“การเดินทาง บางทีถ้าคุณมีจุดหมายปลายทางแล้วว่าเป็นที่ใด
ผมว่าจุดเริ่มต้นการเดินทางของเราสามารถพลิกแพลง หรือเพิ่มได้เสมอ”
ทริปนี้ผมมีแพลนไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของทริป
แต่เกิดอยากเปลี่ยนจุดเริ่มต้นของทริป ด้วยการไปเที่ยวประเทศเล็กๆ
ไม่ต้องถึงขนาดเก็บรายละเอียดให้ทั่ว แต่แค่ได้ไปซึมซับ และเห็นในเอกลักษณ์ของแต่ละประเทศนั้นๆ
Belgium-Luxembourg สองประเทศนี้จึงผุดขึ้นมาในหัวทันที เนื่องจากเดินทางข้ามประเทศได้ง่าย
และยังไม่ไกลจากจุดหมายปลายทางของทริปนี้ด้วย ว่าแล้วก็จับจองวางแผนให้เรียบร้อย
ขับรถเพื่อมุ่งหน้าข้าม…“พรมแดนที่กั้นด้วยถนนและขุนเขา : Belgium-Luxembourg”
ประเทศเบลเยียม และ ประเทศลักเซมเบิร์ก เป็น 2 ประเทศที่อยู่ในกลุ่ม เบเนลักซ์ (Benelux)
มีพรมแดนติดกัน สามารถเดินทางไปมาหาสู่ได้ทั้งทางรถยนต์ รถไฟ หรือแม้แต่ทางเครื่องบิน
ทริปนี้ผมเริ่มเต้นการเดินทางที่ประเทศเบลเยียม ขับรถมาเที่ยวประเทศลักเซมเบิร์ก
แบบไป เช้า-เย็น กลับ และมาขึ้นเครื่องที่ประเทศเบลเยียม เพื่อเดินทางไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์ต่อ
ก่อนที่จะบินตรงกลับไทย จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์เลย
ผมเดินทางโดยสายการบินไทย สายการบินประจำชาติ
ที่เพิ่งจะได้รับรางวัล World’s Best Economy Class Airlines 2017 จากการจัดอันดับของ Skytrax
โดยเส้นทางที่ผมเดินทางนี้ สามารถเข้าไปจองและเลือกเป็นแบบ Multi City ได้
โดยขาไปเป็น Bangkok – Brussels (Belgium)
และขากลับ Zurich (Switzerland) – Bangkok
Link จองตั๋วเครื่องบินของสายการบินไทย –> thaiairways.com
เมื่อจองตั๋วจนได้เลข Booking เรียบร้อยแล้ว
เราก็สามารถเข้าไปทำการ เลือกที่นั่ง หรือ เลือกเมนูอาหารพิเศษ (อาหารซีฟู้ด)
ได้จาก Manage My Booking ต้องทำก่อนเดินทางประมาณ 48 ชม นะครับ
มาดูขั้นตอนง่ายๆ กับ Easy Check-in ที่ทางการบินไทยทำข้อมูลแบบสรุปคร่าวๆ
มีทั้งทำผ่านมือถือ ทำผ่านเว็บไซต์การบินไทย และผ่านเครื่องเช็คอินอัตโนมัติ
ทั้ง 3 วิธีจะช่วยในการประหยัดเวลาในการขึ้นเครื่อง ไม่ต้องต่อแถวรอหน้าเค้าเตอร์นาน
อีกปัจจัยหนึ่งของการเดินทางที่ขาดไม่ได้เลยคือ Pocket Wifi ครั้งนี้ผมเดินทาง 3 ประเทศ
เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก และ สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งทั้ง 3 ประเทศนี้อยู่ในทวีปยุโรปหมด
ผมเลือกจองของ Tripizee คิดค่าใช้จ่ายวันละ 280 บาท
Internet ใช้ได้วันละ 500 MB เมื่อใช้ครบความเร็วจะถูกปรับสปีดลดลง
สามารถ รับ-คืน เครื่องได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ โซนรถไฟฟ้า Airport Link
เตรียม Passport เตรียมเอกสารให้ครบ แล้วมาต่อแถวโหลดสัมภาระได้ที่
Row H/J สำหรับ International Economy หรือ
Self Check-in Bag Drop ก็สามารถทำได้จากบริเวณนี้ด้วย ล่นเวลาไปได้เยอะเลยครับ
จากกรุงเทพ ไป เบลเยียม (Brussels) ด้วยเครื่อง Boeing 777-300 ผังที่นั่งชั้นประหยัดเป็น 3-4-3
ออกเดินทางทุกวันอังคาร พฤหัสบดี เสาร์ และวันอาทิตย์
ใช้เวลาบินประมาณ 12 ชม เป็นเส้นทางบินตรงไม่ต้องต่อเครื่อง
ส่วน Entertainment บนเครื่องมีมาให้ครบ ทั้งหูฟัง ไว้ดูหนังฟังเพลง รีโมท หน้าจอทัชสกรีน
ไฟลท์ยาวแบบนี้จะมีอาหารมาให้ 2 มื้อ โดยจะมีให้เลือกอยู่ 3 เมนู
ผมกับแฟนเลยสั่งมาทานคนละเมนู ส่วนมื้อเช้าจะเน้นอาหารเบาๆอย่างออมเล็ท
พอเครื่องมาถึงสนามบินประเทศเบลเยียม ผ่าน ตม. รับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว
ผมมารับรถจากที่จองล่วงหน้าไว้ คราวนี้ได้ Volvo มาซิ่งวิ่งเล่น 2 ประเทศกันเลย
จากเบลเยียม ขับรถไป ลักเซมเบิร์ก ใช้เวลาประมาณ 2.30 ชม.
2 ประเทศนี้ข้ามพรมแดน โดยที่ไม่ต้องมีสติ๊กเกอร์ติดหน้ารถใดๆ ขับข้ามได้เลย
ขอแค่มีเพียงใบขับขี่สากลที่ทำจากเมืองไทยไป และใบขับขี่ตัวจริงติดตัวไปด้วย
Luxembourg
ประเทศเล็กๆที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีพรมแดนติดกับหลายประเทศทั้งเบลเยี่ยม เยอรมนี และฝรั่งเศส
ใช้เงินสกุลยูโร และสามารถใช้ภาษาสื่อสารได้ทั้งภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และภาษาเยอรมัน ได้อีกด้วย
เส้นทางระหว่างเบลเยียมไปลักเซมเบิร์ก มีความร่มรื่น ต้นไม้ปกคลุมเป็นส่วนใหญ่
การจอดรถของที่นี่มีทั้งแบบลานจอด Parking กับจอดริมถนน
ขึ้นอยู่กับว่าเราจอดนานเท่าไรในแต่ละครั้ง เมื่อเข้ามาที่จอดให้ไปกดรับบัตรที่ตู้
พร้อมชำระเงินตามเวลาที่คิดว่าจะจอดนานเท่าไร เมื่อได้กระดาษแผ่นนี้มา
ให้นำมาวางไว้หน้ารถด้านใน ผมเคยไม่กดรับบัตร กลับมาอีกทีโดนใบสั่งแปะอยู่หน้ารถเลยครับ ><
CaseMates Du Block ป้อมโบราณที่สามารถมองเห็นเมืองลักเซมเบิร์กได้อย่างชัดเจน
ว่าที่จริงแล้ว เมืองนี้มีการแบ่งเป็นเมืองบน กับ เมืองล่าง โดยแสดงถึงเขตเมืองเก่า กับ เมืองใหม่
บริเวณนี้ถือเป็น 1 ใน World Heritage Center จาก Unesco ด้วยครับ
ว่ากันว่าประเทศนี้ค่าแรงสูงมากๆ ขนาดคนขับรถเงินเดือนประมาณ 5000 ยูโรเลยน่ะ
อิจฉาเบาๆ ว่าแล้วก็มาสมัครเป็นคนขับรถที่นี่ดีกว่า ><
ใครไม่ได้ขับรถมา หรือกลัวว่าจะหาที่จอดไม่ได้ ลักเซมเบิร์กยังมีบริการรถรางสีเขียวนำเที่ยว
แวะลงตามจุดต่างๆ สนนราคาอยู่ที่คนละ 10 ยูโร นั่งชมวิวบ้านเมืองเพลินๆ
ยังคงเดินเล่นวนเวียนอยู่บริเวณป้อมโบราณ
อย่างที่บอกวิวมุมนี้สามารถมองเห็น Luxembourg City ได้ทั่ว และทำให้ได้รู้ว่า
เมืองนี้มีการแบ่งแยกผู้คนในถิ่นที่อยู่อาศัยอย่างชัดเจน
ขับรถจากมุมสูงเข้ามาในเขตเมืองกันหน่อย ที่เห็นโดดเด่นอยู่กลางจตุรัสแห่งนี้คือ
Place de la Constitution อนุสรณ์รำลึกสงครามโลก
มีหญิงสาวอยู่ที่ยอดเสา Gëlle Fra Memorial สร้างเพื่อรำลึกเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 1 ครับ
ไม่ไกลจากอนุสรณ์จะมีโบสถ์ขนาดใหญ่และมีชื่อที่สุดของลักเซมเบิร์กที่นี่คือ
Cathedrale Notre-Dame โบสถ์นอร์ทเทอดาร์มแห่งลักเซมเบิร์ก
บ่ายๆก็เริ่มมีนักท่องเที่ยวมาเดินช้อปปิ้ง ทานอาหารกันอย่างครึกครื้น
2 ข้างทางบริเวณถนน City Square ที่มุ่งหน้าสู่จตุรัสกลางเมือง เต็มไปด้วยร้านค้า ทั้งของ Brand Name
และร้านของที่ระลึกทั่วไป ช่วงที่ผมไปตรงกับช่วงเทศกาลอีสเตอร์พอดี
แต่ละร้านก็จะประดับไปด้วยไข่และกระต่าย น่ารักมากๆครับ
Place d’Armes จตุรัสดาแมส
เป็นจัตุรัสเล็กๆที่เอาไว้จัดกิจกรรมต่างๆ บริเวณโดยรอบจะมีร้านอาหารให้นั่งทาน
หรือจะเป็นร้านฟาสต์ฟู้ดก็มีให้เลือกอยู่ค่อนข้างมากครับ
และปิดท้ายทริปเดินเล่นชิวลักเซมเบิร์กที่ Palais Grand-Ducal พระราชวังลักเซมเบิร์ก
ปัจจุบันที่นี่ยังใช้เป็นที่ทรงงานอยู่ ถ้าไม่ได้มีราชวงศ์มาประทับอยู่ จะมีทหารเดินตรวจตราอยู่ด้านหน้า
เที่ยวลักเซมเบิร์กพอหอมปากหอมคอ แบบไป เช้า-เย็น กลับ
ผมขับรถยาวจากลักเซมเบิร์กเข้าสู่ประเทศเบลเยียม เมือง Brussels
ใช้เวลาประมาณ 2.30 ชม. เข้ามาเช็คอินที่พักที่ ibis Brussels off Grand Place
ที่นี่ถือเป็นจุดศูนย์กลางการเที่ยวของ Brussels เลยก็ว่าได้
อยู่ใกล้สถานีรถไฟ มีร้านค้า แหล่งช้อปปิ้งมากมาย และใกล้สถานที่เที่ยวสำคัญๆในเมืองด้วย
สามารถจอดรถและเดินเที่ยวเล่นตามที่ต่างๆได้เลย แต่ที่โรงแรมนี้ไม่มีที่จอดรถ
จะต้องไปจอดรถในที่สาธารณะ ซึ่งราคาคิดเป็น ชม ราคานี่อู้วววหูวววกันเลย ><
Brussels
เมืองหลวงของประเทศเบลเยียมที่มีความสำคัญต่อกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) อีกทั้งยังเป็น
สถานที่ตั้งขององค์การสำคัญ NATO อีกด้วย ถึงแม้จะเป็นเมืองหลวงขนาดเล็ก
แต่ด้วยความสวยงามที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองหลวงแห่งนี้
ที่ดึงดูดเหล่านักท่องเที่ยวให้มาค้นหาอย่างไม่ขาดสาย
ไม่ไกลจากที่พัก มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นศูนย์กลางอย่าง Grand Palace จตุรัสบรัสเซลล์
กร็อง-ปลัสเดอบรูว์แซล เป็นอีกหนึ่งชื่อเรียกของจตุรัสแห่งนี้
รายล้อมด้วยเหล่าอาคารเก่าอันสวยงามและกลมกลืนกันทางสถาปัตยกรรม
และถือว่าเป็นจัตุรัสที่สวยที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
จัตุรัสแห่งนี้ถือเป็นบริเวณที่สำคัญที่สุดในการท่องเที่ยวและ
ยังถือเป็นจุดหมายตาที่สำคัญแห่งหนึ่งของเบลเยียมอีกด้วย
เดินต่อจากจตุรัสมาไม่ไกลจะเห็นนักท่องเที่ยวออต่อแถวถ่ายรูปกันเป็นจำนวนมาก
ตรงนี้คือ Manneken Pis รูปปั้นเด็กผู้ชายยืนฉี่ ที่เป็นสัญลักษณ์ของการมาเที่ยวเบลเยียมเลยก็ว่าได้
มาดูประวัติคร่าวๆกันบ้างว่าทำไมแค่รูปปั้นนี้ถึงได้โด่งดังมากขนาดนี้…
“มีตำนานเล่าว่า ในขณะที่บรัสเซลส์อยู่ท่ามกลางสงคราม และถูกฝ่ายตรงข้าม
นำระเบิดมาวางไว้ที่กำแพงเมือง เด็กชายคนหนึ่งชื่อ จูเลียนสกี มาพบสายชนวนระเบิดกำลังติดไฟ
จึงปัสสาวะรดเพื่อดับชนวนและป้องกันเมืองไว้ได้
ชาวเมืองจึงทำรูปแกะสลักนี้ไว้เพื่อระลึกถึงความกล้าหาญ ต่อมารูปสลักนี้ถูกขโมยสูญหายไปหลายครั้ง
จึงถูกแทนที่รูปหล่อตัวปัจจุบัน ที่ออกแบบโดยเจอโรม ดูเกสนอย”
ใครได้มาเที่ยวแล้วอย่าลืมถ่ายรูปคู่กับรูปปั้นเด็กฮีโร่ตัวน้อยตรงนี้ด้วยนะครับ ^^
ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงวันสำคัญ วันเทศกาลอีสเตอร์
จะได้เห็นรูปปั้นไข่ และ กระต่าย ที่เป็นสัญลักษณ์ของวันอีสเตอร์นี้
เต็มทั่วเมืองไปหมด แต่ละร้านก้ได้มีการประดับตกแต่งในรูปแบบที่แตกต่างกัน ดูมีสีสรรมากครับ
มาเบลเยียมแล้วไม่ทานวาฟเฟิล กับ ช็อกโกแลตร้อน นี่เหมือนมาไม่ถึงเลยนะครับ
เพราะแต่ละร้านจะมีขายแต่วาฟเฟิลทั่วเมืองไปหมด อยากรู้ว่าร้านไหนอร่อย
ต้องลองชิมให้ครบทุกร้านเองนะ ^^ สนนราคาอยู่ที่ชิ้นละ 2-5 ยูโร
ขึ้นอยู่กับท้อปปิ้งที่ใส่เพิ่มว่ามากน้อยแค่ไหน แต่บอกเลยว่าฟินสุดๆ
จริงๆแล้ว Brussels ยังมีที่เที่ยวอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นช้อปปิ้งในร่ม แหล่งซื้อของฝาก
Royal Palace of Brussels พระราชวัง หรือ Atomium สถาปัตยกรรมที่อยู่ชานเมือง
รูปร่างคล้ายโมเลกุลวิทยาศาสตร์ จำนวน 9 ลูกมาต่อกัน
แต่ผมมีเวลาจำกัดเลยไม่ได้ไปเที่ยวสถานที่เหล่านั้น เพราะพรุ่งนี้จะมุ่งหน้าไปอีกเมืองนึงที่อยู่ไม่ไกล
ก่อนกลับเข้าที่พักคืนนี้ ผมได้แวะดูแสงสีบริเวณจตุรัสบรัสเซลล์อีกรอบ
ช่วงกลางคืนบริเวณจตุรัสแห่งนี้เปิดไฟสวยงาม นักท่องเที่ยวต่างออกมายืนถ่ายรูปกันเนืองแน่น
ถือว่าเป็นไฮไลท์ส่งเข้านอนยามค่ำคืนที่ไม่ควรพลาดเลยครับ
สวยงามแค่ไหนลองชม VDO Timelapse นี้กันเลย ^^
เช็คเอ้าท์ออกจากที่พักกันตั้งแต่เช้า เพื่อไปเที่ยวอีกหนึ่งเมืองใกล้ๆขับรถไปประมาณ 1.30 ชม.
หรือใครมีเวลาจะแวะเที่ยวเมือง Gent ก่อนก็ได้นะครับ
สำหรับผมมุ่งหน้ายาวๆไปยังเมือง Brugge เลยทันที
Brugge
เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นเมืองหลวงของจังหวัดฟลานเดอร์ตะวันตกในประเทศเบลเยียม
ตัวเมืองตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ
ศูนย์ประวัติศาสตร์ของเมืองมีลักษณะเป็นรูปไข่ ได้รับเลือกให้เป็นเมืองมรดกโลกของยูเนสโกอีกด้วย
Brugge ได้รับสมญานามว่า เวนิสแห่งภาคเหนือ ตามสภาพเมืองที่เต็มไปด้วยลำคลองอันสวยงาม
Grand Market จตุรัสกลางเมืองที่คับคั่งด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเยือน
ผมหาที่จอดรถในย่านกลางเมืองซึ่งเป็นที่จอดรถสาธารณะ คิดเป็นรายชั่วโมง
แต่ราคาก็ไม่โหดร้ายเท่าที่ Brussels แล้วครับ และเดินมาเที่ยวบริเวณจตุรัสกลางเมืองได้ง่ายๆ
บริเวณนี้มี อนุสาวรีย์ของ Pieter De Conick and Jan Breydel
คนเฟรมมิชที่เป็นผู้นําการต่อต้านการยึดครองของ Duke of Burgandy ตั้งอยู่ด้านหน้า
ถ้าใครอยากขึ้นไปชมวิวเมืองสูง ผมแนะนำที่นี่เลย Belfry of Bruges หอระฆังขนาดใหญ่ของเมือง
มีความสูง 83 เมตร แถมยังเป็นจุดชมวิวของเมืองทั้งเมืองได้เป็นอย่างดี
ระหว่างทางเดินขึ้นไป จะได้เห็นประวัติของหอระฆังแห่งนี้รวมถึงสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมาย
เปิดให้ขึ้นไปชมวิวมุมสูงทุกวันตั้งแต่เวลา 9.30 – 18.00 น. อาจต้องรีบมาต่อคิวหน่อย
เพราะคนรอเข้าแถวเยอะมาก และมีการจำกัดรอบในการเข้าชมแต่ละรอบ
ถ้าคนที่อยู่ข้างบนยังไม่ลงมา คนที่อยู่ด้านล่างก็ไม่สามารถขึ้นไปได้ ถือว่ามีการจัดการที่ดี
เพราะด้วยหอระฆังนี้ค่อนข้างเก่าแก่ ถ้ามีนักท่องเที่ยวขึ้นไปออด้านบนเป็นจำนวนมาก
กลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้นมาได้
เดินขึ้นบันได 366 ขั้นเพื่อขึ้นไปชมวิวข้างบนหอระฆัง Belfort ขั้นบันไดนั้นค่อนข้างแคบ
เมื่อขึ้นมาด้านบนสุดจะได้เห็นวิวที่สวยงามของเมือง Brugge ที่ได้ฉายาเวนิสแห่งภาคเหนือ
และยืนถ่ายรูปให้คุ้มค่ากับค่าตั๋วที่ขึ้นมาคนละ 10 ยูโร ก่อนที่จะลงไปสัมผัสสายน้ำด้านล่าง
เวนิสแห่งภาคเหนือ ทางตอนเหนือของเมืองมีลำน้ำที่ใช้ในการคมนาคมรอบๆ
ทำให้เมือง Brugge เป็นที่รู้จักกันในชื่อ The Venice of The North
Brugge มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เพราะเคยเป็นเมืองท่าและ
มีความสำคัญในทางศิลปะในยุคจิตรกรรมยุคเนเธอร์แลนด์ตอนต้นอีกด้วย
ทำให้บ้านเมืองที่เห็นในเมืองนี้ส่วนใหญ่มีลักษณะคล้ายประเทศเนเธอร์แลนด์
ถ้ามาถึง Brugge ผมอยากให้ลองอาหารขึ้นชื่อนั่นก็คือ Blue Mussel หอยแมลงภู่อบ
แนะนำเลยว่าห้ามพลาด เพราะแต่ละร้าน เมนูแนะนำคือเมนูนี้แทบทั้งสิ้น
เต็มอิ่มกับเมือง Brugge โดยใช้เวลาเดินเที่ยวประมาณ 2-3 ชม. ก็เที่ยวครบ
หรือใครอยากจะอินฟินต่อด้วยการนั่งเรือชมทัศนียภาพ ให้ได้บรรยากาศล่องเรือเวนิสเหนือ
หรือจะเดินช้อปปิ้งกับร้านค้า Brand Name ต่างๆ ที่เมือง Brugge ก็มีครบ
สำหรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม
จากเมือง Brugge ผมขับยาวมาที่สนามบิน Brussels ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1.30 ชม.
โดยไม่ต้องผ่านเข้าเมือง Brussels ก่อน มาถึงคืนรถที่สนามบินและมาเตรียมเช็คอิน
เพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จุดหมายปลายทางของทริปนี้
ระหว่างเครื่องบิน บินข้ามประเทศจะได้เห็นหิมะปกคลุมบนยอดเขาปุยๆสีขาวแบบนี้
เห็นแล้วก็อดใจไม่ไหว อยากให้ถึงสวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนในฝัน จุดหมายหลักของทริปนี้เร็วๆ
Belgium-Luxembourg 2 ประเทศเล็กๆที่สามารถมาเที่ยวได้นานๆ
หรือจะมาเที่ยวแบบทางผ่านก็ยังได้ แต่ผมเชื่อว่าถ้าลองได้มาเยือน 2 ประเทศนี้แล้ว
คุณคงมีความคิดที่อยากกลับมาอีกแน่นอน…
พบกับตอนที่ 2 มุ่งหน้าสู่สวิตเซอร์แลนด์ ^^
Link รีวิวตอนต่อไปครับ –> Switzerland รีวิวตอนที่สอง
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^