การขับรถเที่ยวเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการเดินทาง
แต่ละสถานที่ที่ขับรถผ่านจะมีความสวยงามในตัวเอง มีความเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร
และถ้าจะจอดรถแวะถ่ายรูปตรงไหนก็สามารถทำได้ (แต่ต้องไม่ก่อความเดือดร้อนให้ใคร)
ทั้งหมดนี้คือเสน่ห์ของการขับรถเที่ยว…
รีวิวชุดนี้ ผมเริ่มต้นเช่ารถขับที่ประเทศเยอรมนี ข้ามผ่านชายแดนสู่ประเทศออสเตรีย
มุ่งหน้าสู่ประเทศเช็กและกลับเข้าประเทศเยอรมนีอีกครั้ง
บนเส้นทางที่นักท่องเที่ยวหลายคนให้นิยามถนนเส้นนี้ว่า…“Romantic Road”
ความโรแมนติกของถนนเส้นนี้อยู่ที่ ธรรมชาติของสองข้างทางที่สวยงามจับใจ
รูปทรงสถาปัตยกรรมตามบ้านเรือนเมืองต่างๆที่ดูน่ารักกิ๊บเก๋ไม่ซ้ำใคร
และผู้คนตามเมืองต่างๆที่ให้การช่วยเหลือเป็นอย่างดี มีอัธยาศัยที่ดีตลอดทาง
พร้อมแล้วบิดกุญแจสตาร์ทรถ ออกเดินทาง
มุ่งหน้าสู่ Romantic Road ประเทศที่ 2 ของทริป…
“Austria – Innsbruck & Hallstatt”
จากประเทศเยอรมนีถ้าจะขับรถเข้าประเทศอื่นจะต้องซื้อสติ๊กเกอร์ติดกระจกหน้ารถ
หรือที่เรียกว่า Vignette ซึ่งตำแหน่งที่ติดตรงกระจกหน้ารถก็ไม่เหมือนกัน
อย่างประเทศออสเตรียจะติดตรงด้านบนซ้ายมือ
ส่วนประเทศเช็กจะติดข้างบนตรงกลางของกระจกหน้ารถ
สติ๊กเกอร์นี้เป็นเหมือนค่าผ่านทางด่วนในแต่ละประเทศ จะมีก็แต่ที่เยอรมนีแหล่ะครับ
ที่ทางด่วน Autobahn จะไม่เสียเงิน ไม่ต้องติดสติ๊กเกอร์ใดๆ แถมไม่จำกัดความเร็วอีกด้วย
สติ๊กเกอร์นี้มีอายุ 7 วัน นับจากวันที่เข้าประเทศนั้นๆ ราคา 8.8 EURO
หาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน ใกล้ๆรอยต่อของเมืองในแต่ละประเทศ
จาก Fussen (ฟุสเซน) ขับรถเข้าสู่เมือง Innsbruck (อินส์บรุค)
ใช้เวลาประมาณ 1.40 ชม. จากภาพ Google Map ด้านล่าง
เป็นเส้นทางจากเยอรมนีเข้าออสเตรียและจบที่หมู่บ้าน Hallstatt (ฮัลล์สตัทท์)
ระหว่างทางถึงแม้จะมีฝนโปรยปรายอยู่บ้าง แต่ยังเห็นวิวภูเขาที่มีหิมะปกคลุมตลอดทาง
ที่พักคืนนี้ ผมจองผ่าน Agoda (https://www.agoda.com/th-th/)
ชื่อ Austria Trend Hotel Congress Innsbruck
https://www.agoda.com/th-th/austria-trend-hotel-congress-innsbruck/
เป็นโรงแรมขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมือง Innsbruck มาประมาณ 1 กม.
ตัวโรงแรมไม่มีที่จอดรถฟรีสำหรับผู้เข้าพัก ต้องจอดตามริมถนนด้านหน้าโรงแรม
แต่จะมีช่วงเวลาในการจอดครับ ถ้าจอดผิดเวลาอาจโดนใบสั่งหรือโดนล็อกล้อ
ทางที่ดีควรสอบถามจากทางโรงแรม และตัวโรงแรมจะตั้งอยู่ตรงข้ามสถานีรถราง
เพื่อที่จะขึ้นกระเช้าไปบนยอดเขา Nordkette หรือจะนั่งเข้าตัวเมือง Innsbruck ก็ได้ครับ
ตัวห้องมีขนาดกว้างขวาง เน้นโทนสีขาวตัดแดง เป็นสไตล์ Modern
วิวจากหน้าต่างห้องพักมองออกไปเห็นภูเขาหิมะปกคลุม
ที่จะขึ้นไปเที่ยวในวันพรุ่งนี้ครับ
อาหารเช้าของโรงแรมเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ ที่โดนใจผมสุดๆคือ แซลม่อนรมควัน นี่แหล่ะครับ ^^
Innsbruck (อินส์บรุค) เป็นเมืองหลวงของรัฐ Tyrol ตั้งอยู่ที่ราบลุ่มแม่น้ำอินน์
กลางหุบเขาของเทือกเขาแอลป์ โดยมีแม่น้ำอินน์ไหลผ่าน
ซึ่งสามารถมองเห็นยอดเขาสูง ได้แก่ Nordkette (นอร์ดเคทเทอ) อยู่ทางตอนเหนือของเมือง
และมีทัศนียภาพที่สวยงามจากเทือกเขาแอปล์ที่โอบล้อมอยู่จนได้รับการขนามนามว่า “Capital of Alps”
จะเที่ยวเมืองนี้ให้คุ้มก็ต้องมีตัวช่วยนั่นก็คือ Innsbruck Card
24 ชม. ราคา 39 EURO / 48 ชม. ราคา 48 EURO / 72 ชม. ราคา 55 EURO
โดยนับชั่วโมงชนชั่วโมงจากการลงทะเบียนซื้อบัตร
สิทธิพิเศษของบัตรเบ่งใบนี้มีอะไรบ้าง เอาแบบคร่าวๆนะครับ
– ขึ้นรถสาธารณะได้ทุกประเภทฟรีกี่เที่ยวก็ได้
– เข้าสถานที่เที่ยวสำคัญหรือพิพิธภัณฑ์ต่างๆฟรี
– ขึ้น Cable Car ได้ 1 รอบฟรี จะขึ้นกระเช้าไหนก็ได้แต่ได้แค่ 1 รอบเท่านั้น
สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ได้ที่ลิ้งก์ด้านล่างนี้
https://www.innsbruck.info/en/experience/innsbruck-card.html
Innsbruck เป็นเมืองเล็กๆสามารถเดินเที่ยวชมเมืองครึ่งวันก็ทั่วแล้วครับ
จุดแรกที่ผมจะพาไปชมคือ Golden Roof Museum เป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองนี้
ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่า ส่วนของหลังคาที่ยื่นออกมาจากระเบียงตกแต่งด้วยทองคำแท้
จำนวน 2,738 แผ่น ปัจจุบัน Golden Roof กลายเป็นสำนักงานการประชุมอัลไพน์นานาชาติ
ตัวเมืองเก่า Innsbruck มีประวติศาสตร์ยาวนาน อาคารต่างๆรอบข้างมีรูปทรงที่แปลก
เดินต่อมาเรื่อยๆจะพบกับ Miss Annasaule หรือ อนุสาวรีย์เสา Annasaule
เป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของชาว Tyrol อนุสาวรีย์นี้ตั้งตระหง่าน
กลางถนน Mary Theresian โดยมีทิวเขาและอาคารสีสันสดใสเป็นกรอบอยู่รอบๆ
อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมือง Innsbruck คือบ้านหลากสีสันที่ตั้งเรียงตัวกันริมแม่น้ำอินน์
โดยมีฉากหลังเป็นภูเขาสูงที่มีหิมะปกคลุม
ถ้าเลือกซื้อบัตร Innsbruck Card แล้วขึ้น Innsbrucker Nordkettenbahnen cable cars
จะคุ้มสุดๆ เพราะถ้าไม่มีบัตรจะต้องเสีย 32 EURO แต่ถ้าใช้บัตรใบนี้ก็ฟรีนะคร้าบบบ ^^
รถรางจะไปส่งที่สถานีที่ 1 ซึ่งมีจุดชมวิวเมือง Innsbruck อันสวยงาม
จากนั้นจะขึ้นกระเช้าต่อไปยังสถานีที่ 2 ที่เป็นจุดแวะพักและจุดเริ่มต้นสำหรับคนที่จะมาเล่นสกี
ด้านบนนี้มีที่พัก มีร้านนั่งดื่มชิวๆ แต่ช่วงที่ผมไปเค้าไม่เปิดให้บริการนะครับ อดเลย ><
และนั่งกระเช้าต่อไปยังสถานีที่ 3 สถานีบนสุด ตอนที่ผมไปมีหิมะตกและมีหมอกหนาคลุม
ทำให้ทัศนียภาพด้านบนภูเขา Nordkette นี้แทบจะไม่เห็นอะไรเลย ><
เมือง Innsbruck มีชื่อเสียงในด้านเป็นศูนย์กลางของกีฬาฤดูหนาว
ซึ่งเมืองแห่งนี้เคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาฤดูหนาวหลายครั้ง
ทำให้เมืองนี้เป็นเมืองแรกของโลกที่ได้จัดกีฬาโอลิมปิกถึง 3 ครั้ง
สำหรับคนที่ชื่นชอบคริสตัลคงไม่มีใครไม่รู้จัก Swarovski ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ที่เมือง Innsbruck
ที่นี่มีพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ เปิดทุกวันตั้งแต่ 8.30 – 19.30 เวลาเข้าชมสุดท้ายคือ 18.30
ใครที่มีบัตร Innsbruck Card สามารถมาแลกตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์นี้ได้ฟรีตรงทางเข้าครับ
ด้านหน้ามีน้ำตกขนาดใหญ่ที่เป็นรูปหน้าคน มีฉากหลังเป็นภูเขา เขียวชะอุ่มดูแล้วสบายตา
ด้านในพิพิธภัณฑ์จะแบ่งเป็น 5 ห้องจัดแสดงวิบวับระยิบระยับประกายเต็มไปหมด
ส่วนด้านนอกตรงทางออกพิพิธภัณฑ์มี shop สำหรับผู้ที่สนใจจะหาซื้อคริสตัลสวยๆ
กลับไปเป็นของฝากติดไม้ติดมือก็มีให้เลือกหลากหลายแบบ
พอชมพิพิธภัณฑ์ Swarovski เสร็จก็ขับรถมุ่งหน้าสู่หมู่บ้าน Hallstatt
ระหว่างทางตอนขับรถในออสเตรีย วิวด้านหน้าจะเห็นภูเขาที่มีหิมะปกคลุม
ภูเขานี้คือส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์ วิวสวยจนอยากจะหยุดรถลงไปถ่ายรูปเลยทีเดียว
ใช้เวลาประมาณ 3 ชม ก็มาถึงหมู่บ้านโรแมนติกแห่งนี้…ฮัลสตัทท์ Hallstatt
หมู่บ้านที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาและมีทะเลสาบอยู่เบื้องหน้าของบ้านจำนวนไม่กี่หลัง
หมู่บ้านที่ได้ชื่อว่าโรแมนติกเป็นอันดับต้นๆของยุโรป
และเป็นที่ที่คนไทยนิยมมาเที่ยวมากแห่งหนึ่งด้วย
คืนนี้ผมพักที่ Gasthof Pension Gruner จองผ่าน Agoda (https://www.agoda.com/th-th/)
คืนละ 86 EURO https://www.agoda.com/th-th/gasthof-pension-gruner-anger/
ที่พักจะไม่ได้อยู่ในตัวหมู่บ้าน Hallstatt แต่อยู่ห่างออกมาประมาณ 500 เมตร
มีที่จอดรถให้สำหรับแขกที่เข้าพัก ไม่มีลิฟท์ ตัวห้องพักขนาดกำลังพอดี
อยู่ใกล้กับทางขึ้นไปเหมืองเกลืออีกด้วย
สามารถยืมจักรยานจากที่พักขี่ไปเที่ยวรอบๆได้ฟรีด้วยนะครับ ^^
จากบริเวณโรงแรมที่พักปั่นจักรยานมาตัวหมู่บ้าน Hallstatt ได้ไม่ไกล
ถนนแบ่งเป็นเลนจักรยานให้ปั่นได้ง่าย ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงเมษายนร้านค้าแถวนั้นปิดค่อนข้างเร็ว
19.00 เมืองก็ค่อนข้างเงียบพอสมควรแล้วครับ
เช้าวันรุ่งขึ้นอากาศเย็นกำลังดี หยิบจักรยานจากที่พักเริ่มปั่นไปรอบๆตัวหมู่บ้าน Hallstatt ต่อ
โดยเป้าหมายวันนี้คือมุมมหาชนที่ใครหลายคนมาก็ต้องแวะมาถ่ายรูปที่มุมนี้กัน
ร้านค้าแถวนี้เริ่มเปิดประมาณ 10.00 ครับ
Hallstatt เป็นหมู่บ้านเล็กๆทางเหนือของออสเตรีย
ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบ Hallstatter See มีชื่อเสียงเรื่องการผลิตเกลือ
และยังได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้อีกด้วย
ลักษณะโดยรอบทั่วไปเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่มีภูเขาโอบล้อมรอบ
มีทะเลสาบน้ำใสดุจกระจกสะท้อนตั้งอยู่หน้าหมู่บ้าน
ผู้คนละแวกนี้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข อากาศก็เย็นสดชื่น
จึงไม่แปลกใจเลยที่สถานที่แห่งนี้จะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนได้ปีละหลายคน
ข้อแนะนำ
1. ควรมาเที่ยวตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ เพราะช่วงกลางวันนักท่องเที่ยวค่อนข้างมาก
2. ที่พักในหมู่บ้าน Hallstatt ราคาค่อนข้างสูง แนะนำให้พักที่พักรอบๆ
ซึ่งจะมีจักรยานให้ยืม หรือ บางที่มีรถรับ-ส่ง ฟรี เป็นรอบเวลาด้วย
เต็มอิ่มจากจุดชมวิวหมู่บ้าน Hallstatt เรียบร้อย ผมได้ย้อนกลับมาเที่ยวบริเวณที่พัก
เหมืองเกลือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก Salzwelten (Salt Mine Hallstatt)
ซื้อตั๋วจากด้านหน้าทางเข้า หรือจะซื้อทางออนไลน์มาก่อนก็ได้ครับ
ราคาคนละ 30 EURO
นั่งรถรางขึ้นมายังจุดชมวิว
จุดชมวิวตรงนี้มีลักษณะเป็นที่ยืนยื่นออกไปตรงหน้าผา สามารถก้มมองลงมายังหมู่บ้าน Hallstatt
วิวข้างบนนี้จะเห็นได้ชัดว่า Hallstatt มีภูเขาล้อมรอบทุกทิศทางจริงๆ
หมู่บ้าน Hallstatt มองจากจุดชมวิวลงมา ^^
จากนั้นเดินเข้าไปเหมืองเกลือที่อยู่ด้านบนกันต่อ
การจะเข้าเหมืองเกลือที่นี่จะมีเจ้าหน้าที่ประจำกลุ่มแต่ละรอบเดินเข้าไปและอธิบาย
ความเป็นมาของเหมืองเกลืออย่างละเอียด จำลองการทำเหมืองตั้งแต่สมัยโบราณ
จนถึงยุคปัจจุบัน มีการนั่งล้อเลื่อนจำลองเหมือนว่าเราเป็นคนขุดเหมือง
อ่อลืมไปครับ ก่อนเข้าชมนักท่องเที่ยวทุกคนต้องเปลี่ยนเป็นชุดคนงานเหมืองคลุมยาวสีเขียว
ซึ่งในแต่ละรอบจะใช้เวลาเข้าชมประมาณ 45-60 นาที
เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับผมกับการมาชมเหมืองเกลือที่มีขนาดใหญ่แห่งนี้
ตอนแรกก่อนมาคิดว่าที่นี่คงไม่มีอะไร แต่ที่ไหนได้ ที่นี่กลับเป็นที่ที่ไม่ควรพลาด
เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่อยากจะแนะนำให้มาเที่ยวของ Hallstatt เลยครับ
9 วัน 4 ประเทศ หลายเมือง ผมใช้เวลาช่วงวันหยุดยาวได้คุ้มค่าจริงๆ
ลองย้อนกลับไปในวันแรกของทริป วันที่เริ่มรับรถ เช่ารถขับตะลุยข้ามประเทศ
เจอสภาพอากาศต่างๆทั้งแดดแรง ฝนหนา หิมะตก ครบทุกแบบ
ได้พบเห็นวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละเมือง
ได้ทำความรู้จักเพื่อนต่างประเทศ ต่างบ้านต่างเมืองอีกมากมาย
ประสบการณ์ในครั้งนี้ การเดินทางทริปยาวๆแบบนี้ได้ให้อะไรเรามากกว่ารูปที่เห็นคนอื่นถ่าย
หรือบทความรีวิวของท่านอื่น เพราะสิ่งที่คุณจะได้กลับไปที่มากกว่านั้นคือ…
“ความรู้สึกในห้วงเวลานั้น”
ขอขอบคุณสายการบิน KLM บินจาก กทม. ไปยังเมืองต่างๆในยุโรปโดย transit ที่ Amsterdam
ขอบคุณ Agoda สำหรับที่พักราคาพิเศษ ถูกและดีแบบนี้หาได้ที่ไหน
และขอฝากรีวิวประเทศ Netherland ประเทศสุดท้ายของทริปตามลิ้งก์ด้านล่างนี้ด้วยนะครับ
https://www.nejutravel.com/intertrip/amsterdam-keukenhof/
ส่วนรีวิวอีก 2 ประเทศที่เหลือ (เยอรมนี , เช็ก) รอแปปนึงนะ เดี๋ยวมาฝากร้านในนี้แน่นอน ^^
“Grand Trip Europe : Germany-Austria-Czech-Netherland”
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^