หลังจากทำงานมาตลอดทั้งสัปดาห์ ร่างกายก็เริ่มงอแง
เหมือนจะเรียกร้องให้พาไปพักผ่อน ให้ไปเจอบรรยากาศชิวๆ พร้อมวิวสวยๆ กับผองเพื่อนและคนรู้ใจ
ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ เป็นเหมือนผมมั้ย?…
เสาร์-อาทิตย์ วันหยุดปลายสัปดาห์ มาเตรียมหาที่เที่ยวให้ร่างกายได้ฟื้นฟูกันดีกว่า
เตรียมตัวหยุดเวลาแล้วไปท่องโลกแห่งจินตนาการ
เพื่อให้ได้พักและ #บันทึกเที่ยว ลงในความทรงจำไปพร้อมกันกับ…“So Sofitel หัวหิน”
หากจะมองหาที่พักในช่วงวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ ที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก
แน่นอนว่า ชะอำ-หัวหิน เป็นหนึ่งในสถานที่ ที่หลายคนนึกถึง เนื่องจากเป็นที่พักตากอากาศยอดนิยม
ของเหล่าชนชั้นสูงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จึงเหมาะที่จะเป็นสถานที่พักผ่อน สังสรรค์ กับเพื่อนฝูง
ครอบครัว หรือคนรู้ใจ เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายของเมืองใหญ่
อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อในเรื่องของหาดทรายที่สวยงาม
อาหารทะเลสด และแหล่งช้อปปิ้งสุดชิค
จากกรุงเทพฯ ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงครึ่ง ก็มาถึงโรงแรม
So Sofitel Hua Hin
ซึ่งตั้งอยู่บนหาดส่วนตัวของชายหาดชะอำตอนเหนือ เป็นโรงแรมที่มีสถาปัตยกรรมโดดเด่น
เมื่อเข้ามาถึงด้านหน้าของโรงแรม จะได้พบกับ คุณสุขสบาย (กระต่ายผู้พิทักษ์เวลา)
ที่จะชวนให้หยุดเวลาเพื่อเตรียมตัวไปท่องโลกแห่งจินตนาการอย่างไร้กังวล
ทุกคนที่ก้าวเข้ามาที่โรงแรมแห่งนี้ มักจะตกตะลึงไปกับบันไดหินอ่อนที่ใหญ่ที่สุดใน
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับการออกแบบโดยคุณดวงฤทธิ์ บุนนาค
สถาปนิกชื่อดังของเอเชีย พร้อมทั้งการต้อนรับอย่างดีจากพนักงานทุกคน
เริ่มจาก Welcome Drink ที่มีส่วนผสมของกระเจี๊ยบ โหระพา และตะไคร้ ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลาย
ท่ามกลาง Lobby ที่กว้างขวาง และเปิดโล่งรับลมเย็นสบายดีทีเดียว
ด้านในของโรงแรมได้รับการตกแต่งจากมัณฑนากรชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงอย่าง
มร.โดนาเทียน คาราทิเยร์ ทำให้โรงแรมมีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว
สร้างภาพชวนฝันจากจินตนาการสุดล้ำลึก โดยจะเห็นรูปปั้นสัตว์ต่างๆ คอยปรากฎโฉม
เพื่อสร้างความประหลาดใจในมุมต่างๆ ทั้งบริเวณ Lobby ในห้องพัก หรือตามสวน
ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาของประเทศฝรั่งเศส
ตั้งแต่เริ่มเข้ามาในบริเวณที่พัก จะรู้สึกได้ถึงการตกแต่งที่ไม่เหมือนใคร และมีเอกลักษณ์ที่ลงตัว
การใช้หินจำนวนมากเรียงรายเป็นกำแพงสูง กั้นด้วยเหล็กอีกชั้น ยิ่งทำให้ So Sofitel หัวหิน
มีความโดดเด่นที่ไม่เหมือนใคร
ด้านหน้าหาดจะเห็นรูปปั้นมือยักษ์ ซึ่งเป็นที่เลื่องลือกันว่าภูเขาใกล้ๆ โรงแรมนี้คือ
ที่อยู่ของนางพันธุรัตจากบทละครเรื่อง สังข์ทอง จึงเดากันว่ามือยักษ์นี้อาจจะเป็นของนางพันธุรัต
ที่ยื่นมาเล่นกับกระต่ายแสนซนที่หนีออกมากจากห้องพัก ซึ่งยังคงเป็นปริศนาอยู่จนทุกวันนี้
และที่สวนด้านข้างของสระว่ายน้ำ จะเห็นกองทัพกระต่ายกำลังวิ่งหนีบางอย่าง
คาดว่ากระต่ายเหล่านี้หนีนางพันธุรัตมาจากริมชายหาด และจะแอบเข้าห้องพักผ่านทางกระจกวิเศษ
เราจึงเห็นกระต่ายอยู่ตามมุมต่างๆ ในห้องพักนั่นเอง
ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน มองไปทางไหน
หรือจะหยุดมุมไหน ทุกมุมล้วนสามารถถ่ายรูปให้ออกมาสวยดูดีมีสไตล์แบบ So
มาดูในส่วนของห้องพักกันบ้าง ที่นี่แบ่งห้องพักออกเป็น 2 โซน คือ
โซน SO Nature ที่เน้นความเป็นธรรมชาติ โดยของที่ประดับในห้องจะทำจากวัสดุธรรมชาติ
พร้อมด้วยภาพถ่ายธรรมชาติอันสวยงามของ Martin Hill ช่างภาพชื่อดังชาวนิวซีแลนด์
และโซน SO Arty ที่ออกแบบบนพื้นฐานของความหรูหราในสไตล์ฝรั่งเศสร่วมสมัย
พร้อมตกแต่งด้วยภาพถ่ายอริยาบทของมนุษย์ฝีมือของช่างภาพ Luois Greenfield
ห้องพักมีทั้งหมด 77 ห้อง มีหลาย Room Type โดยเพดานของห้องพักสูงถึง 4 เมตร
ให้ความรู้สึกโปร่ง โล่งสบาย อีกทั้งพื้นที่ในห้องก็กว้างขวางให้ความรู้สึกสบายยามพักผ่อน
ทั้ง 77 ห้องแบ่งเป็น 5 Room Type คือ
SO Studio มีทั้งหมด 16 ห้อง อยู่ชั้นล่างของทุกอาคาร มีลานไม้ไว้นั่งเล่นหน้าห้อง
SO Comfy มีทั้งหมด 44 ห้อง อยู่ชั้น 2 และ 3 ของอาคาร มีระเบียงหน้าห้อง
SO Pool Villa มีทั้งหมด 4 ห้อง (จำนวน 2 หลัง) ซึ่งแต่ละห้องไม่เชื่อมต่อกัน
SO Family มีทั้งหมด 7 ห้อง มีเตียง 2 ชั้นสำหรับเด็กเพิ่มเข้ามา
และ SO Family Kids House มีทั้งหมด 6 ห้อง มีพื้นที่สำหรับเด็กแยกออกมาจากห้องใหญ่
หน้าห้องพักทุกห้องจะมีข้อความต้อนรับที่ทางโรงแรมได้รังสรรค์ไว้สำหรับแต่ละห้อง
ให้ความรู้สึกอบอุ่น เป็นกันเอง ราวกับเป็นคนพิเศษเลยทีเดียว
สำหรับห้องที่ผมเข้าพักในครั้งนี้เป็นประเภทห้องแบบ
SO Family (โซน SO Nature)
มีเตียงขนาดใหญ่ พร้อมด้วยเตียง 2 ชั้นสำหรับเด็ก อยู่ตรงมุมด้านหลัง
สามารถเข้าพักได้สูงสุด ผู้ใหญ่ 2 เด็ก 2 เหมาะสำหรับครอบครัว
ไฮไลท์ของห้องพัก คงหนีไม่พ้นเตียงนอนนุ่มสบายจาก Sofitel my Bed
ที่ให้ความรู้สึกของการพักผ่อนขั้นสุด หลับเพลินลืมเวลากันเลยทีเดียว
ห้องนี้อยู่ชั้นล่างของอาคารก็จะมีมุมนั่งเล่นตรงชานไม้ จิบกาแฟ
มีหนังสือคู่กายซักเล่ม เพลินเหมือนอยู่ในสวนหน้าบ้านของตัวเองเลยครับ ^^
ในห้องน้ำมีฝักบัวอาบน้ำระบบน้ำฝนที่ให้ประสบการณ์การอาบน้ำรูปแบบใหม่
ราวกับฝนที่กระหน่ำลงมา น้ำแรงชื่นใจ ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย สบายตัว
อีกทั้งอ่างน้ำที่สามารถนอนแช่ได้แบบฟินๆ (ทางโรงแรมสามารถมาตีฟองให้ได้ด้วยนะ)
ส่วนของมินิบาร์ก็มีทั้งเครื่องดื่มสมุนไพรและชุดชงกาแฟที่คอยมาเติมทุกวัน
ขนมตอน Turn Down ก็น่ารักกิ๊บเก๋ เห็นแล้วไม่กล้าหยิบทานเลยครับ ><
อีกหนึ่งประเภทห้องพัก ที่ผมได้มีโอกาสเข้ามาชมเป็นห้องพักแบบ
SO Family Kids House
ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือมีพื้นที่ส่วนตัวสำหรับเด็กๆ แยกมาจากห้องใหญ่
เป็นห้องนอนแยกพร้อมด้วยเตียงสองชั้นและของเล่นสำหรับเด็กๆ
ถ้ามองจากด้านนอกจะเห็นเป็นทรงเหลี่ยมๆตั้งอยู่ตรงสวนหน้าห้องพักหลากสีสัน
ด้านในจะคล้ายกันเกือบทุกประเภทห้อง ต่างกันที่ห้องที่พักเป็นโซนแบบใด
ชอบธรรมชาติ หรือชอบหรูหรามีสไตล์ สามารถแจ้งกับทางที่พัก
เพื่อระบุโซนก่อนเข้าพักได้ครับ
จากห้องนอนหลักมีทางเชื่อมไปห้องนอนแยกของเด็กๆ
มีขนาดกะทัดรัด มีเตียงสองชั้นสำหรับเด็กความยาวประมาณ 160 ซม.
มี TV และมีทางเชื่อมออกไปสวนเล็กๆด้านหน้าอีกที
ส่วนห้องน้ำจะเหมือนกันหมดทุกโซน ทุกประเภทห้องพักครับ
ทำเลที่ตั้งของ So Sofitel หัวหิน อยู่ติดชายหาด
ในบริเวณด้านหน้าริมชายหาดจะมีที่นั่งให้พักผ่อนหย่อนใจ
ไม่ว่าจะเป็น Day Bed , Bean Bag หรือ เปล
ลมเย็นๆ ทำให้เผลอหลับได้ไม่รู้ตัว ^^
สำหรับผู้ที่ชอบโยคะ ทางโรงแรมก็จัดให้มีคลาสโยคะริมชายหาดให้บริการฟรีในทุกๆ เช้าด้วย
มาในส่วนของห้องอาหารกันบ้าง ห้องอาหารที่นี่มีทั้งหมด 3 แห่ง ได้แก่
White Oven , Beach Society และ Hi-So Bar
ห้องอาหารหลักของ So Sofitel หัวหิน มีชื่อว่า
White Oven
จุดเด่นอยู่ที่เตาอบสีขาวที่ตั้งอยู่กลางห้อง ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในห้องอาหารที่อยู่ใต้ท้องเรือขนาดใหญ่
ห้องอาหารนี้จะเสิร์ฟอาหารไทยรูปแบบใหม่ที่เน้นความสดใหม่ของวัตถุดิบที่หาได้จากในพื้นที่
ทั้งจากสวนสมุนไพรและจากทะเล บนความงามของเทคนิคการทำอาหารชั้นสูง
ซึ่งเปิดให้บริการตั้งแต่ 6:30-23:00 น.
มีทั้งโซนด้านนอกและโซนด้านใน ใครชอบมุมไหนเลือกนั่งได้เต็มที่เลยครับ
ในส่วนของอาหารเช้าจะเปิดให้บริการเวลา 6:30-10:30 น.
สำหรับอาหารเช้าจะเป็นแนว International Buffet
มีทั้งสลัด Cold Cut ขนมปังต่างๆ ไส้กรอก อาหารไทย อาหารจีน ทั้งติ่มซำ ขนมจีบ โจ๊ก พิซซ่า
และเครื่องดื่มต่างๆ ให้เลือกรับประทานกันได้อย่างจุใจ
สำหรับเมนูไข่ทั้ง Egg Benedict , Omelette ฯลฯ สามารถสั่งที่เชฟได้ตลอด
ตบท้ายเบาๆด้วยขนมหวาน และไอศกรีม
ซึ่งจัดอยู่โซนตรงกลางห้องอาหาร หน้าตาน่าทานมากครับ ^^
ทุกวันเวลา 19.00 น. เป็นต้นไปจะมีภาพยนตร์ฉายที่ Galerie
สามารถดูได้จากด้านหน้าห้องอาหาร White Oven นี้ว่าในแต่ละวันฉายเรื่องอะไร
สำหรับมื้ออื่น ที่ห้องอาหารนี้จะเป็น A la carte ให้บริการอาหารกลางวัน ตั้งแต่ 11:00-18:00 น.
และอาหารค่ำ เวลา18:00-22:30 น.
โดยเมนูอาหารที่แนะนำ ได้แก่
หอยเชลล์เมี่ยงคำ , ยำปูนิ่ม , ลาบหมูทอด , ผัดไทยกุ้ง และไข่เจียวหมูสับ
ทุกเมนูจัดหน้าตามาดีงามมากๆ และรสชาติก็อร่อยถูกปากมากด้วย
ในส่วนของ ของหวาน ขอแนะนำ ทับทิมกรอบ
และพานาคอตต้า
เครื่องดื่มลองเป็น ลิ้นจี่สด มะนาว โซดา หรือมะพร้าวลูกโตๆชื่นใจสุดๆ
สำหรับสมาชิก Accor Plus สามารถใช้สิทธิ์ลด 50% ที่ห้องอาหารต่างๆ
เมื่อมาทาน 2 ท่าน ถือว่าคุ้มมากทีเดียว ^^
Beach Society
บีชคลับและห้องอาหารอีกหนึ่งที่ ที่ตั้งอยู่ริมชายหาดที่เต็มไปด้วยความแปลกใหม่
ให้ความรู้สึกสนุกสนาน เป็นอาหารแนว Western ที่เหมาะสำหรับรับประทานริมชายหาด
ห้องอาหาร Beach Society เปิดให้บริการตั้งแต่ 11:00-22:00 น.
บริการอาหารกลางวันตั้งแต่ 11:00-15:00 น. และอาหารค่ำเวลา 18:00-22:00 น.
สำหรับใครที่อยากจิบเครื่องดื่ม ชมวิวทะเลชิวๆ ไม่ควรพลาดกับช่วง Happy Hour
เวลา 16:00-18:00 น. ที่สามารถสั่งเครื่องดื่มได้ในราคา 1 แถม 1
มีทั้งอาหารทะเลสดใหม่ย่างบนเตา BBQ หอมกรุ่น เมนูที่แนะนำ ได้แก่
ทาร์ทาร์ปลาทูน่าสลัดกับต้นหอมซอยในซอสพอนสึและขิง , พิซซ่ากุ้งและมันฝรั่งในซอสมะเขือเทศโรเซ่ ,
มันฝรั่งทอดราดซอสเห็ดทรัฟเฟิล และ พะแนงแซลมอน ซึ่งเป็น Chef’s Signature Dish
และจานสุดท้ายซึ่งเป็นไฮไลท์ของมื้อนี้ จะมีเสิร์ฟเฉพาะวันศุกร์และเสาร์เท่านั้น
ทางโรงแรมแอบกระซิบมาว่าอาหารจานนี้พิเศษสุดๆ เนื่องจากวัตถุดิบนำมาจากสะพานปลา สดใหม่มาก
โดยทางโรงแรมสต็อกวัตถุดิบในปริมาณที่ไม่มากนัก ทำให้สามารถเสิร์ฟเมนูนี้ได้เพียงสัปดาห์ละ 6-7 จานเท่านั้น
เซ็ต Seafood Platter BBQ มีทั้งปูม้าเผา ปลาหมึกย่าง กุ้งเผา และหอยตลับผัดเนย มาพร้อมเครื่องดื่มอีก 2 แก้ว
ในราคา 1,500 บาท (Net) หากเทียบกับปริมาณและความสดของอาหารแล้ว
ราคานี้ไม่แพงมาก และขอบอกว่าปูม้าเผาที่นี่เนื้อหวานฉ่ำ ทานเพลินเลยครับ
ของหวานของที่นี่ก็พลาดไม่ได้เลย ทั้ง คุ้กกี้ลาวาเสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวนิลา ที่ขอแนะนำให้ทานตอนร้อนๆ
เพราะคุ้กกี้อุ่นๆ กับไอศกรีมจะเข้ากันได้อย่างลงตัว แต่หากทิ้งไว้นาน คุ้กกี้จะเริ่มแข็งตัวและหวานมากขึ้น
อีกหนึ่งเมนูที่น่าลิ้มลองคือ ไอศกรีมชอคโกแลตพร้อมบราวนี่ ที่หวานนุ่มละมุนมากๆ
นอกจากนี้ บนชั้นดาดฟ้า ยังมีอีกหนึ่งห้องอาหารที่เป็นบาร์เก๋ๆ
Hi-So Bar
ที่ให้บรรยากาศเกินบรรยาย ด้วยทัศนียภาพอันงดงามของทะเลและรีสอร์ท
จึงเป็นมุมที่เหมาะสำหรับปาร์ตี้กับผองเพื่อน โดยเปิดให้บริการในช่วงเวลา 17:00-24:00 น.
สำหรับคืนวันเสาร์แรกของเดือน จะมี SO Beach Party ในช่วงเวลา 18:00-22:00 น.
ไว้ให้บริการแขกที่มาพัก โดยคนนอกก็สามารถเข้าร่วมได้ โดยเสียแค่ค่าเครื่องดื่มเท่านั้น
สิ่งอำนวยความสะดวกหรือ Facilities อื่นๆของโรงแรมที่นอกจากนั่งเล่นริมชายหาด
ทานอาหารอร่อยๆ ก็ยังมีให้เลือกทำอีกมากมาย ได้แก่
Galerie
อีกด้านหนึ่งของสระว่ายน้ำซึ่งอยู่ตรงข้ามสปา เป็นที่ตั้งของ Galerie
ที่จัดแสดงผลงานศิลปะทั้งของศิลปินชาวไทยและชาวต่างประเทศที่น่าสนใจสลับสับเปลี่ยนกันไป
ซึ่งหากใครสนใจผลงานศิลปะนั้น ก็สามารถซื้อกลับไปประดับที่บ้านได้ด้วย
และในช่วง 19.00 น. ของทุกวันจะเป็นช่วงของ Movie Night ที่มีภาพยนต์หมุนเวียนมาให้ชมกัน
นอกจากนี้ในห้อง Galerie ยังมีเครื่อง Play Station 4 ให้ได้เล่นเกมส์แข่งกับคนที่มาพักด้วย
ไม่ว่าจะเป็นเกมส์แข่งรถหรือฟุตบอล ก็ให้ความเพลิดเพลินได้เป็นอย่างดี
สำหรับสาย Healthy ที่ชอบออกกำลังกาย ทางโรงแรมก็มี
So Fit
ไว้ให้บริการ ซึ่งมีอุปกรณ์ล้ำสมัย พร้อมด้วยฟรีเวทหลากหลายขนาด
ให้สามารถออกกำลังกายได้อย่างอิสระตลอด 24 ชั่วโมง
ผ่านกิจกรรมหนักเบามาแล้ว มาผ่อนคลายกันดีกว่ากับสปา
So Spa
สปาที่ให้คุณพักผ่อนในบรรยากาศเงียบสงบแสนผ่อนคลาย มีโซนนั่งเล่นที่อบอุ่น
และเป็นมิตรคอยต้อนรับอยู่เบื้องหน้า เปิดให้บริการทุกวัน ระหว่างเวลา 9:00-21:00 น.
โดยก่อนเริ่มทำทรีทเมนต์ ทางสปาจะเสิร์ฟ Blooming Tea ซึ่งเป็นชาดอกไม้จากประเทศจีน
ต่อมาก็จะให้เลือกเพลงที่จะฟังในห้องซึ่งมีทั้งแบบ Organic , Classic , Ethnic , Exhilarating
และ Rejuvenating อีกทั้งให้เราเลือกน้ำหนักมือของ Therapist ได้ว่า
ต้องการนวดเบา ปานกลางหรือหนัก เพื่อให้ลูกค้า
ที่มาใช้บริการนี้รู้สึกประทับใจตั้งแต่เข้ามาจนกลับออกไปกันเลย ^^
โซนทรีทเม้นต์ที่นี่มีทั้งหมด 5 ห้อง ได้แก่ ห้องนวดไทย 1 ห้อง
ห้องทรีทเมนต์เดี่ยว 2 ห้อง และห้องทรีทเมนต์คู่ 2 ห้อง
โปรแกรมที่ได้ทดลองทำคือ Indian Head Massage การทำทรีทเมนต์นี้
เริ่มต้นจาก Therapist จะทำการนวดบริเวณหลัง ไหล่และคอ เพื่อให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย
โดยใช้น้ำมันมะพร้าว 100% ไม่ต้องกังวลเรื่องผิวแพ้ง่าย หลังจากนั้นก็จะเริ่มนวดศีรษะ
โดยการลงน้ำมันมะพร้าวและทำการนวดศีรษะไล่ไปทีละจุด เพื่อลดความตึงเครียด บำรุงเส้นผม
พร้อมช่วยลดอาการปวดศีรษะไปพร้อมๆ กัน ทรีทเมนต์นี้ใช้เวลาเพียง 45 นาทีเท่านั้น
เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนทำงานที่ต้องการการพักผ่อนอย่างแท้จริง
ไฮไลท์ของที่นี่คือห้อง SO Cocoon ให้ความรู้สึกผ่อนคลายหลังการทำทรีทเมนต์
ภายใต้แสงดาวระยิบระยับให้ความรู้สึกเหมือนดั่งหนอนผีเสื้อที่อยู่ในดักแด้
บ่มเพาะความงามและรอวันที่สยายปีกออกไปเป็นผีเสื้อที่สวยงาม
ซึ่งสอดคล้องกับสัญลักษณ์ประจำโรงแรมที่เป็นรูปผีเสื้อด้วย
พร้อมกับเครื่องดื่มอุ่นๆที่ช่วยในการไหลเวียนเลือดได้ดีทีเดียว
อีกหนึ่งกิจกรรมที่เป็นที่นิยมคือ ว่ายน้ำในสระขนาดใหญ่ ซึ่งสระว่ายน้ำที่นี่มี 2 สระ คือ
SO Pool
เป็นสระสำหรับครอบครัวอยู่บริเวณชายหาดด้านหน้า พร้อมด้วยเตียงอาบแดด
สระนี้เด็กๆ สามารถลงเล่นได้ เปิดบริการ 6:00-21:00 น. เป็นสระลึก 1.2 เมตร
และโซนสำหรับเด็ก ลึก 0.4 เมตร ที่สระนี้มีห่วงยางไว้ให้บริการฟรีด้วยนะ
พื้นสระจะเป็นสีดำและมีลูกเล่นแวบวับสะท้อนกับแสงแดด
อีกสระหนึ่ง เป็นสระสำหรับผู้ใหญ่ คือ
Solarium Pool
สระนี้ไม่อนุญาตให้เด็กลงเล่น เพราะเน้นความเงียบสงบ เนื่องจากติดกับ SO Spa
สระนี้เป็นเสมือน Studio ถ่ายภาพที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ตัวสระสีฟ้าสดใส
สะท้อนแสงแดด ตั้งอยู่ใจกลางรีสอร์ท เปิดบริการ 6:00-21:00 น.
หากใครเอาห่วงยางมาลอยถ่ายรูป ทางโรงแรมก็ใจดีมีบริการสูบลมและเอาลมออกให้ด้วย
สระว่ายน้ำที่นี่เป็นระบบคลอรีนทั้งหมดทั้ง 2 สระ ครับ
ทุกวันอาทิตย์ เวลา 12:00-16:00 น. ทางห้องอาหาร Beach Society มีบริการ
Sunday Brunch
ซึ่งเราสามารถสั่งอาหารจากในเมนูที่มีให้เลือกอย่างมากมายได้ไม่อั้น
ทั้งของคาวและของหวานอีกทั้งยังรวมเครื่องดื่มไม่ว่าจะเป็นเบียร์ ไวน์ หรือ Soft Drink
ได้อีก 1 แก้ว ในราคา 990 บาท แต่หากอยากได้เครื่องดื่มแบบไม่อั้น
ก็เพิ่มอีก 700 บาท สามารถฟินได้เต็มที่แบบไม่จำกัดเวลา
ว่าแล้วก็มาดูเมนูอาหารกัน เริ่มต้นจาก The Sunday Brunch Club Welcome Platter
ตามมาด้วย Fresh Start ที่มีให้เลือกทั้ง Roasted Hua Hin Clam ,
Seafood Mango Salad และซีซ่าร์สลัดเสิร์ฟพร้อมไก่หรือกุ้งลายเสือย่าง
ต่อมาเป็น Our Favorite ซึ่งมีทั้ง ออร์โซ่พาสต้าในซอสต้มข่า ,
ปลาหมึกชุบแป้งทอดกับซอสซิตรัสมาโย และ
Not to be Missed ซึ่งมีทั้ง Hot Bucket , ชีสเบอร์เกอร์เนื้อแองกัสจากออสเตรเลีย ,
เบอร์เกอร์แซลมอนพร้อมผักโขม , พิซซ่าลาบทะเล , เส้นดำผัดกับหอยตลับ และ
Pasta of the Day ซึ่งวันนี้เป็นพาสต้าพริกแห้งโรยด้วยเบคอนกรอบอีกที
ทั้งยังมี Beach Sides ที่สามารถเลือกได้ทั้ง มันฝรั่งทอดแบบเกลียว ,
มันสามสีอบกับซอสมุนไพรไอโอลี่ และสลัดผัดโครงการหลวง
ปิดท้ายด้วยของหวานอร่อยๆอย่าง เค้กมะพร้าวอ่อน , Mango Panna Cotta
และผลไม้ตามฤดูกาล ^^
เป็น Sunday Brunch มื้อที่ฟินและอิ่มอร่อย ท่ามกลางลมเย็นริมหาด
กับบรรยากาศสุดชิวที่มี DJ คอยเปิดแผ่นเพลงเพราะๆให้ฟัง
ราวกับได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ แบบไม่จำกัดเวลา
เวลาของวันหยุดพักผ่อนช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หรืออาจเป็นเพราะได้ฝากเวลาไว้ที่ คุณสุขสบาย ทำให้ไม่รู้เลยว่าเวลาแห่งความสุข
ผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ร่างกายก็ได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่จนหายงอแง
จนได้เวลาต้องกลับไปปฏิบัติภารกิจกันต่อ ผมขอตัวไปเอาเวลาคืนจากคุณสุขสบาย
และออกจากโลกแห่งจินตนาการ เพื่อกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง
หากมีโอกาสผมจะแวะมาฝากเวลาไว้ที่นี่ ที่…“SO Sofitel หัวหิน” อีกแน่ครับ
ขอขอบคุณเลนส์จากบริษัท Tamron เป็นรุ่น
Tamron 24-70mm. F2.8 Di VC USD G2 Model A032
ซึ่งทำให้ภาพสีสันสวยงาม คมชัด แถมกันสั่นในตัว
รูปทั้งหมดล้วนมาจากเลนส์รุ่นนี้เลยครับ
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^