เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วพบกับทะเลใสสีสวย ตัดกับฟ้าสีครามอยู่เบื้องหน้า
เป็นผม ผมจะขยี้ตาแล้วหยิกตัวเองพร้อมกับถามตัวเองว่า นี่ฝันไปหรือเปล่า?
คงจะมีความสุขไม่น้อยถ้าได้นอนตื่นสายๆ
ใช้ชีวิตและเวลาให้เต็มที่ไปกับการพักผ่อน
ว่างก็กระโดดเล่นน้ำจากหน้าห้อง ว่างก็ปั่นจักรยานชมวิวอันร่มรื่น
ว่างก็นั่งอ่านหนังสือเพลินๆตรงระเบียงชานห้อง
แล้วถ้าทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นแค่ความฝัน แต่คือความจริงที่กำลังสัมผัส
ผมคงจะถามใจผมเองว่าตอนนี้ใจผมเป็นสีอะไรระหว่าง สีฟ้า กับ สีแดง
Maldives is Blue…ดุสิตธานี มัลดีฟส์
การเดินทางมาที่ดุสิตธานี มัลดีฟส์ นี้สามารถเดินทางจากสนามบินมาเล่ได้ 2 วิธี
1. ทางเครื่องบินทะเล (Seaplane) ใช้เวลาประมาณ 35 นาที
2. ทางเครื่องบินภายในประเทศ (Domestic Flight) ใช้เวลา 20 นาที แล้วต่อด้วยเรือเร็วอีก 10 นาที
เห็นหลายคนเลือกทางเลือกแรก คราวนี้ผมมาเสนอทางเลือกที่ 2 ให้เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งกันครับ
สัมผัสเล้าจน์ของสายการบิน Maldivian ซึ่งเป็น Domestic Flight
มีน้ำ ขนม รองรับ และภายในเล้าจน์มีที่นั่งค่อนข้างมาก
สายการบินประกาศเรียกขึ้นเครื่องแล้วววววว
สภาพบนเครื่องขึ้นมาถึงกับตกใจ เพราะแถวหลังสุดเป็นที่นั่งเรียง 5 ที่
ทั้งลำมีที่นั่งประมาณ 40 ที่นั่งเท่านั้นเอง ใหญ่กว่า Seaplane นิดนึง ><
เรื่องของวิวริมหน้าต่างสวยไม่แพ้กับการนั่ง Seaplane เผลอๆอาจสวยกว่าด้วยซ้ำ
เพราะกระจกใสกว่าเห็น Atoll ได้ชัดเจน #กดชัตเตอร์รัวๆ
เพียง 20 นาทีก็ถึงสนามบินภายในประเทศ ธาราวานดู (Dharavandhoo)
ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของ Baa Atoll อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลวงมาเล่
รับกระเป๋าเรียบร้อยก็มาต่อ speed boat เพื่อไปยังดุสิตธานีกันเลยครับ
ดุสิตธานี มัลดีฟส์ ตั้งอยู่บนเกาะ Mudhdhoo ในพื้นที่ Baa Atoll
ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับการประกาศจากองค์กรยูเนสโกให้เป็นเขตสงวนชีวมณฑลแห่งแรกของโลกด้วยครับ
โรงแรมดุสิตธานี มัลดีฟส์ ผสมผสานการดูแลเอาใจใส่ด้วยความนุ่มนวลอย่างไทย
กับทิวทัศน์อันงดงามของมัลดีฟส์ เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
ล้อมรอบด้วยหาดทรายขาว ทะเลสีฟ้าคราม และทัศนียภาพ 360 องศาของแนวปะการังที่โอบล้อมเกาะ
บริเวณ lobby ของดุสิตธานี มี 2 แห่ง คือบริเวณท่าเรือที่ขึ้นเรือ speed boat มา
และด้านในของเกาะ ซึ่งจะมีลักษณะโปร่งโล่ง รับลมเย็นสบาย
ห้องพักที่ดุสิตธานี มัลดีฟส์ มีทั้งหมด 8 แบบ แต่ในคราวนี้ผมจะพาไปชม 2 แบบ
แบบที่ยอดฮิตที่สุดอย่าง Ocean Villa with Pool และแบบที่ผมเข้าพัก Beach Villa
ปล่อยให้วิวของคลื่นกระทบฝั่งในยามเช้าทักทายถึงเตียงอันแสนสบาย
ละทิ้งทุกสิ่งแล้วใช้วันอันสุขสันต์ในที่ส่วนตัว หรือเพียงแค่ผ่อนคลายภายใต้แสงอาทิตย์
ด้วยความกว้างของตัวห้องที่มีขนาด 122 ตารางเมตร มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
มีการออกแบบที่ลงตัว ทุกอย่างล้วนเป็นรางวัลแห่งการพักผ่อนอย่างแท้จริง
ห้องน้ำอันโดดเด่นของห้องพักประเภท Beach Villa เป็นแบบ open air มีอ่างอาบน้ำ
และฝักบัวกลางแจ้ง และยังรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัวถึงแม้ห้องน้ำเป็นแบบ open air ก็ตาม
ทุกหลังจะมีจักรยานหลังละ 2 คัน สำหรับใช้ภายในรีสอร์ท
เผื่อใครอยากจะชมธรรมชาติ ชมความร่มรื่น สามารถเลือกจักรยานเป็นพาหนะ
ปั่นเที่ยวรอบๆตัวโรงแรมได้โดยไม่ต้องเรียกรถบักกี้เลยครับ ^^
และถ้าใครอยากจะนอนชมทะเลชิวๆ เพียงเดินออกมาที่หน้าบ้านไม่กี่ก้าว
คุณก็จะได้พบกับความสวยงามของท้องทะเลสีฟ้าคราม และความสุขที่รอคุณอยู่เบื้องหน้า
เพียงแค่ห้องพักแบบแรกที่ได้เห็นก็ตื่นตาตื่นใจแล้ว ที่ดุสิตธานี มัลดีฟส์
ยังมีทีเด็ดอีกหลายอย่างให้ได้ค้นหา แต่ก่อนจะไปดูส่วนอื่น
ผมขอพาไปชมห้องอาหารของที่นี่กันบ้าง
“The Market” แค่ชื่อก็บ่งบอกแล้วว่าที่นี่เป็นตลาด แต่เป็นตลาดที่อุดมไปด้วยของอร่อย
เปิด 2 ช่วงเวลา มื้อเช้า 7.00 – 10.30 น. ส่วนมื้อค่ำเปิดเวลา 18.30 – 22.00 น.
มื้อค่ำเป็นบุฟเฟต์แสนสนุก เพลิดเพลินกับอาหารตามสั่งแสนอร่อยในบรรยากาศแบบมัลดีฟส์
มีทั้งโซนเป็นห้องส่วนตัวมีแอร์ และโซนรับลมเย็นๆสบายไม่เหนียวตัว
ที่คุณจะได้เพลิดเพลินกับอาหารหลากหลายมากมาย
ผมแนะนำว่าถ้ามาพักที่นี่ควรเลือกแบบ Full Board ไปเลยครับ คุ้มแน่นอน ^^
เริ่มต้นวันใหม่ด้วยหลากเมนูอาหารจากทั่วโลกบุฟเฟ่ต์มื้อเช้าแบบบริการตนเอง
มีอาหารทุกอย่างจากโลกตะวันออกและโลกตะวันตก และผลไม้สดหลากหลายตามฤดูกาล
รวมทั้งของหวานและขนมอบมากมาย
“Sala Bar” ความโรแมนติกกลับมามีชีวิตชีวาที่นี่อีกครั้ง บาร์ที่สามารถชมพระอาทิตย์อัสดง
พร้อมกับลิ้มรสทาปาสแบบเอเชีย หรือสังสรรค์กับเพื่อนๆแล้วชูแก้วดื่มค็อกเทลแบบไทยสูตรเฉพาะ
และชมวิวมุมกว้างของมหาสมุทรอินเดียที่อยู่เบื้องหน้าได้อย่างงดงาม
เปิดตั้งแต่ 17.00 น. ถึงดึกเลยครับ
“Sand Bar” ที่ที่เหมาะสำหรับการจิบเครื่องดื่มกลางแจ้งใต้แสงอาทิตย์
หรือเพลิดเพลินไปกับของว่างขณะ enjoy กับวิวทะเล
แซนด์บาร์อยู่ข้างสระว่ายน้ำ เป็นสระที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของมัลดีฟส์
พื้นที่โซนนี้มีทั้งเป็นพื้นทราย และพื้นไม้ ให้บรรยากาศเหมือนพักผ่อนอยู่ริมชายหาด
เปิดตั้งแต่ 10.00 น. ถึงดึก
สามารถสั่งเครื่องดื่มเรียกน้ำย่อยยามอาทิตย์ตกดินก่อนรับประทานมื้อค่ำ
หรือสนุกสนานกับเสียงดนตรีบรรเลงสดได้จากที่นี่ อีกทั้งใกล้ๆยังเป็นอีกหนึ่งห้องอาหาร
ที่ Lover Seafood ห้ามพลาดเลยกับ “Sea Grill” ที่เปิดตั้งแต่ 12.00 – 22.00 น.
เป็นอีกมุมหนึ่งที่ห้ามพลาดเมื่อได้มาเยือนที่นี่ ทั้งวิวสระน้ำจรดกับทะเลสวยๆ
ทั้งวิวพระอาทิตย์ตกที่มีฉากหน้าเป็น Water Villa ตั้งเรียงรายสวยงาม
นอกจากความร่มรื่นที่มองเห็นได้ทั่วไปจากโรงแรมแห่งนี้แล้ว
ที่นี่ยังมีสปาที่บริการนวดผ่อนคลายโดยคนไทย
“Devarana Spa” หรือ เทวารัณย์สปา เป็นสปาที่ออกแบบให้มีกลิ่นอายความเป็นไทย
เปิดทำการ 10.00 – 20.00 น. ทุกวัน
มีบริการ Deluxe ทรีทเมนต์ , บริการทำเล็บ , สระว่ายน้ำกลางแจ้งส่วนตัว ,
บริการอบไอน้ำและบริการอบซาวน่า สำหรับผู้ที่มาใช้บริการที่สปาโดยเฉพาะ
และแล้วก็มาถึงไฮไลท์ของที่นี่ Ocean Villa with Pool
ถ้าพร้อมแล้วขอเชิญรับชมสวรรค์กลางน้ำกับที่พักสุดหรูของที่นี่กันครับ ^^
สุดทางเดินบนสะพานไม้ที่ทอดยาวเหนือท้องน้ำสีฟ้าคราม คือ โอเชี่ยนวิลล่า (Ocean Villa)
บ้านพักกลางน้ำหลังคามุงจาก มีมหาสมุทรอินเดียเป็นฉากหลัง
เรือนแห่งความฝันของเกาะเมืองร้อนแห่งนี้ มีทั้งอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ พื้นที่พักผ่อนกลางแจ้ง
และสามารถลงไปสัมผัสแนวปะการังที่อุดมสมบูรณ์ได้จากระเบียงส่วนตัวทุกหลัง
บนพื้นที่ความกว้างของห้องขนาด 180 ตารางเมตร
โอเชียนวิลล่า ทุกหลังตกแต่งอย่างหรูหราและแฝงกลิ่นอายความเป็นไทย
ทุกบานประตูและหน้าต่างติดกระจกทั้งหลัง เพื่อให้เห็นทัศนียภาพอันงดงาม
เพิ่มความหรูหราด้วยไวน์ในตู้แช่พร้อมด้วยเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์และเบียร์ในมินิบาร์
โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ปล่อยกายใจให้ล่องลอย ขณะแช่ในอ่างอาบน้ำที่มีฟองสบู่ลอยฟ่อง
หรือตามใจตัวเองด้วยการว่ายน้ำเล่นในสระส่วนตัวซึ่งลอยอยู่เหนือผืนน้ำใสราวกระจก
ถ้าพร้อมแล้วหยิบเสื้อชูชีพแล้วลอยตัวในมหาสมุทรอินเดียกันเลยครับ ^^
จักรยาน เป็นพาหนะหลักของการมาพักผ่อนบนเกาะแห่งนี้
แล้วคุณจะได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น และคุณจะได้รับความสุขเพิ่มขึ้น ^^
ยามเช้าวิวตรงสะพานที่ข้ามไปยัง Ocean Villa
เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามมากจุดหนึ่ง
ที่พักที่นี่ตอบโจทย์ทั้งแบบคู่รัก แบบเพื่อนมาสังสรรค์
หรือแบบครอบครัวมาพักผ่อน ล้วนตอบโจทย์ทุกความต้องการทั้งสิ้น
มาดูโซนน้องหนูกันบ้างกับ “Kids Club”
ที่น้องหนูถ้าได้แวะมามีอันต้องชอบอกชอบใจแน่ๆ
เพลิดเพลินกับของเล่นเชิงทักษะ และของเล่นเด็ก
แถมยังมีบริการพี่เลี้ยงเด็กไว้คอยช่วยดูแลน้องๆหนูๆด้วยนะครับ
มาสนุกกันต่อกับกิจกรรมถัดไปที่ทางโรงแรมมอบให้เป็นพิเศษ
กับการล่องเรือยอร์ชจิบแชมเปญชมความงามรอบเกาะแห่งนี้
โดยเริ่มต้นกันที่ “Diving Center” ที่จะมีผู้เชี่ยวชาญให้ความรู้ในการเล่นน้ำ ดำน้ำ
รวมถึงการยืมอุปกรณ์ต่างๆ ต้องเริ่มจากที่นี่ล้วนทั้งสิ้น
ขอเชิญรับชมความหรูหราบนเรือยอร์ชและความสวยงามรอบเกาะแห่งนี้
เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมน่าสนใจ ที่ทางโรงแรมมีให้บริการกับนักท่องเที่ยวครับ
จะได้เห็นทัศนียภาพของบ้านพักในหลายรูปแบบทั้ง Water Villa และ Ocean Villa
ที่มีความสวยงามที่แตกต่างกัน กิจกรรมล่องเรือยอร์ชนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.
มีเสิร์ฟทั้งของหวาน และเชมเปญแบบไม่อั้นด้วยนะครับ ^^
และผมก้ได้ลองขับเรือในช่วงเวลาสั้นๆด้วย พี่กัปตันใจดีช่วยสอนช่วยไกด์ให้
เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ผมจะไม่ลืมเลย สนุกสุดๆ ^^
มาถึงมัลดีฟส์แล้วไม่ดำน้ำถือว่ามาไม่ถึง!!!
กิจกรรมส่งท้ายก่อนอำลาโรงแรมแห่งนี้ กับการชมความงามใต้ท้องทะเล
บนพื้นที่ที่ได้รับการประกาศจากองค์กรยูเนสโกให้เป็นเขตสงวนชีวมณฑลแห่งแรกของโลก
ก่อนจะเริ่มดำน้ำควรเริ่มต้นที่ Diving Center ที่ที่ให้ความรู้ถึงจุดดำน้ำสวยๆ
รวมถึงยืมอุปกรณ์ดำน้ำทั้งฟิน ทั้งหน้ากาก และเสื้อชูชีพได้จากที่นี่
ช่วงเวลาดำน้ำควรสังเกตกระแสน้ำขึ้นและน้ำลง เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงกับการชนปะการังอ่อน
และในหลายๆพื้นที่ของมัลดีฟส์ส่วนใหญ่จุดดำน้ำถ้าไกลออกไปจะเป็นเหวใต้ทะเล
ตรงบริเวณนั้นถึงแม้ว่าปะการังจะสวยมากก็ตาม แต่ก็อันตรายมากด้วยเช่นกัน
เนื่องจากกระแสน้ำค่อนข้างแรงอาจพัดให้เราออกไปไกลมากกว่าเดิมได้
ทั้งปะการัง ทั้งปลาตัวเล็กตัวน้อย ต่างว่ายมาวนเวียนอยู่รอบๆตัว
มิน่าทำไมใครๆถึงบอกว่า มัลดีฟส์ คือ สวรรค์ใต้น้ำ อย่างแท้จริง
ถ้าไม่ได้มาเห็นกับตาตัวเองอาจไม่เชื่อก็ได้ ^^
ถ้าการตัดสินใจที่จะเลือกมาพักที่นี่ มีอยู่ 2 เหตุผลหลัก คือ…
นอนในห้องพักหรูๆแสนสบายมีวิวทะเลสวยๆอยู่เบื้องหน้า
หรือดำน้ำชมปะการังอันแสนงดงามที่ได้ขึ้นทะเบียนของยูเนสโก
ผมว่าแค่ 2 เหตุผลนี้เพียงพอกับการชาร์ตแบตชีวิตให้เต็มและตอบโจทย์ความต้องการมากที่สุด
“Maldives is Blue”
ช่วงนี้โรงแรมดุสิตจากทั่วโลกมีโปรลด 50% เจ๋งๆอยู่ เพียงเข้าพักอย่างน้อย 2 คืน
เริ่มจองได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 20 มิถุนายน และเข้าพักได้ถึง 30 พฤศจิกายน เลยจ้า
โปรเด็ดแบบนี้รวมอาหารเช้าสำหรับ 2 ท่านแล้วด้วย อย่ารอช้ารีบเลยก่อนจะมาเสียใจทีหลัง
สามารถเข้าไปดูรายละเอียดและจองได้ที่นี่ -> Dusit 7-Day Mid-Year Sale 50%
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^