ทริปนี้เป็นทริปในฝันของเราสองคน หลังจากที่เห็นฉากเปิดตัวของหนังเรื่อง Fast and Furious ภาค 5 ซึ่งเป็นภาพมุมสูงของรูปปั้นพระเยซูคริสต์ ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา กางพระหัตถ์ทั้ง 2 ข้างออก ราวกับกำลังปกป้องเมืองแห่งนี้เอาไว้ ช่างยิ่งใหญ่อลังการจนอยากไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง เราสองคนจึงเริ่มหาข้อมูล แล้วก็พบว่าสถานที่นี้ตั้งอยู่ที่ ประเทศ บราซิล ในเมื่อบินมาไกลซะขนาดนี้ เที่ยว 18 วัน ลางาน 11 วัน (ติดช่วงวันหยุดยาว) ก็ขอพ่วงไปประเทศอื่นแถบนี้ต่ออย่าง เปรู และ อาร์เจนติน่า ที่จะพูดถึงในตอนต่อไป จึงเป็นที่มาของทริปอเมริกาใต้ที่บินกันยาวที่สุดในชีวิตนี้เลย มาพูดถึงประเทศแรกของทริปกับการบินลัดฟ้าไป #บันทึกเที่ยว ของพวกเราสองคน ประเทศที่ไม่ได้มีดีแค่เรื่องฟุตบอล แต่ถ้าได้ไปสัมผัสจริงๆแล้ว บอกเลยว่าต้องโดน!!!…“Brazil – City of The Best”
(Bilingual Review)
This is a dream trip of two of us. After seeing the opening scene of Fast and Furious 5 that is a high angle view of the statue of Jesus Christ on the top of the mountain. Jesus spread both hands as he is protecting the whole city. This shot is very impressive and we swear together that we will go there once in our lifetime. After that, we started collecting related information and found out that it is a place in Brazil. Going there is a very long journey that take around 18 days (we had to take leave for 11 working days), so we desired to include other nearby countries including Peru and Argentina in this trip. I will talk about it later in the next chapter. All the results I mentioned above led to my longest trip in my life – South America. Let’s talk about the first country of this trip that is the country that does not only popular in term of soccer but also will be the one that you will fall in love if you go which is…“Brazil – City of the Best”.
เตรียมตัวให้พร้อมก่อนเดินทางอันแสนยาวไกล 18 วัน – 3 ประเทศอเมริกาใต้ / 1 ประเทศยุโรป
เรื่องที่พวกเรากังวลกันมากในการเดินทางครั้งนี้คือ เรื่องความปลอดภัย ทั้งเรื่องของกระเป๋าเดินทางและ กระเป๋าถือที่ต้องใส่ของสำหรับใช้ประจำวัน เพราะประเทศแถบอเมริกาใต้นี่ขึ้นชื่อเรื่องของขโมยพอสมควร ผมเลือกใช้กระเป๋าจากยี่ห้อ Pacsafe ซึ่งมีทั้ง Backpack, Cross Body, กระเป๋าห้อยคอ, กระเป๋าตังค์ ฯลฯ วัสดุที่ใช้ คอนเฟิร์มเลยว่าไม่สามารถกรีดหรือตัดได้แน่ๆ ตัวล็อคดีไซน์มาอย่างล้ำ เพราะกว่าจะเปิดได้ต้องผ่านกระบวนการไม่น้อยกว่า 5 ขั้นตอน ลำบากหน่อยแต่อุ่นใจกว่า แถมมีช่อง RFID ป้องกันการโจรกรรมข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างดี และยังใช้วัสดุที่เบาแต่คงทนอีกด้วย สามารถเข้าไปดูตัวอย่างและรายละเอียดสินค้าต่อได้ที่ -> Pacsafe
Get ready for a long 18–day journey! (3 counties in South America & 1 country in Europe)
One thing that we concerned in this trip is the safety of our luggage and handbag that we use every day. Because many countries in South American are notorious in term of thief. We chose bags from “Pacsafe” such as backpack, cross body bag, pocket light bag, wallet etc. Pacsafe bags are guaranteed that they are unable to be cut. The lock design is superb because you must do 5 steps to unlock. There is RFID space that helps you to prevent the electronic theft. Pacsafe bags are light and durable. For further information, please visit: -> Pacsafe.
Free Visa แต่ต้องไปฉีดวัคซีนไข้เหลือง
3 ประเทศอเมริกาใต้ / 1 ประเทศยุโรป ที่ผมเดินทางไป ไม่ต้องใช้วีซ่าเลย ทั้ง บราซิล เปรู อาร์เจนติน่า และตุรกี ส่วนการฉีด วัคซีนไข้เหลือง (Yellow Fever Vaccine) ซึ่งไข้เหลืองนี้จัดเป็นโรคกลุ่มไข้เลือดออกชนิดหนึ่งที่มียุงเป็นพาหะ โดยเราจะต้องฉีดวัคซีนก่อนเดินทางอย่างน้อย 10 วัน สามารถฉีดได้ที่ รพ. เวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล (BTS อนุสาวรีย์ชัยฯ) เมื่อฉีดแล้วจะได้รับ International Certification of Vaccination เพื่อแสดงก่อนผ่าน ตม. ตอนกลับเข้าไทย สามารถจองล่วงหน้าทางเว็บไซต์ -> Link นัดล่วงหน้าฉีดวัคซีนไข้เหลือง วันที่นัดก็อย่าลืมนำสำเนา Passport ไปด้วย ฉีดเข็มเดียวอยู่ได้ตลอดชีพ หากไม่สะดวกที่นี่ สามารถเลือกฉีดได้ที่สถานเสาวภา หรือ รพ. ทั่วไป
Free Visa but require tourists to vaccinate yellow fever
All countries we planned to visit (Brazil, Peru, Argentina, and Turkey) announced free visa for Thai tourists. But we must be injected yellow fever vaccine at least 10 days before travel. We can get the vaccine at the Faculty of Tropical Medicine Hospital for Tropical Dicsases, Mahidol University (BTS: Victory Monument station). Then we will get the International Certificate of Vaccination or Prophylaxis and must show it at the counter before immigration counter when we come back. You can book in advance in the website. -> Link pre-vaccination yellow fever. Do not forget to bring a copy of your passport when you go the hospital. You need to get this vaccine only once in a lifetime. You can either get the vaccine at Queen Saovabha Memorial Institute or other general hospitals.
Traveloka แอพเดียวเอาอยู่ทั้งที่พักและตั๋วเครื่องบิน
การจองที่พักล่วงหน้าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเราจะได้วางแผนการเดินทางในแต่ละวันได้ถูก รวมถึงไม่ต้องไปเสี่ยงแบกเป้หาที่พักในพื้นที่สุ่มเสี่ยงแบบนั้น ครั้งนี้เราจองที่พักผ่าน Traveloka ซึ่งมีให้เลือกทั้งจองตั๋วเครื่องบิน, จองโรงแรม, เที่ยวบิน+โรงแรม และ บริการรับส่งสนามบิน จะทำผ่านหน้าเว็บไซท์ Traveloka หรือผ่าน Mobile App Traveloka ก็สะดวก ทั้งทริปทุกประเทศในอเมริกาใต้ผมจองผ่าน Traveloka ทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าแอพนี้มีที่พักครอบคลุมทั่วโลกเลยก็ว่าได้
Traveloka – the only one application for accommodation and flight ticket
Advance booking for the accommodation is very important because we can easily plan trip in each day and no need to take risk of random find the hotels in some risky areas. This time we chose to use service of Traveloka which we can book flights, hotel, flight + hotel, and airport transfer. You can choose to book via Traveloka website or Traveloka mobile application that is very convenient. All our travels in South America, we booked through Traveloka only. That’s mean it has service in many countries around the world.
เดี๋ยวจะหาว่าผมขี้โม้ว่า Traveloka มีให้จองครอบคลุมหลายประเทศทั่วโลก มาดูตัวอย่างโรงแรมที่ผมเลือกและจองเข้าพักกันดีกว่า (ส่วนรายละเอียดของแต่ละที่พักผมจะลงตอนท้ายรีวิวนะครับ) เริ่มต้นใส่ชื่อเมืองที่จะไปหรือถ้ามีโรงแรมในใจก็ระบุได้เลย เลือกวันที่เข้าพัก พอกดค้นหาทางเว็บจะมีลิสท์ขึ้นมาให้เลือก เราสามารถกรองขั้นต้นได้ว่าอยากได้กี่ดาว หรือสามารถกด Map เพื่อดูว่าโรงแรมนั้นใกล้สถานีรถไฟอะไรมั้ย ที่เซาเปาโล ผมเข้าพักที่ San Juan Business Sao Paulo ตกคืนละ 1,9xx บาท (รวมอาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน) ลิ้งค์จองที่พักเซาเปาโล และที่ริโอเดอจาเนโร ผมเข้าพักที่ Copacabana Mar Hotel ตกคืนละ 2,6xx บาท (รวมอาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน) ลิ้งค์จองที่พักริโอเดอจาเนโร เมื่อเลือกที่พักได้แล้วจะมีประเภทห้องรวมถึงรายละเอียดแต่ละที่ ถ้าถูกใจก็กดจองได้ทันที เลข Booking ก็จะส่งมาทางเบอร์มือถือที่ให้ไว้ สะดวกสุดๆเลยครับ ^^
Before blaming me that I overstated that Traveloka offer services in many countries around the world, let’s see the example of the hotel I chose and booked (details of each accommodation will be shown at the end of this review). Start by entering the name of the town you will go. If you have the name of the hotel in your mind, you can specify. Then select the date(s) of your stay and press Search button. After that, there will be the lists of the hotels that you can filter out what grade that you want or click Map to see whether the hotel is near the train station or not. At Sao Paulo, we stayed at San Juan Business Sao Paulo which cost around 1,9xx THB (include breakfast for 2 persons) Link to reserve hotel in Sao Paulo. At Rio de Janeiro, we stayed at Copacabana Mar Hotel which cost 2,6xx THB (include breakfast for 2 persons) Link to reserve hotel in Rio de Janeiro. When you already selected the hotel, you can select the room type and other details. If everything is ok, you can reserve immediately then you will get booking number via your mobile. That is very convenient way.
Turkish Airlines สายการบิน 5 ดาว ประจำชาติตุรกี
ครั้งนี้เราได้มีโอกาสเดินทางในชั้นธุรกิจของสายการบิน Turkish Airlines สายการบินยุโรปที่เคยได้รับรางวัล Best Airline in Europe ถึง 6 ปีติดต่อกัน รับประกันคุณภาพดีในทุกระดับชั้น (การันตีด้วยรางวัล Skytrax) เรื่องคุณภาพและการบริการจึงสบายใจ หายห่วง หลังจากเช็คอินที่เคาน์เตอร์ที่สนามบินสุวรรณภูมิเรียบร้อย เราก็สามารถไปนั่งพักผ่อนที่ Lounge ก่อนขึ้นเครื่องได้เลย
Turkish Airlines – 5 Star National Airlines of Turkey
This time we have a chance to travel in the business class of Turkish Airlines, a European airline that has been awarded the Best Airline in Europe for six consecutive years and guaranteed good quality at all levels by Skytrax. So, no need to worry about the quality and service. After checked in at the counter at the airport, we relaxed at the Lounge before departing.
ตัวเครื่องเป็น A330-300 ผังที่นั่งชั้นธุรกิจเป็นแบบ 2-2-2 มีที่นั่งทั้งหมด 28 ที่ พอนั่งประจำที่ปุ๊บ แอร์โฮสเตสก็มาแนะนำตัวกับเราทันที พร้อมนำ Welcome Drinks มาให้เลือก อีกสักพักก็นำหนังสือพิมพ์และ Amenities Bag ของแบรนด์ Bentley มาให้ พร้อมทั้งหูฟัง Denon คุณภาพเสียงกระหึ่มราวกับอยู่ในโรงหนัง (แต่หูฟังนี้ต้องคืนพนักงานก่อนลงเครื่องนะครับ) รวมถึงนำเมนูอาหารมาให้เลือก ส่วนเครื่องดื่มมีทั้งแอลและโนแอลซึ่งขอเพิ่มได้ตลอด เสิร์ฟแบบไม่อั้น แค่นี้ก็คุ้มและฟินมากละครับ
The model of the airplane is A330-300. The seats of business class is 2-2-2 with totally 28 seats. After we seated, the flight attendant came with welcome drinks and introduce herself to us. Then they serve the newspaper, amenities bag of the Bentley brand, and Denon headphones which the quality of the sound quality as good as in the cinema. But this headset must be returned to the staff before landed. They also gave us the menu. There are both alcohol and non-alcohol beverages that we can request throughout the flight.
พอเครื่องขึ้นได้ไม่นาน พนักงานก็นำของทานเล่นอย่างถั่วนานาชนิด และเครื่องดื่มตามที่เราเลือกไว้มาเสิร์ฟ ตามด้วยอาหารมื้อแรก โดยเราเลือกทาน Creamy Mushroom Soup ซุปรสชาติกลมกล่อม / Grilled Prawns and Pomelo Coconut Salad กุ้งตัวใหญ่ๆ พร้อมส้มโอ และมะพร้าว รสชาติเข้ากันได้ดี / Grilled Chicken Breast เอาใจคนรักสุขภาพ ด้วยอกไก่ย่างที่รสชาติกลมกล่อม เนื้อไม่แห้งจนเกินไป / Linguine with Parmesan Tomato Sauce และตบท้ายด้วยของหวานที่มากันเป็นรถเข็น สามารถเลือกทานได้ตามชอบแบบไม่อั้น อีกมื้อจะเป็นอาหารเช้าเบาๆมีให้เลือกทั้ง ออมเลท และ ไข่ดาว ทานคู่กับขนมปังหอมๆน่าทานสุดๆ เรื่องอาหารนี่ไม่ต้องห่วง รับรองว่าถูกปากคนไทยแน่นอน อีกทั้งยังมี Flying Chef ให้บริการตลอดทุกเที่ยวบิน จึงได้อาหารที่สดใหม่ทุกวัน
After takeoff for a while, they serve snack i.e. various nuts and drinks that we selected. Followed by the first meal that we chose including Creamy Mushroom Soup / Grilled Prawns and Pomelo Coconut Salad / Grilled Chicken Breast / Linguine with Parmesan Tomato Sauce. End up with the dessert that served in the cart. We can select as much as we want. Another meal is a light breakfast that are omelet / fried egg served with bread. Food is very delicious because there is Flying Chef cooked for us on the airplane. Thus, food is fresh every day.
หลังอิ่มท้องแล้ว พนักงานจะเดินมาตามที่นั่งเพื่อปูที่นอน พร้อมนำหมอนและผ้าห่มมาให้ พนักงานบริการดีมากๆ ยิ้มแย้มตลอด ที่นั่งกว้างขวาง สามารถปรับนอนได้ราบ 180 องศา มีฟังก์ชั่นนวดแก้เมื่อยเวลานั่งเครื่องนานๆ มีจอส่วนตัวขนาดใหญ่ พร้อมด้วยรีโมทที่มีหน้าจอ Touch Screen ในตัว ใช้งานง่าย ระหว่างเดินทางมีขนมและเครื่องดื่มมาเสิร์ฟตลอด อีกทั้งยังมีหนังใหม่ๆและเกมส์มากมาย ที่สำคัญ Wifi ฟรีสำหรับชั้นธุรกิจ ไม่จำกัดชั่วโมงตลอดไฟลท์ด้วยนะครับ ทำให้การนั่งเครื่อง 10 ชั่วโมง ผ่านไปอย่างไม่รู้เบื่อ รู้ตัวอีกทีก็ตอนกัปตันประกาศว่าเครื่องกำลังจะลงที่เมือง Istanbul ซะแล้ว O_0
When we already full, flight attendant will come the set the bed for us and give pillow and blanket. All staffs are very nice and smiley. The seat can be adjusted for 180 degrees and has massage function that is very good choice for a long flight. There is a large personal screen. The remote is touch screen and very easy to use. Snacks and drinks are served throughout the flight. There are a lot of new movies and games. There is unlimited free Wi-Fi for business class passengers. 10-Hour flies so fast. We realize again when the captain announced that we are reaching Istanbul O_0.
รอต่อเครื่องอีกประมาณ 4 ชั่วโมง เลยถือโอกาสไปใช้บริการ CIP Lounge ซึ่งเป็น Lounge ที่ใหญ่โตมาก แถมยังได้รับรางวัล Best Lounge ที่ดีที่สุดในโลกอีกด้วย (รายละเอียด Lounge จะขอไปพูดตอนขากลับนะครับ) มาเดินทางกันต่อจากเมือง Istanbul ไปยังเมือง Sao Paulo บราซิล โดยใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 13 ชั่วโมง ด้วยเครื่อง Boeing 777-300 ER ผังที่นั่งชั้นธุรกิจเป็นแบบ 2-3-2 มีทั้งหมด 7 แถว เครื่องรุ่นนี้จะต่างจากเครื่อง A330-300 ที่เรานั่งมาขาแรก โดยที่นั่งจะกว้างกว่าเล็กน้อย ที่วางเท้าจะเป็นช่องเก็บของในตัว สามารถเปิดออกมาเพื่อใส่รองเท้า กระเป๋า ฯลฯ ได้ Amenities Bag ที่ได้เป็นของ Furla หนังกระเป๋านุ่มมาก ส่วนบริการอื่นเป็นไปตามมาตรฐานของ Turkish Airlines ที่จัดว่าดีเยี่ยมเลยทีเดียว
We waited for 4 hours during the transit, so we went to take a rest at CIP Lounge. This huge lounge is awarded as the best lounge in the world. (the details of the lounge will be described in the part when we come back). Travelling from Istanbul to Sao Paulo (Brazil) takes 13 hours. Our airplane is Boeing 777-300 ER. The business class seat is 2-3-2 with total 7 rows. The seat is a big larger than the seat of A330-300 that we used in the first flight. The footrest is a built-in storage compartment that can keep shoes, bags, etc. inside. The amenities bag is Furla leather bag that is very soft. Other services are compliant with Turkish Airlines’ standards.
สำหรับไฟลท์นี้จะมีอาหารเสิร์ฟ 2 มื้อ เช่นกัน โดยมื้อแรกที่เราเลือกทานเป็น Sweet Pumpkin Soup / Best of Turkish Meze Grilled Fillet of Salmon / Homemade Lemonade with Mint / Hot Chocolate / Double Chocolate Nougat / Lemon Tart สำหรับอาหารเย็นที่เสิร์ฟก่อน Landing เราเลือกเป็น Potpourri of Seafood / Seasonal Garden Fresh Salad / Fresh Herbal Grilled Baby Chicken เรามีเวลาบนเครื่องไฟลท์นี้ค่อนข้างนาน จะเล่นเกมส์ เล่นเน็ท ดูหนัง นอนหลับ หรือตื่นมาทานของว่าง ทุกอย่างอยู่ภายใต้การเดินทาง 13 ชั่วโมง ดูเหมือนนานแต่เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนได้ยินเสียงกัปตันประกาศให้เตรียมตัว…ใกล้เจอกันแล้วนะ บราซิล
In this flight, there are 2 meals served. Our first meal is Sweet Pumpkin Soup, Best of Turkish Meze Grilled Fillet of Salmon, Homemade Lemonade with Mint, Hot Chocolate, Double Chocolate Nougat, and Lemon Tart. The second meal that served before landing is Potpourri of Seafood, Seasonal Garden-Fresh Salad, and Fresh Herbal Grilled Baby Chicken. We have a lot of time to play games, search information in the internet, sleep, and wake up to have some snacks. 13-Hour journey seems so long, but time has passed very quickly. I heard the captain announced to prepare for landing that means we are reaching our dream destination…Brazil.
สถานที่ท่องเที่ยวใน บราซิล
เซาเปาโล ด่านแรกของการมาเยือนอเมริกาใต้
สวัสดีแซมบ้า สำหรับนักท่องเที่ยวไทยที่มาเที่ยว บราซิล ไม่เกิน 90 วัน ได้รับยกเว้นการทำวีซ่า ทำให้ไม่ต้องตรวจอะไรให้ยุ่งยากมากนัก
!!!Tips!!! ขอแนะนำให้แลกเงินที่สนามบิน เพราะการหาแลกในเมืองหรือตามโรงแรมนั้นค่อนข้างยาก จะต้องคอยหาแลกตามร้านแลกเงินซึ่งจะเป็นห้องทึบมีลูกกรงกั้น ซึ่งเมื่อเทียบเรทก็ไม่ต่างกัน อีกหนึ่งความลำบากก็คือการสื่อสารเพราะคนที่นี่เค้าไม่พูดอังกฤษกันเลย หากใครคิดที่จะไปแลกเงินที่ธนาคาร เท่าที่ลองมา ธนาคารจะให้บริการเฉพาะลูกค้าของเค้าเท่านั้น นักท่องเที่ยวอย่างเราเลยต้องเดินคอตกออกมา
ที่พักของพวกเราอยู่ใกล้ สถานีรถไฟใต้ดิน Republic การเดินทางจากสนามบินไปมี 2 วิธี คือ Shuttle Bus ราคาคนละ 45 BRL (1 BRL ประมาณ 9 บาท) แต่เนื่องจากตอนที่เราไปถึง Shuttle Bus ไม่มีให้บริการแล้ว เราจีงต้องเรียก Taxi ไป ในราคา 129 BRL โดยทั้ง Shuttle Bus และ Taxi ต้องมาเรียกที่ Terminal 1
Attractive Attractions in Brazil
Sao Paulo – start point of our South America trip
Hello Samba! Thai tourists who visit Brazil not more than 90 days are not required to apply for visa and not too difficult to pass the immigration.!!!
!!!Tips!!! We recommend to exchange money at the airport because money exchange in the city or at the hotel is quite difficult. You should find out the exchange counter in a small room with fence. When compared with exchange at the airport, the rates do not differ too much. Another difficulty of money exchange here is the communication because most of the people in Brazil cannot speak English. If you think to exchange at the bank, you will disappoint because the banks in Brazil will serve their customers only.
Our accommodation is near Republic station. There are two ways to get here from the airport: Taking shuttle bus that costs 45 BRL (1 BRL is around 9 THB). There is no shuttle bus when we arrived, so we have to take taxi that costs 129 BRL. Both shuttle bus and taxi are able to found at Terminal 1.
เราเริ่มต้นการเที่ยวเมืองเซาเปาโลด้วยการนั่งรถ Circular Turismo Sightseeing (SP) ซึ่งเป็นรถ Hop On Hop Off 2 ชั้น ชั้นบนเป็นแบบ Open Air เห็นวิวได้รอบ ไปยังสถานที่เที่ยวต่างๆ โดยจุดขึ้นรถที่สะดวกและใกล้กับที่เราพักที่สุดขึ้นที่ Praça da República (República Square) บริเวณ Tourist Information สามารถซื้อตั๋วได้บนรถ โดยสามารถจ่ายได้ทั้งเงินสดและบัตรเครดิต
We started our trip in Sao Paulo by taking Circular Turismo Sightseeing Bus (SP) which is 2-storey Hop-On Hop-Off bus. The upper story is open air, so you can enjoy the view of the city. The nearest bus stop is at the Praça da República (República Square) near the Tourist Information. The ticket can be purchased on the car either by cash or credit cards.
รถใช้เวลาวนรอบเมืองทั้งสิ้นประมาณ 3 ชั่วโมง โดยจะแวะตามจุดสำคัญต่างๆ ทั้งโบสถ์ พิพิธภัณฑ์ สวนสาธารณะ บางสถานที่สามารถใช้บัตรโดยสารเข้าฟรี โดยจะหยุดให้ ขึ้น-ลง สถานที่ละ 5 นาที สามารถลงไปถ่ายรูปแล้วขึ้นรถเพื่อไปต่อ ระหว่างทางเราจะเห็น Graffiti ตามกำแพงริมทางมากมาย บ่งบอกถึงความรักในศิลปะของคนที่นี่ได้เป็นอย่างดี
เวลาเดินรถ: วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 9:00 น., 11:20 น. และ 14:10 น. / วันเสาร์ เวลา 8:00 น., 10:30 น. และ 13:30 น. / อาทิตย์และวันหยุด เวลา 10:00 น., 11:40 น., 13:20 น., 15.30 น. และ 17:10 น.
ราคา: 40 BRL (1 USD = 3.25 BRL หรือ 1 BRL = 9 บาท)
The bus takes about 3 hours to go around the city and stops at the main tourist points i.e. church, museum, park etc. Some places can be visited for free. The bus stops for 5 minutes at each place, so we can stop by to take some pictures. On the way, we saw many graffiti on the walls that reflect the love in the art of the people here.
Bus schedule: Monday – Friday 9 a.m., 11.20 a.m. and 2.10 p.m. / Saturday 8 a.m., 10.30 a.m. and 1.30 p.m. / Sunday and Holidays 10 a.m., 11.40 a.m., 1.20 p.m., 3.30 p.m., and 5.10 p.m.
Price: 40 BRL (1 USD = 3.25 BRL or 1 BRL = 9 THB)
จุดแรกที่เราแวะถ่ายรูปคือ พิพิธภัณฑ์ฟุตบอล (Pacaembu Stadium) แต่ไม่ได้เข้าไปชมด้านในนะครับ
The first place we stopped to take photo is at Pacaembu Stadium but we did not go inside.
ตามด้วย Paulista Museum – MASP, Casa das Rosas, Ibirapuera, São Paulo Cultural Center, Liberdade, Pateo do Collegio และ Municipal Theater
The next visiting places are Paulista Museum – MASP, Casa das Rosas, Ibirapuera, São Paulo Cultural Center, Liberdade, Pateo do Collegio and Municipal Theater.
พอรถวนกลับมาที่จุดเริ่มต้น เราก็ขึ้น Metro ที่ สถานี Republica มาลงที่ สถานี Se ราคาค่าโดยสารอยู่ที่ 4 BRL เพื่อมาชมความงามของ มหาวิหารเซาเปาโล (Sao Paulo Cathedral) ซึ่งเป็นโบสถ์เก่าแก่
When the bus come back to the starting point, we went to take Metro at Republica station and stop at Se station. The fare is 4 BRL per person. We came here to see the beauty of Sao Paulo Cathedral which is the old church of Brazil.
ด้านหน้าโบสถ์คือถนน Praça da Sé ที่มีต้นปาล์มเรียงราย ระหว่างถ่ายรูปบริเวณพื้นที่ด้านหน้าของวิหาร ควรเก็บสิ่งของมีค่าและระวังทรัพย์สินต่างๆ เพราะที่นี่มี Homeless เยอะมาก มหาวิหารแห่งนี้เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดของเมืองและเป็นที่ประทับของอาร์คบิชอป สร้างเสร็จเมื่อปี 1954 เพื่อรองรับงานเฉลิมฉลองครบรอบ 400 ปีของเมือง Sao Paulo และเป็นศูนย์กลางของชุมชนชาวคริสต์นิกายคาธอลิกสืบเนื่องมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 16 โดยตอนเริ่มต้นเป็นเพียงแค่สถานที่เคารพบูชาที่สร้างด้วยกำแพงโคลน แต่ในปัจจุบันได้กลายเป็นวิหารนีโอกอธิกที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง
เวลาเปิด-ปิด: เปิดให้บริการทุกวันโดยไม่เก็บค่าเข้าชม
The front of the church is Praça da Sé road that full of palm trees. While taking pictures here, we should keep our valuables and beware all the times because there are a lot of homeless. This cathedral is the largest church in the city and be the home of Archbishop. It was completed in 1954 to celebrate the 400th anniversary of Sao Paulo city. It has been the center of the Catholic community since the late 16th century. Originally it was a worshiping place built by mud walls, but today it has become one of the largest neo-Gothic cathedrals in the world.
Opening hours: Opens every day and Free of charge.
นั่ง Metro ไป สถานี Sao Bento เพื่อไปยังตลาดเทศบาล พอขึ้นมาจากสถานี เราจะต้องเดินผ่าน R25 ซึ่งเป็นย่านที่ขายของจิปาถะมากมาย คล้ายสำเพ็งบ้านเรา ผู้คนมาจับจ่ายซื้อของกันเยอะมาก มีตำรวจคอยยืนคุมอยู่ตลอดทาง
Then we take the Metro to Sao Bento station to get to the municipal market. We have to walk through the R25 which is the area that people sell a lot of miscellaneous things look like Sum-Peng in Bangkok. A lot of people come to shopping here and there are many policemen standing along the way.
เดินมาเรื่อยๆ จนเจอตึกสีเหลืองที่มีโดมอยู่ด้านบน รูปทรงคล้ายหัวลำโพง ภายในเป็นตลาดเทศบาล Mercado Municipal ที่ขายของมากมายทั้งของสด ของแห้ง ผลไม้ พืชผัก ถั่ว และเครื่องเทศต่างๆ
We keep walking until find the yellow building with the dome on top which look likes Hua Lum Phong. Inside this building is Mercado Municipal Market which there are a lot of shops that sell fresh/dried food, fruits, vegetables, nuts and spices.
อีกทั้งยังมีร้านอาหารและบาร์ให้เลือก ที่ขอแนะนำคือร้าน Hocca Bar ซึ่งอยู่ชั้น 2 ของตลาด เป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1952 ร้านนี้คนจะเยอะกว่าร้านอื่นๆ อาจจะต้องรอคิวกันนานสักหน่อย เมนูที่ขึ้นชื่อของทางร้าน คือ Mortadela เป็นขนมปังสอดไส้บาโลน่าเนื้อทะลัก แทรกด้วยชีสเยิ้มๆ มะเขือเทศปรุงรส มีความเผ็ดนิดๆ ทานหมดมีจุกกันเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีเมนู Belissima เป็นหมูเค็มๆ ตัดกับชีส พร้อมด้วยขนมปังกรอบ และ O Famoso กุ้งพัฟที่เสิร์ฟพร้อมหัวหอม ส่วนเครื่องดื่มที่ฮอตฮิดที่สุดของที่นี่คือเบียร์ จะมีพนักงานเดินเสิร์ฟตลอด
เวลาเปิด-ปิด: เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เช้ามืดถึงตอนเย็น มีลานจอดรถใกล้ๆ
The restaurants and bars are also available here. We recommend Hocca Bar that located on the second floor of the market. It is a traditional bar that opened in 1952. You will see a lot of people waiting in the queue. The popular menu is Mortadela which is sliced bread filled with a lot of Bologna sausage, cheese, and tomato. Its taste is a bit spicy. Moreover, there are Belissima (salted pork with cheese served with bread) and O Famoso (shrimp puffs with onions). The best seller drinks is beer. The staffs serve all the time.
Opening Hours: Open daily from dawn to dusk. There is a parking lot nearby.
วันรุ่งขึ้นเราเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมตอนเช้าเพื่อไปขึ้นเครื่อง โดยให้ทางโรงแรมเรียกรถ Taxi ในราคา 120 BRL ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที ถึงสนามบิน เพื่อเตรียมขึ้นเครื่องเดินทางไปยัง น้ำตกอีกัวซู หรือ อีกวาซู (Iguazu Falls) ลองเลือกที่นั่งฝั่งซ้ายนะครับ เพื่อจะได้มองเห็นน้ำตกจากมุมสูง (บางครั้งกัปตันใจดี วนรอบน้ำตกให้ดูด้วย) นั่งเครื่องมา 1.30 ชั่วโมง ก็มาถึง สนามบิน Iguazu Falls
The next morning, we checked out of the hotel and head to the airport. The hotel staff called Taxi for us. Its fare is 120 BRL and takes about 40 minutes to get to the airport. We are going to visit Iguazu Falls. Let’s try to sit on the left-hand side, so you can see the falls from the airplane. It takes around 1.5 hours to reach at Iguazu Falls Airport.
อีกวาซู ธรรมชาติติดระดับโลก
Iguazu Falls ได้รับการโหวตให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ 1 ใน 7 ของโลก และเป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก กินพื้นที่บริเวณพรมแดนของ 2 ประเทศ คือ อาร์เจนตินา และ บราซิล (ฝั่งอาร์เจนตินามีพื้นที่ใหญ่กว่า) สามารถเที่ยวได้ทั้ง 2 ฝั่ง เหมือนกับน้ำตก Niagara ของอเมริกาและแคนาดา จากที่เราเคยทึ่งในความอลังการของ Niagara Falls มาแล้ว พอมาเจอ Iguazu Falls ขอบอกเลยว่าทึ่งกว่าเดิมเป็น 2 เท่า
Iguazu Falls – World Nature
Iguazu Falls is voted to be 1 of the 7 natural wonders of the world. It is the second largest waterfall in the world. Its cover the area of both Argentina and Brazil (The falls in Argentina is larger). It can be seen on both sides liked Niagara Falls that we can visit in USA and Canada. We felt double amazed when we see Iguazu Falls.
พอถึงสนามบิน เรานำกระเป๋าไปฝากไว้ที่ Locker ซึ่งอยู่ด้านหน้าสนามบิน (เดินออกประตูแล้วลงบันไดมาชั้นล่าง) ราคาเช่า (ไม่เกิน 24 ชั่วโมง) สำหรับตู้เล็ก จะใช้ 1 Token ส่วนตู้ใหญ่จะใช้ 2 Token ซึ่ง Token นี้จะต้องไปแลกที่ Food Court บนชั้น 2 ของสนามบิน ราคา Token ละ 30 BRL จากนั้นนั่ง รถเมล์สาย 120 ไปถึงหน้าทางเข้า Iguazu Falls เลย เมื่อถึงหน้าทางเข้า ไปซื้อตั๋วที่เครื่องจำหน่ายตั๋วกันก่อน โดยเครื่องนี้จะรับบัตรเดบิตหรือบัตรเครดิตเท่านั้น หลังซื้อตั๋วแล้วจึงมาต่อแถวเพื่อเข้าไปด้านใน
When we arrived at the airport, we deposited our luggage in the locker located in front of the airport. To rent the small locker (up to 24 hours) we have to pay 1 Token. The bigger locker is required 2 Tokens. The Token can be exchanged at the Food Court located on the 2nd floor of the airport (1 Token = 30 BRL). Then we take bus number 120 to go the entrance of Iguazu Falls. At the entrance, we have to buy tickets at ticket machines. The machines accept debit or credit cards only. After that, we must go in the line and wait to go inside.
ระหว่างที่รอคิว มีเจ้าหน้าที่มาแนะนำว่าหากต้องการล่องเรือให้ซื้อตั๋วที่เคาน์เตอร์พิเศษด้านใน และจะได้นั่งรถบัส VIP โดยไม่ต้องไปรอคิวอันแสนยาว เราจึงตัดสินใจตามเจ้าหน้าที่ไปทันทีเพราะราคาเท่ากับที่ซื้อหน้าเคาน์เตอร์ปกติ (ราคา 215.40 BRL ต่อคน) รสบัสพาเราไปยังจุดลงเรืออย่างรวดเร็ว แต่วันที่เราไปเป็นวันหยุด ทำให้คนมาเที่ยวเยอะมาก เราใช้เวลารอคิวอยู่เกือบ 2 ชั่วโมง เพราะการบริหารจัดการคิวที่นี่ยังไม่ดีเท่าที่ควร ทั้งทัวร์และคนทั่วไปปะปนกันมั่วไปหมด
While waiting in the queue staff recommend that if we want to take the cruise, we can buy the ticket at another counter inside. And we can take VIP bus to go inside without having to wait long queues. So, we decided to follow the staff immediately because the price is same as buying at normal counter (215.40 BRL per person). The bus takes us to the point that we can get the cruise so fast. Due to the day we visit is holiday, there are a lot of people. We spent nearly 2 hours waiting in the queue. The queue management is not so good because both tours and individual tourist are mixed up in the same line.
จนถึงคิว เราก็นั่งรถรางเข้าไปด้านใน แล้วไปต่อรถ Jeep อีกที เพื่อไปยังจุดลงเรือ ที่จุดนี้มีตู้ Locker ให้บริการ แต่เราไม่ได้ใช้ เพราะมีกระเป๋ากันน้ำรุ่นใหม่ของ Anello รุ่น Camo ไว้ใส่ของลงเรือไปพร้อมกันเลย ส่วนชุดกันฝนมีขายที่ร้านขายของที่ระลึกในราคา 10 BRL
When it is our turn, we take tram and then Jeep to get to the point of the cruise taking. At this point, lockers are available. We did not rent any locker because we have a new version of the Anello bag. We put all our stuff inside the Camo bag and put it in the cruise with us. The raincoats are available at the souvenir shop which costs 10 BRL.
พอถึงคิวก็ใส่ชูชีพแล้วลงเรือกันเลย ที่ด้านหน้าของเรือจะเป็นขอบยางกันกระแทก คนขับมีความชำนาญมาก แม้น้ำจะไหลเชี่ยวและเร็วเพราะหินเยอะ แต่ก็ซิ่งอย่างมั่นใจ แถมหลบคลื่นได้อย่างทันท่วงที ใช้เวลาไม่นานคนขับเรือก็พาเราเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของ Iguazu Falls จนเปียกปอนกันไปหมด งานนี้เราพยายามขอที่นั่งด้านหน้าเพื่อจะได้เก็บภาพสวยๆ มาฝากเพื่อนๆ ผลคือเปียกปอนกันไปทั้งตัว แต่ภาพที่ได้มางดงามสมกับที่ทุ่มเทนะ ^^
We must wear life jacket before getting into the cruise. The front of the boat is a rubber bumper. The driver is very skilled. Even water is rapids and rapids because of a lot of the rock, but he can drive very smooth. For a while, the driver took us into the embrace of Iguazu Falls. We try to sit in the front row to get beautiful pictures. Even we get wet, but the pictures we got are gorgeous and impressive.
กลัวไม่เห็นภาพ ผมขอลง VDO สั้นๆให้ชมเพื่อเรียกน้ำจิ้มกันนะครับ
Afraid you will not see the picture clearly, I will serve you this short VDO as an appetizer.
หลังขึ้นจากเรือแล้ว เรามาขึ้นรถบัสเพื่อเข้าไปด้านใน ไปสัมผัสน้ำตกแบบใกล้ชิดกันบ้าง โดยเราเดินไปตามทางเป็นระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร เพื่อไปยังจุดไฮไลท์ที่เรียกว่า Devil’s Throat ทางเดินที่นี่ทำไว้ดีมากๆ เดินสบาย ไม่ลำบาก ระหว่างทางจะได้เห็นน้ำตกน้อย ใหญ่ มากมาย ระหว่างทางมีจุดให้ถ่ายรูปกันเป็นระยะ ความสวยงามของที่นี่ได้ปรากฎสู่สายตาผู้คนทั่วโลกมาแล้วในหนังฟอร์มยักษ์อย่าง Black Panther หากใครสนใจลองไปหาชมย้อนหลังดูนะครับ ณ จุด Devil’s Throat นี้เราจะได้สัมผัสกับน้ำตกแบบใกล้ชิด ได้เปียกปอนไปตามๆ กัน ควรระวังกล้องและโทรศัพท์มือถือกันให้ดี
After finished the cruise, we take the bus to go inside in order to touch the waterfall closely. We walk about 1 kilometer to go to the highlight point called Devil’s Throat. The walkway is very good and easy to walk. On the way, we can see a lot of waterfalls and there are many points to take a picture. The beauty of this waterfall has appeared to the eyes of people around the world in Black Panther movie. At Devil’s Throat, we can touch waterfall closely. Please be careful that your camera and mobile phone might be wet.
เมื่อเดินต่อไปตามทางไปเรื่อยๆ มีทางแยกไปตามจุดต่างๆ จนถึงจุดสุดท้ายจะมีลิฟท์ไว้ให้บริการเพื่อขึ้นไปชมความงามของน้ำตกที่ด้านบน เราเลือกที่จะเดินจากทางเข้าไปจนสุดที่ด้านใน แล้วนั่งรถบัสออกมาทีเดียว ซึ่งกว่าจะเดินครบก็เย็นพอดี
Walking along the way, we find many split points. At the end, there is elevator that we can go up to enjoy the top view of the waterfall. We walk to the end and take the bus to go back to the entrance. We reached the entrance in the evening.
จากนั้นเรียก Taxi เดินทางไปสนามบิน เพื่อขึ้นเครื่องไปยังเมืองต่อไปใน บราซิล เมือง ริโอ เดอ จาเนโร (Rio de Janeiro) ซึ่งเป็นไฮไลท์ของทริป และเป็นเมืองที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรา 2 คนอยากมาที่นี่ด้วย
After that, we take taxi to the airport in order to go to the next city named Rio de Janeiro. This place is the highlight of our trip because it is the city and made both of us want to come to Brazil.
ริโอ เดอ จาเนโร รูปปั้นใหญ่ ชายหาดสวย และสลัมที่ดังก้องโลก
เช้านี้ที่ ริโอ เดอ จาเนโร เมืองสุดท้ายใน บราซิล ที่พวกเราแวะเที่ยว มาที่นี่ทั้งทีต้องไม่พลาดกับการชมไฮไลท์ที่ตั้งใจไว้อย่าง Christ the Redeemer รูปปั้นพระเยซูที่ตั้งตระหง่านอยู่บน เขากอร์โกวาดู (Corcovado) โดยนั่งรถไฟ Trem do Corcovado ขึ้นไปตั้งแต่เช้า เพราะหวังว่าคนจะไม่เยอะ เราจองรอบ 8:00 น. ผ่านทาง www.corcovado.com.br (ควรจองล่วงหน้าเพราะเค้าจะจำกัดจำนวนคนที่ขึ้นในแต่ละรอบ) ราคาคนละ 75 BRL และควรมาถึงก่อนเวลาประมาณ 30 นาที
Rio de Janeiro – a huge statue, beautiful beach, and world–famous slum
Rio de Janeiro is the last town of our trip in Brazil. We will not miss our wish list that is Christ the Redeemer – the statue of Jesus standing on the Corcovado mountain. We go there by taking Trem do Corcovado train in early morning in order to avoid crowded tourists. We booked the train at 8 a.m. via www.corcovado.com.br. It should be booked in advance because the number of visitors in each round is limited. The price is 75 BRL per person. We have to arrive at least 30 minutes before the time we booked.
รูปปั้นนี้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ที่สร้างขึ้นจากคอนกรีตเสริมใยเหล็กและหินสบู่ เริ่มก่อสร้างในปี ค.ศ.1922 และใช้เวลาในการก่อสร้างถึง 9 ปี โดยได้รับเงินทุนส่วนใหญ่จากชาวคาทอลิกใน บราซิล รูปปั้นสูง 38 เมตร แขนยาว 28 เมตร มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมถึงปีละ 300,000 คน และต้องทำการฟื้นฟูและบำรุงรักษาเป็นระยะ
This statue is 1 of the 7 wonders of the modern world. It was made from steel reinforced concrete and stone. The construction began in 1922 and took 9 years in total. Most of the funds come from Catholics in Brazil. The statue is 38 meters high and 28 meters long. The average number of visitors here is around 300,000 visitors per year. The statue has to be continuously refreshed and maintained.
หลังจากนั่งรถขึ้นมาประมาณ 20 นาที เราก็สตั้นกับความยิ่งใหญ่อลังการของรูปปั้นพระเยซูคริสต์ในตำนานที่เคยเห็นในหนัง Fast & Furious พอได้มาเห็นของจริง ขอบอกเลยว่าอลังการงานสร้างมากกว่าที่คิดไว้มาก ทุกคนที่ขึ้นมาต้องร้องว้าวกับรูปปั้นพระเยซูที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก เดินถ่ายรูปเท่าไหร่ก็เหมือนจะไม่พอสักที ขอแนะนำว่าอย่าลืมเอาเลนส์ Wide กันมานะครับ ไม่งั้นเก็บภาพความอลังการนี้ไม่หมดแน่ๆ
After taking train for about 20 minutes, we stunned with the elegance of the statue of Jesus Christ that we used to see in the movie named Fast & Furious. It is much more beautiful than we thought. All the visitors say “WOW” when they saw the world’s second largest statue of Jesus. I took a lot of pictures here and would like to recommend you bring wide lens to take picture of the whole statue in 1 shot.
บนเขากอร์โกวาดู ไม่ได้มีแค่รูปปั้นพระเยซูนะครับ เพราะวิวรอบๆที่มองจากบนนี้ สะกดตาสะกดใจยิ่งนัก เป็นวิว 360 องศา ที่สวยงามสุดๆเลย
On the Corcovado mountain, there is not only the statue of Jesus but the view of nearby areas is so amazing. We can enjoy 360-degree view from here.
พอลงมาด้านล่าง เหมือนความฟินยังไม่สุด เพราะเราอยากเห็นมุมแบบในหนังสักครั้ง เลยตัดสินใจขึ้นเฮลิคอปเตอร์เพื่อชม Christ the Redeemer จากมุมสูง เราใช้บริการของ Ultra Pilots พอดีเจอนักท่องเที่ยวชาวอิตาเลี่ยนสนใจอยากขึ้น ฮ. ด้วย เลยรวมกัน 3 คน ทำให้ได้ราคาที่แสนจะดีงามเพียงคนละ 350 BRL (ราคาสำหรับกลุ่มตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป) โดยจะต้องไปขึ้นที่สนามบิน Jacarepagua Airport (เรียก Taxi จากโรงแรมไปในราคา 75 BRL) ใช้เวลาบินประมาณ 30 นาที
When we go down, we feel that we still want to see the statue closely as same as we saw in the movie. So, we decided to ride helicopter to see Christ the Redeemer from the top view. We use the service of the Ultra Pilots. We fortunately met Italian tourist who also interested in riding helicopter, so we booked together and get special price at 350 BRL per person (price for at least 3 persons). We must go to ride the helicopter at Jacarepagua Airport (we take taxi from the hotel that costs 75 BRL). The helicopter fly about 30 minutes.
ระหว่างที่นั่ง ฮ. เรายังได้เห็นความสวยงามของ หาดอิปานีมา (Ipanema) ซึ่งตั้งอยู่ในย่านที่หรูหราแห่งหนึ่งของ Rio de Janeiro อยู่ระหว่าง Leblon และ Arpoador ติดกับ หาด Copacabana อันเลื่องชื่อ แม้คำว่า Ipanema ในภาษา Tupi จะแปลว่า “ทะเลสาบเหม็น” แต่มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับหาดทรายขาวที่มีผู้คนมานอนอาบแดดกันมากมาย แต่เดิม Ipanema ไม่ได้ขึ้นชื่อในเรื่องของชายหาด จนกระทั่งวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา และด้วยเพลงฮิต The Girl from Ipanema ในทศวรรษที่ 1960 ทำให้ชายหาดแห่งนี้กลายเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย จนมีชื่อเสียงในปัจจุบัน
From the helicopter, we can see Ipanema beach which located in one of the most luxurious areas of Rio de Janeiro, between Leblon and Arpoador, near the worldwide famous beach named Copacabana Beach. Although the word Ipanema means stinking lake, but it is not related to the white sand beaches where a lot of people come to take sunbath. In the past, Ipanema beach was not known. When Western culture come and there is the famous song named “The Girl from Ipanema” in 1960, this beach became widely known until now.
ที่เห็นบ้านกระจุกอยู่บนเขานั้นคือ สลัม สลัมที่นี่จะสร้างอยู่บนเขา เห็นแบบนี้แล้วรู้เลยว่าเยอะแค่ไหน ค่อยๆอ่านรีวิวไปเรื่อยๆ อดใจรออีกนิด เพราะทริปนี้เรามีพาไปทัวร์สลัมที่ บราซิล ด้วยนะ ^^
The group of house that located on the hill is slum. You can see how big of the slum from this picture. Let’s continue reading and you will find out the detail of this slum ^^.
เมื่อกัปตันพูดผ่านไมค์ว่าอีกไม่กี่อึดใจจะนำเครื่องขึ้นสูงกว่าเดิม ณ. ตอนนั้นตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก สิ้นเสียงกัปตันไม่ทันขาดคำ ภาพที่เคยเห็นจากในหนังตอนนี้อยู่ตรงหน้าเราแล้ว ภาพที่เห็นเป็นอย่างที่วาดฝันไว้จริงๆ เรียกได้ว่าการมาเยือนริโอคราวนี้คุ้มค่าแล้ว (ขออนุญาตใช้ภาพเล่าเรื่องแทนความรู้สึกที่ได้เห็นในตอนนั้นนะครับ)
When the captain said that we are going higher and higher, we are very exciting. Ending the speech from captain, we suddenly see the statue as the one we used to see in the movie come to appear in front of us. It seems like the lively painting. We can say that our trip to Rio de Janeiro is worth. (Please allow these pictures to tell you the story instead my words).
กลับมาจากนั่ง ฮ. ชมวิว เราไปต่อกันที่ Sugarloaf หรือ ภูเขาก้อนน้ำตาล (Pao de Acucar) ซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง Rio de Janeiro ภายในป่าดิบชื้นที่มีทั้งน้ำและเนินเขาริมอ่าวกวานาบารา สามารถขึ้นไปชมความงามโดยการนั่งกระเช้า 2 ต่อ กระเช้าไฟฟ้านี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1912 สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 65 คนต่อเที่ยว นักท่องเที่ยวสามารถชมความงามของวิวทิวทัศน์ได้ตลอดการเดินทาง ราคากระเช้าคนละ 80 BRL
When come back from riding the helicopter, we continue to go to Sugar Loaf Mountain (Pao de Acucar) which located on the southeastern coast of Rio de Janeiro within the rainforest. We can go there to see the beauty of scenery by taking 2 cable cars. This cable car was built in 1912. It can accommodate up to 65 people in each round. The tourists can enjoy the view along the way. The price is 80 BRL per person.
ด้านบนของ Sugarloaf สามารถเห็นทัศนียภาพที่สวยงามของชายหาดบริเวณใกล้เคียง ป่าดิบชื้น เนินเขาที่อยู่ติดกัน และรูปปั้น Christ the Redeemer ด้วย นักประวัติศาสตร์ตั้งชื่อภูเขาขึ้น ตามการปั้นน้ำตาลเป็นรูปกรวยในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็นยุคการค้าอ้อยของ บราซิล ที่เฟื่องฟู
On the top of Sugarloaf, we can see beautiful views of the nearby beaches, evergreen rainforests, adjoining hills and Christ the Redeemer statue. Historian named this mountain according to the sugar cone formation in the 16th century when Brazilian sugar trade was flourishing.
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเที่ยวที่นี่คือตอนเช้าตรู่และช่วงก่อนพระอาทิตย์ตก เพราะจะได้วิวที่มีความสวยงาม รถกระเช้าจะออกทุก 20 นาที การเดินทางขึ้นสู่ยอดเขาจะต้องขึ้นกระเช้า 2 เที่ยว โดยเที่ยวแรก รถจะจอดที่ Morro da Urca ซึ่งมีร้านขายของต่างๆ มากมาย สินค้าที่คนนิยมมาซื้อกันคือ รองเท้าแตะ Havaianes ซึ่งราคาถูกกว่าไทยมาก (ตกราคาคู่ละประมาณ 300-400 บาท) เที่ยวที่ 2 จะจอดที่ยอดเขา Pão de Açúcar ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม
The best time to visit here is in the early morning and before sunset time because the view is very beautiful. The cable car will come every 20 minutes. Traveling up to the top, we need to take 2 cable cars. The first cable car will stop at Morro da Urca where has a lot of shops. The most popular item here is Havaianes sandals which much cheaper than in Thailand (The price here is 300-400 THB per pairs). The second stop is at the top of Pao de Açúcar where is the viewpoint of the sunset.
เราเริ่มต้นวันใหม่กันด้วยความท้าทายเล็กๆ กับ Half Day Tour ที่ไม่ค่อยมีใครเห็นด้วยนัก อย่าง Favela Tour หรือทัวร์สลัม ที่ Rocinha ซึ่งเป็นสลัมที่ใหญ่ที่สุดใน บราซิล สลัมแห่งนี้ได้รับการพัฒนาในด้าน Health Care และสาธารณูปโภค จำนวนคนที่อาศัยอยู่ใน Rocinha แห่งนี้มีมากถึง 300,000 คน การจะเข้าไปชมวิถีความเป็นอยู่ของคนในสลัมนั้น จำเป็นต้องให้คนที่อาศัยอยู่ในนั้นพาเข้าไป เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น โดยเรานัดเจอไกด์ที่ สถานี Sao Conrado ตอน 9:30 น. จากนั้นไกด์ก็พาเรานั่งรถ Van เพื่อขึ้นไปยังจุดบนสุดแล้วค่อยๆ เดินลงมา ที่เก๋สุดๆ คือ รถ Van ที่นี่จะเปิดประตูทิ้งไว้ และจะมีคนคอยเก็บเงินอยู่ที่หน้าประตูเหมือนกระเป๋ารถเมล์บ้านเราเลย
We start the new day with a little challenge that is Half Day Tour liked Favela Tour or slum tour at Rocinha where is the largest slum in Brazil. This slum has been developed in terms of health care and utilities. The number of people living here is about 300,000 people. The best way to visit here is going with the people who live in slum in order to avoid the danger that may occur. We met our tour guide at Sao Conrado station at 9.30 a.m. Then our tour guide took us to the top by taking the van and then walked down. The van is very chic because they will let the door open and there is someone collecting money at the door.
ชาว Rocinha จะอาศัยอยู่ตามเขา โดยบ้านเรือนที่อยู่ด้านล่างราคาจะแพงมาก เพราะสามารถเข้าถึงเมืองและรถโดยสารได้ง่าย แต่คนที่อยู่ด้านบนก็สามารถเดินทางด้วยรถ Van หรือ Motor Taxi ซึ่งก็คือมอเตอร์ไซค์รับจ้างนั่นเอง
Rocinha residents live on the hill. The houses on the ground are much more expensive than the houses on the top because it is easy to reach the city and taking bus. The people who live on the top go down by taking van or motor Taxi which is a motorcycle.
ภายใน Rocinha นี้มี Healthcare Clinic ที่ให้บริการฟรีถึง 3 แห่ง มีร้านค้าต่างๆ มากถึง 6,500 ร้านค้า โดยร้านค้าเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนเงินทุนแบบ Micro Loan จากองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรมาทำธุรกิจ เลยทำให้สลัมแห่งนี้เป็นเสมือน City in the City
There are 3 free healthcare clinics and 6,500 stores within Rocinha. The stores is funded micro loan by non-profit organizations. This slum is like a city in the city.
สลัมแห่งนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ผู้คนเป็นมิตรมาก ทักทายเราตลอดทาง ไกด์บอกเราว่าภายในสลัมแห่งนี้เค้ามีกฎว่าหากใครขโมยจะโดนตัดมือ หากใครข่มขืนหรือกระทำความผิดอย่างอื่นก็จะโดนบทลงโทษอย่างหนัก ทำให้ผู้คนอยู่กันอย่างปลอดภัย แถมยังมีตำรวจคอยรักษาความปลอดภัยอยู่ตลอดทางที่เราผ่าน สำหรับนักท่องเที่ยอย่างเราสามารถเอามือถือหรือกล้องใหญ่ขึ้นมาถ่ายรูปได้อย่างปลอดภัย แต่ปัญหาเรื่องยาเสพติดก็ยังคงเป็นปัญหาที่เลี่ยงไม่ได้ และอีกหนึ่งปัญหาหลักของที่นี่ก็คือเรื่องขยะ เพราะมีคนที่อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้ปริมาณขยะมากขึ้นตามไปด้วย
This slum is not as scary as many people thought. People in slum are very friendly. They always greet us. Our tour guide told that there are rules within the slum. If someone steals any stuff from others, his hand will be cut off. If anyone rapes others or commits another offense, he/she will be will be punished severely. These rules help to keep everyone stay safely. There are policemen along the way in slum. For the tourists, using mobile phone or big camera is safe. The problem of drugs is still inevitable problem. The main problem here is the garbage because there are a lot of people live here.
คนที่นี่ภูมิใจในความเป็น Rocinha มากๆ ขนาดไกด์ที่พาเราเดินทัวร์ เป็นลูกครึ่ง New York & Rocinha ยังเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่ Rocinha แห่งนี้ แทนที่จะไปเสพแสงสีศิวิไลซ์ในเมืองใหญ่ซะอีก ระหว่างทัวร์พยายามอย่าให้หลุดจากกลุ่ม เพราะทางที่นี่ค่อนข้างซับซ้อน อาจหลงทางหรืออาจโดนผู้ไม่หวังดีมาขโมยของ มาทำร้ายร่างกายได้ นี่เป็นคำเตือนจากไกด์กลุ่มเราที่เช้านี้มีลูกทัวร์กันแค่ 2 คน (วังเวงเหมือนกันนะครับ)
Rocinha residents are so proud of themselves. Our tour guide is half New York & half Rocinha, but he chose to live in Rocinha instead of enjoy civilization in the big city. During the tour, please try to stay together with the group because the route here is quite complicated. You may get lost or someone may come to steal your stuff or to hurt you. This is a warning from our tour guide. Our tour has only 2 of us.
การมาทัวร์ 3 ชั่วโมงในครั้งนี้ ทำให้มุมมองของเราที่มีต่อชุมชนสลัมเปลี่ยนไปมาก เราได้พบความจริงที่คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เค้าก็อยากทำให้ชีวิตของเค้าดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกเค้าไม่ได้อยากเสพยา พวกเค้าไม่ได้อยากขโมย แต่ความจำเป็นของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราอย่าเพิ่งตัดสินใครแค่เพียงภายนอก มาลองสัมผัสแล้วคุณจะเข้าใจพวกเค้ามากขึ้นแน่นอน ราคาทัวร์ของเราในครั้งนี้เพียง 70 BRL เท่านั้น ถือว่าคุ้มค่ากับการเปิดประสบการณ์มากๆ ถ้าสนใจตามรอยพวกเรา สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ Favela Tour หรือส่งเมลไปจองทัวร์ได้ที่ visitrocinha@gmail.com
This 3-hour tour totally change our view of the slum community. We found the truth that even people cannot choose where to be born, but they always want to make their life as good as possible. They do not want to take drugs. They do not want to steal. But the necessity of each one is not the same. So, we should not judge anyone from their body or their dress. Let’s try to join this tour, you will understand them more definitely. The price of our tour guide is only 70 BRL. If you are interested in this tour, please visit the Favela Tour or send e-mail to visitrocinha@gmail.com.
ก่อนกลับขอแชะภาพกับ Zezinho ไกด์ของเราสักหน่อย และรูปคู่ที่ Zezinho ถ่ายให้ ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ดีๆ เราจะกลับไปเที่ยวอีกแน่นอน ^^
Before we go back, we do not forget to take selfie with our tour guide – Zezinho. Thank you so much for this precious experience. We will return here again in the near future.
เปลี่ยนอารมณ์มาที่ของสวยๆ งามๆ กันบ้าง โดยนั่ง MRT ไปที่ สถานี Cinelandia เพื่อไปชมบันไดประจำเมือง ซึ่งเป็นศิลปะสาธารณะขนาดใหญ่ในริโอ เดอจาเนโร กัน สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยกระเบื้องโมเสกสีสันสวยงาม แม้กรุงริโอ เดอจาเนโร จะเต็มไปด้วยศิลปะสาธารณะ แต่ไม่มีศิลปะชิ้นใดที่เป็นที่ชื่นชอบและสามารถใช้งานจริงเหมือนขั้นบันได Selarón (Escadaria Selarón)
Let’s change the mood to see the beauty. We take MRT to Cinelandia station to visit the stairs of the city which is a large public art in Rio de Janeiro. This place is filled with colorful mosaics. Although Rio de Janeiro is full of public art, but no artwork is famous and can be used as Selarón (Escadaria Selarón).
ในช่วงทศวรรษที่ 1990 ศิลปินท้องถิ่นนามว่า Jorge Selarón ได้แปลงสิ่งที่เคยเป็นสาธารณูปโภคในเมืองทั่วไปให้กลายเป็นขั้นบันไดสีสันสดใสด้วยกระเบื้องโมเสกสีต่างๆ ระหว่างที่เราเดินไปตามบันไดแต่ละขั้นเราจะได้เห็นความงดงามของกระเบื้องที่มาจากทั่วทุกมุมโลก Selarón เกิดที่ชิลีและย้ายมาที่ริโอ เดอจาเนโร ในปี ค.ศ.1983 หลังจากที่เค้าเดินทางมาตลอดทั้งชีวิต ในปี ค.ศ.1990 เขาตัดสินใจตกแต่งขั้นบันไดใกล้บ้านที่ไม่สวยงาม ด้วยกระเบื้องเซรามิกที่ไม่ใช้แล้ว ปรับโฉมบันไดทั้ง 250 ขั้นให้กลายเป็นโมเสกชิ้นใหญ่ ที่ด้านหน้าของบันไดแต่ละขั้น คุณจะเห็นศิลปะโมเสกที่ไม่ซ้ำกัน แต่ละชิ้นประกอบด้วยกระเบื้องสีเหลืองและน้ำเงินเป็นส่วนใหญ่ เดินขึ้นไปถึงขั้นบนสุดแล้วคุณจะพบกับโมเสกรูปธงชาติ บราซิล
In 1990s a local artist named Jorge Selarón transformed the public utility in the town to be colorful steps by decorated them with colorful mosaics. When we walk along the steps, we can see the beauty of various tiles from all over the world. Selarón was born in Chile and moved to Rio de Janeiro in 1983 after traveling all his entire life. In 1990, he decided to decorate the stairs near his house with ceramic tiles that are not used. He transformed the 250 steps into a large mosaic. You will see a unique mosaic art in front of each step. Most of them are yellow and blue tiles. Walk up to the top, then you will find Brazil flag mosaic.
บันไดแห่งนี้ตกแต่งด้วยกระเบื้องที่ผู้มาเยือนจากทั่วโลกมอบไว้ให้ ทั้งของเจ้าหญิงไดอาน่าแห่งเวลส์, ประธานาธิบดีบารัก โอบามา รวมทั้งหมดแล้วมีกระเบื้องกว่า 2,000 ชิ้นจากกว่า 60 ประเทศ
This staircase is decorated with the tiles of visitors from around the world including Princess Diana of Wales and the President Barack Obama. There are over 2,000 tiles from over 60 countries.
ห่างมาไม่ไกลนัก เราสามารถชมความงามของ Theatro Municipal โรงโอเปร่าเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1905 ในสไตล์แบบฝรั่งเศส ด้านในตกแต่งอย่างสวยงามโดยผลงานของศิลปินชาวอิตาเลียน
Not far away from the staircase, we can see the beauty of the opera Theatro Municipal. This ancient French-style opera house was built in 1905. The decoration inside is the works of Italian artists.
มาต่อกันที่ย่าน Lapa ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่สำหรับการสัมผัสความหลากหลายทางดนตรีของ บราซิล นอกจากจะเป็นแนวหน้าในด้านวัฒนธรรมของริโอ เดอจาเนโร แล้ว Lapa ยังเป็นหนึ่งในย่านที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองอีกด้วย เราสามารถเยี่ยมชมสถานที่สำคัญทางสถาปัตยกรรมอย่าง Arcos da Lapa ซึ่งเป็นสะพานส่งน้ำสไตล์โรมันความยาว 270 เมตรที่สร้างในสมัยที่ บราซิล เป็นประเทศอาณานิคม และ Metropolitan Cathedral วิหารทรงกรวยที่สูงตระหง่าน 75 เมตรนี้ สร้างเลียนแบบพีระมิดของชาวมายา
Next, we go to Lapa district where is one of the places that we can experience Brazilian musical diversity. Lapa is one of the oldest districts in the city. Visitors can visit the architectural landmarks such as Arcos da Lapa – a 270-meter-long Roman-style waterfront bridge built in Brazil’s colonial era and the Metropolitan Cathedral which is the 75-meter-tall tower that mimics the pyramid of Maya.
บริเวณใกล้เคียงมีสวน Passeio Publico ที่เก่าแก่ที่สุดในริโอ เดอจาเนโร สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1783 นอกจากนี้ Lapa ยังมีชื่อเสียงในฐานะย่านสีสันยามราตรีของริโอ เดอจาเนโร เราจึงสามารถพบคนรักเสียงเพลงและการเต้นรำที่นี่ทุกคืน
In the nearby area, there is Passeio Publico that is the oldest park in Rio de Janeiro. It was built in 1783. Lapa is recognized as the nightlife of Rio de Janeiro. We can meet a lot of music lovers and dancers here every night.
ก่อนจะกลับเข้าโรงแรม เราขอแวะชมชายหาดที่โด่งดังที่สุดที่อยู่ทางตอนใต้ของริโอ เดอจาเนโร กันก่อน สถานที่แห่งนี้เป็นที่ที่ชาวเมืองและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเพื่อผ่อนคลาย คงเป็นที่ไหนไปไม่ได้ นอกจากชายหาด Copacabana เป็นหนึ่งในชายหาดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก จนได้รับฉายาว่า “เจ้าหญิงแห่งท้องทะเล” มีความยาวตลอดแนวชายหาดประมาณ 4 กิโลเมตร ชายหาดนี้มีผู้คนหนาแน่นเกือบตลอดเวลา มาทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งว่ายน้ำ เตะบอลริมชายหาด วิ่งหรือปั่นจักรยานเลียบชายหาด นอนเล่นบนเก้าอี้ชายหาด หรือปิกนิกตามริมชายหาด ฯลฯ
Before heading to the hotel, we stop by at the most famous beach in the south of Rio de Janeiro. This place is where local people and tourists from around the world come to relax. It is Copacabana Beach where is one of the most popular beaches in the world. It was titled as the princess of the sea. The beach is about 4 kilometers long. It is crowded almost all the time. Visitors come to do activities such as swimming, kicking the beach ball, running, cycling along the beach, sleep on the beach chair, and picnic.
แนะนำที่พักเมือง Sao Paulo และเมือง Rio De Janeiro ใน บราซิล
ที่เซาเปาโล ผมเลือกที่พักจากเว็บ Traveloka โดยเข้าพักที่ San Juan Business Sao Paulo ซึ่งอยู่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน Republic สามารถนั่ง Taxi จากสนามบินมาประมาณ 40 นาที บริเวณโดยรอบโรงแรมมีร้านค้ามากมาย บรรยากาศไม่น่ากลัวอย่างที่กังวล จองมาตกคืนละ 1,9xx บาท ซึ่งถูกกว่า Walk in เข้ามาเองที่โรงแรมประมาณ 3 เท่า เห็นวิวในเมืองได้อย่างชัดเจน มีอุปกรณ์ต่างๆ ครบครันทั้ง TV ตู้เย็น ตู้เซฟ ไดร์เป่าผม แต่ไม่มีน้ำดื่มให้ ต้องซื้อจากข้างนอกเข้ามาเอง ห้องน้ำเป็นแบบ Rain Shower ขนาดพอเหมาะ ไม่อึดอัด เตียงนอนเป็นเตียง Queen Size นอนสบาย แต่ไม่นุ่มมาก
Recommended accommodation in Sao Paulo and Rio De Janeiro
We look for the accommodation in Sao Paulo from the list in Traveloka website. Finally, we chose to reserve San Juan Business Sao Paulo which located near MRT Republic Station. Taking taxi from the airport will take about 40 minutes. There are many shops around the hotel. The atmosphere was not terrible. The price was 1,9xx THB per room per night, which was 3 times cheaper than walk in and reserve. We can see the city view from the hotel. The room is equipped with TV, refrigerator, safe box, and hairdryer. But there is no drinking water served in the room. We have to buy from outside shop. The bathroom is a sizeable. There is rain shower. The bed is comfortable queen size bed and very soft.
อาหารเช้าที่โรงแรม เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ แม้ตัวเลือกจะไม่เยอะ แต่รสชาติของอาหารดีทีเดียว ขนมปังเนื้อนุ่ม เอามาอบอีกเล็กน้อย กรุบกรอบน่าทาน ทานคู่กับแฮมและชีสก็อร่อยแล้ว นอกจากนี้ยังมี Cold Cut ต่างๆ คอนเฟลก ขนมหวานมากมาย ที่อร่อยสุดๆ คือ โดนัท ส่วนเครื่องดื่มก็มีให้เลือกมากมายทั้งน้ำส้มสดๆ มะนาวผสมมิ้นต์ มะละกอ แตงโม รวมถึงกาแฟ และชากลิ่นต่างๆ ห้องอาหารเช้าอยู่ที่ชั้น 1 เปิดให้บริการเวลา 6:00 – 10:00 น.
Breakfast at the hotel is served in buffet style. Even the options are not too much, but the taste of food is quite good. If we bake bread a bit more, it will be crunchy and very delicious. Let’s try to eat with ham and cheese. Moreover, there are cold cut, cornflake, and various sweets. My favorite one is donut. There are a lot of drinks such as fresh orange juice, lemon mint, papaya juice, coffee, and tea. The restaurant is located on the 1st floor and open from 6-10 a.m.
ที่ริโอ เดอจาเนโร ผมเลือกที่พักจากเว็บ Traveloka เช่นกัน โดยเข้าพักที่ Copacabana Mar Hotel ซึ่งอยู่ใจกลางจุดท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวเดินไป-มาตลอดทั้งคืน จึงไม่น่ากลัวอย่างที่คิด รอบๆ โรงแรมมีร้านอาหารและร้านขายของมากมาย ภายนอกโรงแรมดูค่อนข้างเก่า แต่ภายในห้องนอนกว้างขวาง เตียงนอนขนาด Queen Size มี TV ตู้เย็น ไดร์เป่าผม ส่วนห้องน้ำมีฝักบัวแบบ Rain Shower ด้วย และยังมีสระว่ายน้ำชั้นบนมองวิวเพลินๆ ราคาคืนละ 2,6xx บาท (รวมอาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน)
We look for the accommodation in Rio de Janeiro from Traveloka website as well. We chose to stay at Copacabana Mar Hotel that is in the heart of the tourist spot. A lot of tourists walk pass the hotel all night. It is not so scary. There are many restaurants and shops around the hotel. Exterior hotel looks a bit old, but interior is good. There are queen-size bed, TV, refrigerator, and hair dryer. In the bathroom, there is rain shower. There is also a swimming pool upstairs. The price is 2,6xx THB include breakfast (for 2 persons).
บราซิล หลายคนมีภาพจำที่ไม่ค่อยดีนักกับประเทศนี้ แต่ถ้าได้ลองมาสัมผัสด้วยตัวเอง คุณจะหลงรักแบบไม่รู้ตัว ผู้คนที่นี่เป็นมิตรมาก เรื่องราคา Taxi หรือร้านอาหารทอนครบทุกบาททุกสตางค์ ไม่มีขอทิปเพิ่ม ซื้อของอะไรไม่ต้องกลัวการโกง ไม่มีทอนขาด ค่าครองชีพไม่แพง และยังมีที่เที่ยวสวยๆครบทุกรสอีกด้วย บราซิล เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ผมจะต้องกลับมาเที่ยวแน่นอน…“Brazil – City of The Best”
นอกจากจะได้ชมความงามของสถานที่สำคัญต่างๆ ในประเทศ บราซิล แล้ว ในตอนต่อไป เราสองคนจะพาเพื่อนๆ ไปค้นหาปริศนาของดินแดนลึกลับของชาวอินคากันที่ ประเทศเปรู ไปดูกันว่ามาชูปิกชู ที่ใครต่อใครก็ใฝ่ฝันอยากไปนั้น จะสวยงามและยิ่งใหญ่เหมือนที่เราคิดหรือไม่ แล้วเปรูจะมีอะไรที่น่าสนใจอีก ไว้มา #บันทึกเที่ยวอเมริกาใต้ กันต่อในตอนต่อไปนะครับ ^^
ขอขอบคุณ Turkish Airlines สำหรับตั๋วชั้นธุรกิจ ที่ทำให้ได้มา 3 ประเทศอเมริกาใต้ และ 1 ยุโรปครั้งนี้
ขอบคุณ Traveloka เว็บจองที่พักชั้นนำในราคาที่ไม่แพง แถมมีครอบคลุมหลายประเทศทั่วโลกด้วย
ขอบคุณ Pocket Wi-Fi ของ Smile Wifi ที่สัญญาณแรงตลอดทริป ไม่มีสะดุดในระหว่างเดินทาง
ขอบคุณ กระเป๋าสวยๆจาก Anello ใส่ของได้จุ เบา คุณภาพดี กันน้ำได้ในราคาที่ไม่แพง
และ ขอบคุณ บราซิล เมืองที่มีเสน่ห์ชวนหลงใหลทำให้อยากกลับมาเที่ยวอีกหลายๆครั้ง
Brazil…many people have bad image about this country. But if you try to visit by yourself, you will fall in love unconsciously. The people in Brazil are very friendly. You will get all change when you pay for taxis or for food at the restaurants without asking for additional tips. The cost of living is reasonable and not so expensive. There are a lot of beautiful attractions that many tourists want to visit. Brazil is one of the countries I wish to visit again…“Brazil – City of The Best”. Beyond enjoy the beauty of landmarks in Brazil, we will take you to discover the mystery of Inca in Peru in the next chapter. You will find out that why many people really want to visit Machu Picchu. Is it beautiful as we saw in the pictures? Let’s meet up again in the next chapter.
Special Thanks to Turkish Airlines for business class tickets that made us complete our trip in 3 countries in South America and 1 country in Europe.
Special Thanks to Traveloka – the leading hotel booking website. You can find affordable accommodation in many countries around the world.
Special Thanks to Smile Wifi for the great signal throughout the trip.
Special Thanks to Anello for the affordable waterproof lightweight backpack.
And thanks to Brazil – the city that has fascinating charm that makes us dream to come again and again.
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^