ทุกครั้งที่ไปเที่ยวพัทยา เรามักจะนึกถึงแสงสีเสียงยามราตรี เสมือนกับเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล เดินไปทางไหนก็มีเสียงเพลงสร้างความคึกคักได้ตลอดทั้งคืน แต่ครั้งนี้ผมขอพาเพื่อนๆไป #บันทึกเที่ยวที่พัทยา ในรูปแบบที่แตกต่างไปจากเดิม โดยคราวนี้จะพาไปหลีกหนีแสงสีและความวุ่นวาย ไปอิงแอบแนบชิดธรรมชาติ ไปสูดโอโซนฟังเสียงนกร้องเคล้ากับเสียงคลื่น ซึ่งโรงแรมที่ว่านี้ได้รับรางวัล The Winner Award for Green Sea จาก Thailand Boutique Awards 2016-2017 รางวัลนี้การันตีได้เลยว่าคนที่ชื่นชอบธรรมชาติ หรือคนที่ต้องการการพักผ่อนที่แท้จริงต้องฟินแน่นอน อย่ารอช้า เก็บกระเป๋า สตาร์ทรถและออกเดินทางไปพร้อมกัน…“The Monttra Pattaya (เดอะ มนต์ตรา พัทยา)”
เช้าวันเสาร์ที่หลบหนีความวุ่นวายในตัวเมืองเพื่อมาพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ ขับรถมาจากเมืองหลวง กทม. ไม่ไกลประมาณ 2 ชั่วโมง จะพบกับที่พักที่ผมเข้าพักในทริปนี้ หาไม่ยาก อยู่ใกล้เขาพระตำหนัก “The Monttra Pattaya”
ในส่วนของ Lobby จะเปิดโล่ง รับลมจากธรรมชาติเต็มๆไม่ว่าลมจากทะเลด้านหน้า หรือจากความร่มรื่นของบริเวณที่พัก และได้มีการออกแบบให้ใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นวัสดุ อุปกรณ์ต่างๆที่นำมาใช้ รวมถึงโลโก้ของที่พักที่ยังเป็นรูปใบไม้อีกด้วย
Check In เสร็จ ทางโรงแรมก็นำ Welcome Drinks มาเสิร์ฟทันที เป็นน้ำอัญชันผสมขิง แต่หากอยากได้รสชาติที่อมเปรี้ยวเล็กน้อยก็สามารถเทมะนาวที่ทางโรงแรมจัดมาให้ได้ พร้อมทั้งยังมีผลไม้สดๆ มาต้อนรับด้วย
บรรยากาศภายในบริเวณโรงแรมร่มรื่นมาก เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ที่เป็นธรรมชาติดั้งเดิม ไม่ได้ถูกสร้างหรือปรุงแต่งขึ้นมา ตามความประสงค์ของเจ้าของโรงแรมที่ต้องการสร้างโรมแรมให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ และจะรักษาต้นไม้ทุกต้นให้คงอยู่อย่างสมบูรณ์ที่สุด
โรงแรมไม่ได้มีดีที่ความร่มรื่น แต่ที่นี่ยังอยู่ติดริมชายหาดส่วนตัว ซึ่งเราจะเห็นความสวยงามของหาดนี้ได้ในเดือน ธันวาคม มกราคม กุมภาพันธ์ และเดือนมิถุนายน ของทุกปี ส่วนเดือนอื่นจะเป็นช่วงน้ำขึ้น
ข้างที่พักจะติดกับ Royal Varuna Yatch Club จึงมีคนมาเล่นกีฬาทางน้ำเป็นจำนวนมาก ทำให้เราได้เห็นคนเล่นเรือใบ เรือยนต์กันอย่างมากมาย แต่ไม่พลุกพล่านนะครับ เพราะเค้าแบ่งพื้นที่กันอย่างชัดเจน
ห้องพักที่นี่มีทั้งหมด 4 แบบ จำนวนรวม 23 ห้อง มีทั้งแบบ Garden Suites 16 ห้อง / แบบ Sea Breeze Suites 3 ห้อง / แบบ Canopy Suites 2 ห้อง และแบบ Canopy Plunge Pool Suites จำนวน 2ห้อง ทุกห้อง Non-Smoking นะครับ ^^ สำหรับห้องที่ผมพักครั้งนี้ เป็นห้องแบบ Garden Suite ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ของตัวตึก
เมื่อเปิดประตูเข้ามารู้สึกว่าห้องมีขนาดกว้างขวาง ด้วยการที่มีพื้นที่ใช้สอยมากถึง 42 ตารางเมตร และยังตกแต่งสไตล์ Loft เรียบๆ โทนสีขาว ดูอบอุ่น ทำให้ดูแล้วโล่งโปร่ง ไม่รู้สึกอึดอัด
เปิดห้องออกมาจากชั้นบนจะเจอวิวสวน ต้นไม้เขียวๆ เต็มไปหมด ได้ความสดชื่นของธรรมชาติแบบเต็มๆ ปอด อีกทั้งยังสามารถมองเห็นวิวทะเลได้บางส่วน
เตียงนอน King Size ตรงกลางห้อง พร้อมพัดลมบนเพดาน ให้ความรู้สึกของบ้านพักตากอากาศอย่างแท้ทรู ที่ด้านข้างมีโต๊ะทำงาน และเก้าอี้สำหรับนั่งพักผ่อน สามารถมานั่งอ่านหนังสือ หรือทำงาน พร้อมฟังเสียงนกร้อง พักสายตาไปที่ต้นไม้เขียวๆ ช่างเหมือนสวรรค์บนดินจริงๆ
ทีเด็ดในห้องพักนอกจากเตียงนอนนุ่มๆแล้ว ก็คือ Minibar ทั้งขนมและเครื่องดื่มสามารถทานได้ฟรีทั้งหมด ขอเน้นว่าทั้งหมดเลยครับ ไม่มีชาร์จเพิ่มแต่อย่างใด มีทั้งน้ำผลไม้ น้ำอัดลม ชา กาแฟ ถั่ว คุ้กกี้ มันฝรั่งแผ่น เวเฟอร์ น้ำเปล่า พร้อมทั้งมีเครื่องทำกาแฟและกาต้มน้ำไว้ให้บริการด้วย
ห้องอาบน้ำและห้องสุขาแยก รวมถึงโซนล้างหน้า แยกออกจากกันชัดเจน โดยห้องอาบน้ำมีทั้งฝักบัวและ Rain Shower ส่วนของใช้ Amenities ที่ทางที่พักเตรียมไว้ให้เป็นของแบรนด์ DAMANA ซึ่งแบรนด์จะแตกต่างกันตาม Room Type ที่เข้าพัก
ทางโรงแรมมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ไว้ให้ผู้ที่เข้าพักได้ใช้บริการฟรีหลายอย่าง ในวันที่ผมเข้าพักเป็นวันเสาร์ ซึ่งเช้าวันเสาร์จะมี Yoga Class ส่วนเช้าวันอาทิตย์ มีกิจกรรมใส่บาตร ตอนเวลา 7:00 น. โดยทางโรงแรมจะจัดเตรียมอาหารและดอกไม้ไว้ให้ แค่แจ้งจำนวนให้ทางโรงแรมทราบก่อน 1 วัน
มาชมห้องอาหาร Breeze ที่เป็นห้องอาหารหลักและห้องอาหารเดียวของที่นี่กันครับ ห้องอาหารนี้เปิดให้บริการอาหารเช้า เวลา 7:00 – 10:30 น. ส่วนอาหารกลางวันจนถึงมื้อเย็น เปิดให้บริการเวลา 10:30 – 22:00 น.
บรรยากาศห้องอาหารจะเปิดโล่ง คล้ายตรง Lobby ซึ่งรับลมธรรมชาติเต็มๆ จัดวางด้วยโต๊ะและเก้าอี้ไม้ให้เข้ากับ concept ธรรมชาติ แถมยังได้มองทะเลตอนทานอาหารไปด้วย แค่บรรยากาศก็กินขาดซะแล้ว
สำหรับอาหารเช้าจะเป็น A la carte ให้เลือกทั้งหมด 9 เซ็ต โดยแต่ละเซ็ตจะถูกตั้งชื่อแทนการกล่าวทักทายในภาษาต่างๆ ในส่วนของเครื่องดื่ม มีให้เลือกทั้งน้ำผลไม้แบบคั้นสด อันนี้ขอแนะนำเลยว่าต้องลอง ทั้งสับปะรด แตงโม หรือส้ม สดๆไม่ใส่น้ำตาลนะครับ รวมถึงชา กาแฟ อีกทั้งยังมีไลน์มินิบุฟเฟ่ต์ที่มีทั้งผักสลัดสดๆ Cold Cuts Cornflake ผลไม้ ขนมปัง เนย แยม และโยเกิร์ตให้เลือกทานได้แบบไม่อั้น
มาดูที่ A la carte ที่ผมได้ลองสั่งมาทาน มีดังนี้ครับ Good Morning เป็นเครปไข่ มีทั้งไส้กรอก ผักโขม ชีส ถั่ว และมันบด
A Melted Morning เป็นมักกะโรนีราดด้วยซอสครีม เสิร์ฟพร้อมเบคอน ไส้กรอก และเห็ด พร้อมผัก Rocket
Bonjour ครัวซองสอดไส้เบคอนกรอบ ชีส และผัก Rocket มาคู่กับ Chip เผือกกรอบๆ
Ohayo แซลมอนย่าง ข้าวผัด เห็ดย่าง พร้อมซุปมิโซะ
Chef’s Reccomended เป็น Egg Benedict เสิร์ฟพร้อมแซลมอนย่าง หน่อไม้ฝรั่ง และมะเขือเทศ นอกจากนี้ยังมีเซ็ต The Healthy One, Hi, Ni Hao และ Sawasdee ถ้าจะทานให้ครบทุกเซ็ตแนะนำว่าอย่างน้อยต้องมาพัก 2 คืน ครับ ^^
มาดูเมนูอาหารกลางวันและอาหารเย็นที่ผมสั่งทานระหว่างเข้าพักครั้งนี้ อาหารสั่งเป็นแบบ A la carte มีให้เลือกทั้งอาหารไทยและอาหารฝรั่ง เริ่มกันที่ Salads ขอแนะนำ ปลาแซลมอนแช่น้ำปลา เนื้อปลาแซลมอนสดๆ เสิร์ฟพร้อมแตงกวา มะระ กระเทียมฝาน ต่อด้วย สลัดไข่ดาวน้ำ Poached Egg ที่มาพร้อมเบคอน และผักสลัดสดกรอบ
อีกหนึ่งเมนูที่ขอแนะนำ Thai Quick Dish ที่เป็น Signature ของทางร้าน คือ ผัดไทยกุ้ง จานใหญ่บึ้ม กุ้งตัวโตๆ เนื้อเด้งดึ๋ง แนะนำว่าต้องลองห้ามพลาด
เมนู Soups ที่ขอแนะนำมากๆๆๆๆ คือ ต้มยำหมูดำย่าง มาในหม้อและถาดไม้กิ๊บเก๋ รสชาติกลมกล่อม ลงตัวไปซะหมด จานนี้ขอยกให้เป็นที่หนึ่งในใจเลย
ลองเมนูไทยเด็ดๆไปแล้วมาลองเมนู Western Main Dish ที่จัดว่าเด็ดไม่แพ้กันดูบ้าง ที่ผมลองครั้งนี้ คือ สเต๊กหมูดำ เนื้อหมูนุ่ม ไม่เหนียว ผักก็ส้ดสด ทั้งมะเขือเทศ บร็อคโคลี่ หน่อไม้ฝรั่ง ถั่วลันเตา มันบด และแอปเปิ้ลเขียว
สำหรับของหวาน ขอแนะนำ บราวนี่เค้ก มาพร้อมสตรอเบอร์รี่สด และไอศกรีม ราดด้วยซอสช็อคโกแลต ตบท้ายมื้อหนักได้อย่างสวยๆ
ระหว่างเวลา 14:00 – 17:00 น. ของทุกวัน ทางโรงแรมมีเสิร์ฟ Afternoon Bites ฟรีสำหรับผู้เข้าพัก ซึ่งในเซ็ตมีทั้ง Fish Finger with Tartar Sauce และ Roasted Duck with Red Curry Sauce พร้อมด้วยของหวานอย่าง Cream Brulee และผลไม้สดขนาดพอดีคำ
มาต่อที่มื้อเย็นกับเมนูอาหารที่แตกต่างไปจากเมื่อกลางวัน เริ่มที่ Appetizers รองท้องเบาๆ หอยแมลงภู่อบชีส เป็นหอย New Zealand ตัวบึ้ม เนื้อแน่น ราดด้วยชีสรสกลมกล่อม ทานเพลิน ไม่เลี่ยน
มื้อเย็นก็มีทั้งสลัดและซุปอย่าง ลาบปลาทูน่าดิบ รสจัดจ้าน เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบและมะเขือเทศสด และ ซีซาร์สลัดกับปลาทูน่าย่างสด ปลาทูน่าสดชิ้นเป้ง Grill ได้ที่ เนื้อละมุน และ ครีมซุปเห็ด รสชาติหอม มัน เสริ์ฟพร้อมเห็ดสดย่าง
มาที่ Pizza กันบ้าง เมนูที่ไม่ควรพลาด คือ พิซซ่าปลาแซลมอนครีมชีส เป็นพิซซ่าเนื้อนุ่มที่โรยด้วยเนื้อปลาแซลมอนแบบจัดเต็ม ไม่มีกั๊ก
เครื่องดื่มก็มีให้เลือกมากมายทั้ง Alcohol และ Non-Alcohol เมนูที่ผมลอง ได้แก่ Butterfly Pea ที่มีส่วนผสมของ Blue Raspberries, Melon, Yogurt, Lime Juice และ Honey สีสวย สดใส จี๊ดจ๊าดสะใจ รวมถึง Fresh Mojito with Green Lime สดชื่น หอมมะนาวและมิ้นท์ ส่วน Strawberry Smoothie หอมหวาน สดชื่น เข้ากับบรรยากาศแบบทะเล้ทะเล
หากมีเวลาว่างแล้วอยากผ่อนคลาย ขอแนะนำให้มาลองใช้บริการสปาที่ Jungle Gazebo Spa ซึ่งเปิดให้บริการทุกวัน ระหว่างเวลา 10:00 – 19:00 น.
เมื่อมาที่นี่จะได้สัมผัสกับบรรยากาศของการผ่อนคลายท่ามกลางธรรมชาติ โดยแขกที่มาพักจะได้รับบริการนวดผ่อนคลายฟรี 15 นาที ทุกท่าน แต่ด้วยพื้นที่ที่ค่อนข้างจำกัดทำให้มีเตียงสปาไม่มากนัก จึงขอแนะนำให้จองคิวก่อนทำนะครับ จะได้ไม่พลาดกับสปาเด็ดๆ ที่รายล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ ผมเชื่อว่า 15 นาที ก็สามารถนอนหลับเพลินได้เลย ^^
อีกหนึ่ง Facilities ทีเด็ดของโรงแรม และถือเป็น Signature เลยก็ว่าได้ นั่นก็คือ Infinity Pool สระว่ายน้ำดีไซน์สวยเฉียบ เป็นแบบโค้งใต้ร่มต้นไม้
บริเวณนี้ร่มรื่นมากๆ ขนาดตอนบ่ายๆ ยังสามารถเล่นน้ำได้ไม่ร้อนเลยครับ ด้านหน้าของสระเรียบไปกับผืนน้ำ ให้ความรู้สึกราวกับกำลังแช่น้ำในทะเล ยิ่งตอนพระอาทิตย์ตกยิ่งสวยงามเกินบรรยาย
รอบข้างมีเตียงนอนไว้รองรับอยู่พอสมควร สามารถมานั่งเล่น นอนชิวรับลมทะเล ฟังเสียงคลื่น ได้ตลอด แต่ตัวสระว่ายน้ำจะเปิดให้บริการระหว่างเวลา 7:00 – 19:00 น. เท่านั้น
ก่อนกลับหลังเช็คเอ้าท์ แขกที่เข้าพักทุกคนจะได้รับชุดแซนวิชโฮลวีทแฮมชีส 2 ชิ้น กับน้ำ 1 ขวด คนละชุด เพื่อไว้ทานระหว่างทานตอนนั่งรถกลับ เป็นอีกหนึ่งการใส่ใจของโรงแรมที่สามารถเห็นได้ตั้งแต่เช็คอินตอนเข้าพัก จนตอนกลับ ประทับใจสุดๆเลย ^^
หากท่านใดสนใจอยากไปโดนมนต์ตรา ที่ เดอะ มนต์ตรา พัทยา แห่งนี้ ช่วงนี้ทาง KTC World เค้ากำลังมีส่วนลดค่าที่พักสูงสุดกว่า 60% โรงแรมบูติกทั่วไทย ซึ่งมีหลายโรงแรมที่ได้รับรางวัล Thailand Boutique Awards Season 4 (2016-2017) ให้เลือกจอง สามารถเข้าไปดูรายละเอียดและทำการจองได้ที่ -> TBA KTC World
และ KTC ยังตอบโจทย์ครบทุกความต้องการใน Application บนมือถืออย่าง TapKTC ที่สามารถเช็คยอดการใช้จ่าย แลกคะแนนสะสม แบ่งชำระสินค้า หรือชำระสินค้าด้วย QR Code สามารถดาวน์โหลดได้แล้วทั้ง Android และ iOS นะครับ
“เดอะ มนต์ตรา พัทยา – The Monttra Pattaya” นับได้ว่าเป็นการพักผ่อนที่สมบูรณ์แบบจริงๆ เหมือนเราได้มาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ที่ร่มรื่น เหมือนต้องมนต์สะกดให้หลุดออกจากโลกแห่งความวุ่นวาย ได้มาอยู่กับตัวเองจริงๆ ได้มีเวลาใกล้ชิดกับคนรู้ใจ และสมแล้วกับที่ได้รับรางวัล Thailand Boutique Awards Season 4 (2016-2017) ประเภทรางวัลด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ (The Winner Award for Green) อีกด้วย รับรองว่าหากได้มาสักครั้ง จะเหมือนต้องมนต์ (เหมือนชื่อ เดอะ มนต์ตรา) ให้อยากกลับมาอีกครั้งเป็นแน่ ^^
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^