
Visa
เมืองดูไบ ประเทศ UAE สำหรับคนไทยยังไม่ฟรีวีซ่านะครับ
การทำวีซ่านั้นก็ง่ายมากๆ เมื่อจองตั๋วเครื่องบินจาก flydubai แล้ว
ให้โทรไปขอแบบฟอร์มการยื่นวีซ่า UAE ประเภท Transit ไม่เกิน 96 ชม. จากทางสายการบิน
เพียงกรอกฟอร์มและส่งเอกสารให้ทางสายการบิน โดยเอกสารที่ต้องเตรียมมีดังนี้
– App Form Visa พร้อมติดรูปถ่ายสี 2 นิ้ว
– สำเนาหน้าแรก Passport
– Visa เชงเก้นและ Visa USA ที่เคยเดินทางใน 5 ปี
– หนังสือรับรองการทำงานที่ระบุประเทศที่ไปเป็น UAE
– Statement บัญชีย้อนหลัง 6 เดือน
ส่วนค่าบริการ Transit Visa ตกคนละ 2,700 บาท
ส่วน Short Term Single Visa ตกคนละ 3,700 บาท และสำหรับผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วโดยตรง
กับทาง flydubai Thailand Call Center ก็จะมีส่วนลดพิเศษค่าวีซ่าให้อีกด้วยครับ
ทุกอย่างเราสามารถให้ทางสายการบินเป็นคนดำเนินการให้ได้ทั้งหมด
และรอเอกสาร E-Visa ภายในเวลาไม่เกิน 7 วัน จะส่งมาทางเมล
พอถึงวันเดินทางอย่าลืมพิมพ์สีเพื่อไปยื่นตอนผ่าน ตม ด้วยครับ
ที่พัก
ผมจองที่พัก ibis World Trade Center จากเว็บไซต์ของ Accor โดยตรง
โดยเลือกโรงแรมที่อยู่ใกล้รถไฟฟ้า และไม่ไกลจากสนามบิน เลยได้ที่นี่
เพราะ ibis สาขานี้อยู่ห่างรถไฟฟ้าสายสีแดง สถานี World Trade Center
เพียง 300 เมตร รวมทั้งมี Shuttle Bus พาไปรับ-ส่งตามที่เที่ยวที่ทางโรงแรมกำหนด
ตกคืนละ 1,400 บาท (ไม่รวมอาหารเช้า) เพราะวันรุ่งขึ้นผมออกแต่เช้าตรู่ คงไม่ทันได้ทาน
ขนาดห้องไม่เล็กเกินไป ตัวห้องใหม่ สะอาด แถมราคาไม่แพงเมื่ออยู่ใกล้สถานีรถไฟอีกด้วย
ถ้าใครจะเดินทางด้วย Taxi ก็ไม่ต้องกลัวไม่มี เพราะ Taxi หาง่ายมาก
มารอจอดที่หน้าโรงแรม สามารถเรียกขึ้นได้เลยทันที
แม้ตอนผมเช็คเอ้าท์ออกตอน 5.00 น. Taxi ยังมีจอดรอหน้าโรงแรมเลยครับ
เรื่องความปลอดภัยของ Taxi ก็ไม่ต้องกลัว ไม่หลอก ไม่พาหลง ให้เกินมีทอน สบายใจได้
เมื่อเตรียมตัวทุกอย่างพร้อม หลังเช็คอินเสร็จก็ออกเดินทางเที่ยวเมืองอาหรับกันเลย
ใน 1 วันที่ Transit เครื่องบิน ผมมีเวลาไปได้หลายที่ ผมขอแนะนำ 7 ประสบการณ์ที่เที่ยว
ที่สามารถเที่ยวได้ใน 1 วันที่เมืองดูไบนี้ครับ ว่าจะสวยงาม อลังการดั่งเศรษฐีอาหรับหรือไม่…
1. Jumeirah Beach (Public Beach)
ชายหาดที่เราจะเห็นตึก Burj Al Arab (ตึกรูปเรือใบ) ได้อย่างสวยงาม
การเดินทางไปยังชายหาดนั้นก็แสนง่าย เพราะทางโรงแรม ibis เค้ามีบริการ Shuttle Bus ไปส่งให้ถึงที่ฟรี
แต่ละวันมีรถให้บริการหลายรอบ เพื่อนๆ ลองเช็คตารางเดินทางกับทางโรงแรมดูนะครับ
เมื่อมาถึงชายหาด จะเห็นนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากมานอนอาบแดด
อีกทั้งตลอดทางยังมีร้านขายอาหารจานด่วน พวกแฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่ามากมายหลายร้าน
สำหรับเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมเห็นจะเป็น Lemonade ที่เปรี้ยวจี๊ด ช่วยดับร้อนได้ดี
ในช่วงที่ผมไปเป็นช่วงที่อากาศร้อนมากกกก อุณหภูมิประมาณ 45-48 องศา
มองไปบนท้องฟ้าไม่มีเมฆเลยแม้แต่ก้อนเดียว แต่แม้อากาศจะร้อนแค่ไหน
ก็ยังมีผู้คนลงไปเล่นน้ำคลายร้อนกันเป็นจำนวนไม่น้อยเลยครับ ^^
2. Burj Al Arb (ตึกรูปเรือใบ)
เดินมาตาม Jumeirah Beach ไม่นาน เราก็จะเห็นตึกรูปเรือใบ ที่เป็นสัญลักษณ์ของดูไบ
แท้จริงแล้วเป็นโรงแรม 7 ดาว รูปทรงเหมือนเรือใบแล่นอยู่กลางทะเล
ตั้งอยู่บนเกาะที่ถมใหม่บนทะเล โดยเกาะนี้ใช้เวลาในการถมและสร้างพื้นที่รอบเกาะ
เพื่อความปลอดภัยจากการกัดเซาะของน้ำทะเลนานถึง 3 ปี
ตัวโรงแรมอยู่ห่างจากชายฝั่ง Jumeirah Beach ประมาณ 280 เมตร
ห้องพักที่นี่มีหลายราคา เริ่มต้นที่ราคาห้องละ $1,000 – $28,000 ต่อคืน
“ถ้าโอเปร่าเฮ้าส์ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองซิดนีย์ หรือหอไอเฟลที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองปารีส
ตึกเบิร์จ อัล อาหรับก็ต้องกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองดูไบเช่นกัน”
สถาปนิกได้กล่าวถึงตึกนี้แห่งนี้ไว้
แชะภาพไว้เป็นที่ระลึกกับมุมสัญลักษณ์ของเมืองดูไบ ^^
3. Gold Suck
ตลาดทองที่เก่าแก่ของดูไบ มีขายทองมากมายระรานตากันเลยทีเดียว
อีกทั้งยังมี Jewelry ต่างๆ อาทิ มุก และอัญมณี ที่นี่มีร้านค้ามากมายกว่าร้อยร้านให้ได้เลือกซื้อ
การเดินทางมาที่ตลาดทองนี้ก็ไม่ยากนัก
วิธีการเดินทาง นั่ง Metro สายสีเขียว ลงที่สถานี Al Ras
แล้วเดินมาประมาณ 10 นาที เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 10.00-22.00 น.
ส่วนวันศุกร์ร้านค้าจะเปิดตอน 16.00 น.
4. ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ชมวิวมุมสูง
ทริปนี้ผมลองเปลี่ยนบรรยากาศจากขึ้นไปดูวิวบนตึก มาขึ้นเฮลิคอปเตอร์ชมเมืองแทน
ผมทำการจองล่วงหน้าของ Helidubai -> เว็บไซต์จองขึ้นเฮลิคอปเตอร์
เฮลิคอปเตอร์ของที่นี่มีเป็นรอบๆและหลายราคา ซึ่งขึ้นอยู่กับแพ็คเก็จที่เลือก
ผมเลือกแบบถูกที่สุด ราคาคนละ 675 AED (ประมาณ 6075 บาท)
ใช้เวลาบิน 12 นาที (Program Iconic) ตามเส้นทางในรูป
มาชม VDO เป็นออเดิร์ฟกันก่อนที่จะคาดเข็มขัดขึ้นบินกันครับ ^^
ต้องปฏิบัติตามที่เจ้าหน้าที่บอกทุกขั้นตอน ก่อนขึ้นเฮลิคอปเตอร์
จะมีการดู VDO สาธิต บรีฟแบบสั้นๆ และจดชื่อพร้อมน้ำหนักของแต่ละคน
เพื่อทำการจัดที่นั่งไม่ให้เทน้ำหนักไปทางใดทางหนึ่ง ลำนึงนั่งได้ประมาณ 4 คน
ด้านหน้าข้างคนขับ 1 คน ด้านหลัง 3 คน หรือถ้ามีเด็กด้วยด้านหลังสามารถนั่งเพิ่มได้อีก 1 คน
การขึ้นเฮลิคอปเตอร์ทำให้ได้เห็นวิวสวยๆ ได้เห็นภูมิประเทศของดูไบที่ร่ำรวยมาก
เพราะเค้าเอาทรายมาถมทะเลจนเป็นเกาะต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะ
The Palm Island เกาะสวรรค์กลางอ่าวเปอร์เซีย ที่สร้างเป็นรูปต้นปาล์ม 3 เกาะ
มีโรงแรม Atlantis ซึ่งเป็นโรงแรมหรูหราตั้งตระหง่านอยู่ เกาะนี้สร้างด้วยทรายและหินเท่านั้น
ไม่มีการใช้คอนกรีตแต่อย่างใด เพื่อให้เข้ากับธรรมชาติมากที่สุด
ได้ยินมาว่าคนที่นี่ไม่ได้ร่ำรวยจากการขายน้ำมันเพียงอย่างเดียว
แต่ร่ำรวยจากการทำท่าเรืออีกด้วย
อยู่บนนี้จะสามารถมองเห็นตึกรูปเรือใบในมุมมองแปลกตาได้
และมุมที่ผมชอบที่สุดคือกลุ่มห้างสรรพสินค้า The Dubai Mall ที่มองจากบนนี้
แล้วจะรู้เลยว่าใหญ่โตกว้างขวางแค่ไหน โดยมีตึกที่สูงที่สุดอย่างตึก Burj Khalifa
ตั้งอยู่ตรงกลางกลุ่มห้างนี้ 12 นาที บนเฮลิคอปเตอร์นี้ผมถือว่าคุ้มค่า
กับเงินที่จ่ายไปเมื่อแลกกับการขึ้นตึกต่างๆเพื่อชมวิวมุมสูง การขึ้นเฮลิคอปเตอร์
จะตอบโจทย์และได้ภาพในมุมมองที่แปลกตามากกว่า
5. Burj Khalifa
เป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก ออกแบบโดยสถาปนิกจากเมืองชิคาโก้
สูงถึง 829.8 เมตร มีทั้งหมด 163 ชั้น เป็นที่ตั้งของโรงแรมและแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ
หากใครที่ชื่นชอบภาพยนตร์เรื่อง Mission Impossible 4 คงคุ้นกันดีกับ
ฉากที่พระเอกเข้าไปแลกข้อมูลยิงนิวเคลียร์ ซึ่งถ่ายทำ ณ สถานที่แห่งนี้
ตึกนี้มีลิฟต์ที่เร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็ว 10 เมตรต่อ 1 วินาที
คนส่วนมากนิยมไปชมวิวจากชั้นบนของตึก
แนะนำว่าควรซื้อตั๋วขึ้นตึกล่วงหน้าผ่านทางเว็บไซต์ -> เว็บไซต์ซื้อตั๋วขึ้นตึก
เพราะถ้าไปซื้อด้านหน้า ราคาจะแพงกว่าเดิมประมาณ 3-4 เท่าครับ
6. The Dubai Mall
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาด นั่นคือ Dubai Mall
เป็นห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยิ่งใหญ่ อลังการมาก
มีแบรนด์แทบทุกแบรนด์ แถม Tax Free อีกต่างหาก
เลยไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมที่นี่ถึงเป็นสวรรค์ของนักช้อป
ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้หาไม่ยากเพราะอยู่ติดกับตึก Burj Khalifa เลยครับ
วิธีการเดินทาง นั่ง Metro สายสีแดง ลงที่สถานี Burj Khalifa/The Dubai Mall
แล้วเดินทาง Walk Way ไปตามป้าย
ที่ชั้น 2 ผมไปสะดุดตากับร้านน้ำที่เก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร ชื่อว่า Beesket
ร้านนี้มีกิมมิคเก๋ๆ คือ ให้ลูกค้าสามารถเลือกส่วนผสมได้เอง
โดยหยิบไม้ที่ระบุชื่อผลไม้ใส่ในแก้ว แล้วนำไปให้ทางร้านปรุงเป็นเครื่องดื่มให้
แต่หากคิดไม่ออกว่าควรผสมอะไรเข้ากันดี ทางร้านก็มีเมนูแนะนำไว้ให้ครับ
เดินต่อมาอีกนิด ที่ชั้น G ถึง ชั้น 2 เราจะได้พบกับ
Dubai Aquarium and Underwater Zoo ที่ยิ่งใหญ่มาก
มีตู้ปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ได้รับการบันทึกลงในกินเนสส์เวิล์ดเรคคอร์ดด้วย
ด้านหน้าเป็นกระจกบานใหญ่ยาว 50 เมตร จะได้เห็นฝูงปลาแหวกว่ายมากมาย
ซึ่งสามารถชมจากด้านนอกได้ฟรีครับ หากใครอยากเข้าไปสัมผัสด้านใน
สามารถซื้อตั๋วเพื่อเดินเข้าไปในอุโมงค์ หรือใครที่ชอบแนว Adventure
ก็สามารถซื้อตั๋วเพื่อลงไปดำน้ำด้านในได้ครับ
ที่ห้างนี้มีร้านอาหารอยู่หลายร้าน แต่ร้านที่ผมอยากจะแนะนำให้มาลอง คือ
TGI Fridays ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้น 2 คนอาจจะเยอะหน่อยในช่วงค่ำ
เพราะนอกจากอาหารอร่อย รอไม่นานแล้วยังสามารถชมการแสดงน้ำพุได้จาก
บริเวณระเบียงของร้าน (โซนที่นั่งด้านนอก) โดยไม่ต้องไปเบียดใครด้วย
ที่ด้านนอกของร้าน สามารถเห็นการแสดง
น้ำพุประกอบเสียงเพลง (Dancing Fountains) ได้จากมุมสูงด้วยครับ
7. Dubai Fountains
ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป จะมีการแสดง
น้ำพุประกอบเสียงเพลง (Dancing Fountains) รอบละ 5 นาที
จนถึงเวลา 23.00 น. แต่ละรอบห่างกันประมาณ 30 นาที และเพลงก็ไม่ซ้ำกัน
จังหวะของน้ำพุเป็นไปตามจังหวะของเพลงแต่ละเพลง
โชว์น้ำพุที่นี่อลังการมาก เพราะเค้ายิงน้ำพุขึ้นไปสูงถึง 500 ฟุต
หรือประมาณ 152.4 เมตร จากจุดนี้เราจะเห็นตึก Burj Khalifa เป็นฉากหลัง
7 ประสบการณ์บนที่เที่ยวแห่งใหม่ ที่สามารถเที่ยวได้ใน 1 วันเต็มๆ
รวมถึงดื่มด่ำกับความมั่งคั่งของเมืองดูไบแห่งนี้
ต้องยอมรับเลยว่าเมืองนี้ร่ำรวยจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเนรมิตขึ้นมา
เพื่อที่จะดึงดูดให้เมืองดูไบมีอะไรให้เที่ยวมากกว่าความเป็นจริง
“ดูไบ…จากเมืองเนรมิตสู่สถาปัตยกรรมบนดินแดนอาหรับราตรี”
พบกับตอนที่ 2 ไปบันทึกเที่ยวกันที่ประเทศจอร์แดน
ชมนครสีชมพู เพตรา (Petra) ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
โดย สารการบิน flydubai เช่นเดิม
Link รีวิวจอร์แดน –> จอร์แดน ทะเลเดดซีและนครเพตรา
ขอขอบคุณเลนส์จากบริษัท Tamron เป็นรุ่น
Tamron 24-70mm. F2.8 Di VC USD G2 Model A032
ซึ่งทำให้ภาพสีสันสวยงาม คมชัด แถมกันสั่นในตัว
รูปทั้งหมดล้วนมาจากเลนส์รุ่นนี้เลยครับ
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^