หลังจากทำงานเครียดมาตลอด ทั้งปิดยอดรายเดือน ทำรายงานต่างๆ ก็เริ่มรู้สึกอยากคลายเครียดในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้บ้าง ผมเลยวางแผนไปเที่ยวที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก และได้รู้มาว่ามีโรงแรมเปิดใหม่ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกับสวนน้ำนี้ด้วย จะได้พักผ่อนหรือจะได้เล่นสวนน้ำก็ไม่รู้ พอรู้สึกตัวอีกทีก็เหมือนวาร์ปมาที่โรงแรมแห่งนี้แล้ว เตรียมชุดว่ายน้ำให้พร้อม เพราะผมจะพาไปพักผ่อน พักเครียด เล่นสวนน้ำ กระชากวัย กับ…
“โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ วานา นาวา หัวหิน – Holiday Inn Vana Nava Hua Hin”
ขับรถจากกรุงเทพฯ ไปประมาณ 3 ชั่วโมง มุ่งหน้าสู่หัวหิน จะเห็น โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ วานา นาวา ตั้งตระหง่านอยู่ในบริเวณเดียวกับ สวนน้ำวานา นาวา โรงแรมดูใหม่มากกกก เพราะเพิ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2560 ทีผ่านมานี้เอง พอเลี้ยวรถเข้ามาที่หน้าโรงแรมปุ๊บ ก็จะเจอกับปลาวาฬบลูด้าท้องสีชมพูซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอ่าวไทยในละแวกนี้คอยต้อนรับเราอยู่
ถัดเข้ามาเป็นบริเวณ Lobby ซึ่งโอ่อ่า กว้างขวาง เพดานสูงให้ความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบาย เมื่อเดินเข้ามาในโรงแรม จะรู้สึกราวกับหลุดเข้ามาในหมู่บ้านชาวประมง เพราะบริเวณโรงแรมตกแต่งด้วยวัสดุต่างๆ ที่ได้แรงบันดาลใจจากท้องทะเลทั้งสิ้น อาทิ บันไดวนที่ดูแล้วเหมือนสุ่มจับปลา ฝูงปลาที่แหวกว่ายในท้องทะเลที่อยู่บริเวณกำแพง ฯลฯ
ผมรีบตรงปรี่กดลิฟต์ไปที่ชั้น 8 เพื่อไปเช็คอินที่ Reception ทันที พอขึ้นมาปุ๊บก็สะดุดตากับโคมไฟที่มีลักษณะเหมือนแห ให้ความรู้สึกของทะเลสุดๆ พนักงานทุกคนยิ้มแย้ม แจ่มใส ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี มี Welcome Drink เป็นน้ำจับเลี้ยงเย็นชื่นใจมาเสิร์ฟให้หายเหนื่อย
หลังเช็คอินเรียบร้อย ก็จะได้รับ Key Card และ RFID ซึ่งเป็นสายรัดข้อมือสำหรับใช้เข้า-ออก สวนน้ำวานา นาวา และยังใช้แทน Key Card เพื่อใช้เข้าห้องพักได้ด้วยครับ แต่ก่อนใช้เราจะต้องนำเจ้า RFID ไป Activate ที่เคาน์เตอร์ Concierge ซึ่งอยู่ข้างๆ เคาน์เตอร์ Reception ให้เรียบร้อยซะก่อน ทีนี้จะเข้า-ออกสวนน้ำกี่ครั้งก็ได้ แถมฟรีอีกด้วย ถือว่าคุ้มสุดๆ เลย ที่เด็ดกว่านั้น ขอแอบบอกว่าหากใครมาเช็คอินก่อนแต่ห้องยังไม่เรียบร้อยก็สามารถไปเล่นสวนน้ำรอได้เลยนะ ถูกใจคุณหนูๆ สุดๆ ละครับงานนี้
สวนน้ำวานา นาวา เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10:00-18:00 น. แต่พิเศษสำหรับลูกค้าที่พักที่โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ วานา นาวา หัวหิน ในวันศุกร์ และเสาร์ สามารถเล่นได้ถึง 21:00 น. เลยทีเดียว นอกจากนี้ ทางโรงแรมยังมีบริการ Shuttle Bus เพื่อไปยัง TRUE Arena, Bluport, Clock Tower, Intercontinental Hua Hin และเขาตะเกียบ เวลา 11:00, 13:00 และ 15:00 น. ทุกวัน สะดวกมากๆ ครับ ไป…รีบไปเก็บของที่ห้องกันก่อนดีกว่า ^^
ตัวโรงแรมมีทั้งหมด 27 ชั้น มีห้องพักรวม 300 ห้อง และห้องพักที่นี่มีทั้งหมด 6 แบบ
– ห้อง Vana Nava ขนาด 39 ตารางเมตร วิวภูเขา
– ห้อง Ocean View ขนาด 39 ตารางเมตร วิวทะเล
– ห้อง Ocean Suite ขนาด 68 ตารางเมตร เห็นได้ทั้งวิวภูเขาและวิวทะเล
– ห้อง Kid Suite สำหรับครอบครัว มีห้องนอนของเด็กแยกต่างหาก
– ห้อง Panoramic Suite อยู่ที่ชั้นบนสุดของโรงแรม สามารถเห็นวิวทะเลได้แบบ 180 องศา
– ห้อง Sky Suite ขนาด 128 ตารางเมตร ตั้งอยู่ชั้นบนสุดของโรงแรม มีพื้นที่สำหรับรับประทานอาหาร
ครั้งนี้ผมพัก ห้อง Ocean View การตกแต่งตั้งแต่ทางเดินหน้าห้องก็ให้บรรยากาศของทะเล้ทะเล สีสันสดใส ในบริเวณห้องเป็นโทนสีน้ำทะเล พรมและโคมไฟเป็นลายปะการัง ในแต่ละห้องจะมีภาพตกแต่งซึ่งเป็นผลงานของศิลปินท้องถิ่น
เตียงนอนมีให้เลือกทั้งแบบ Double Bed (King Size) และแบบ Twin Beds หมอนก็มีให้เลือกทั้งแบบ Soft และ Firm ผ้าปูเตียงและหมอนแบบ Soft ทำจากขนเป็ด นุ่ม นอนสบายมากๆ ครับ หลับเพลินกันเลยทีเดียว
ห้องน้ำมีขนาดใหญ่ ตกแต่งผนังด้วยกระเบื้องลายเกล็ดปลา มีประตูที่สามารถเปิดทะลุกับห้องนอนได้ ให้ความรู้สึกโปร่ง โล่ง บริเวณที่อาบน้ำก็กว้างมากๆ
มาชมห้องแบบ Ocean Suite กันครับ ห้อง Type นี้ มีขนาด 68 ตารางเมตร สามารถเห็นได้ทั้งวิวภูเขาและทะเล เมื่อเปิดเข้ามาจะเจอกับห้องรับแขก
ถัดมาเป็นห้องนอน เตียง King Size อุปกรณ์ในห้องแต่ละห้องจะเหมือนกันหมดทุก Type และยังสามารถเป็นห้อง Connected ได้อีกด้วย เพราะที่ริมของแต่ละชั้นจะมีห้องแบบ Ocean Suite และ Ocean View ที่มีประตูกั้นเพื่อกั้นเป็น Connected ได้ ให้ความเป็นส่วนตัวได้เป็นอย่างดี
มีห้องน้ำ 2 ห้อง ห้องที่อยู่ริมกระจกมีอ่างอาบน้ำ ให้นอนแช่น้ำพร้อมดูวิวกันแบบฟินๆ ด้วยครับ
ห้องอีกประเภทที่น่าสนใจและเหมาะสำหรับครอบครัว นั่นก็คือ ห้อง Kid Suite ซึ่งเป็นห้องที่แบ่งห้องนอนของผู้ใหญ่และของเด็กไว้เป็นสัดส่วน ห้องของผู้ใหญ่จะเป็นเตียง King Size
ส่วนห้องเด็กจะเป็น Bunk Bed พร้อมโต๊ะนั่งเล่น การตกแต่งก็น่ารัก
ห้องน้ำกว้างขวาง มีอ่างอาบน้ำและของใช้ของเด็ก ทั้งสบู่ แชมพู โลชั่นเตรียมไว้ให้อย่างครบครัน ด้านนอกมี Day Bed เล็กๆ ไว้นั่งดูวิว เห็นแล้วน่าพักสุดๆ เลยครับ
มาดู Facility อื่นๆ ของโรงแรมกันบ้างนะครับ เริ่มจากชั้นบนสุดซึ่งนับว่าเป็นไฮไลท์เด็ดของที่นี่กันเลย นั่นก็คือ Vana Nava Sky ซึ่งเป็นทั้ง Bar & Restaurant และ Observation Deck
ที่เด็ดสุดก็คือเป็นพื้นกระจกทำให้มองเห็นทะลุลงมาถึงชั้นล่าง แรกๆ อาจจะกล้าๆ กลัวๆ แต่พอเดินไปได้สักพัก ก็มัวแต่ตกตะลึงกับวิวสวยๆ จนลืมกลัวไปชั่วขณะเลยครับ ^^
สถานที่ตั้งของ Holiday Inn นับว่าเป็นทำเลที่ดีต่อการชมวิวมุมสูงเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าตอนเช้าจะขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นตรงบริเวณสระน้ำ ตกเย็นมาชมพระอาทิตย์ตกจากบาร์ชั้นนี้ และยังมองเห็นได้ทั้งทิวเขาไกลๆ และสวนน้ำวานา นาวา อีกด้วย ทำให้ที่นี่ถือเป็นจุดชมวิวมุมสูงของหัวหินที่ควรมาเช็คอินให้ได้สักครั้งเมื่อผ่านมาแถวนี้เลยครับ
เดินลงมาหนึ่งชั้น ที่ชั้น 26 เป็น Infinity Pool ซึ่งแยกสระเด็กและสระผู้ใหญ่ เป็นสระแบบเปิดโล่ง เห็นวิวพาโนราม่าทั้งทะเลและภูเขา
เป็นมุมที่ดูวิวพระอาทิตย์ขึ้นได้สวยงามมาก
ส่วนตอนกลางคืนทางโรงแรมจะเปิดไฟ ก็จะได้ความสวยงามอีกแบบ
โซนของเด็กมีสไลเดอร์เล็กๆ ให้เล่นด้วยนะ อย่าอิจฉาเด็กๆไป เพราะผู้ใหญ่ไว้เล่นที่สวนน้ำแทนแล้วกัน
ถัดลงมาที่ชั้น 8 ซึ่งเป็นชั้น Lobby นอกจากจะมีเคาน์เตอร์ Reception แล้ว ยังมี Thalay Bar ไว้บริการเครื่องดื่มต่างๆ ให้มานั่งพักผ่อนชิวๆ ได้
Plamong Restaurant ที่ชั้น 7 เป็นห้องอาหารหลักและห้องอาหารเดียวที่ให้บริการทั้งอาหารเช้า กลางวัน และเย็นตั้งแต่เวลา 6:30 น. จนถึง 22:30 น.
มองหาทำเลที่นั่งดีๆก็จะได้วิวฟินๆที่มองเห็นเครื่องเล่นสวนน้ำวานา นาวา อีกด้วยครับ
ลงมาที่ชั้น 6 จะมีทั้ง Fitness Center ซึ่งมีพื้นที่กว่า 200 ตารางเมตร มุมกว้างมาก เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง มี Trainer คอยให้คำปรึกษา มีห้อง Sauna แยกชาย หญิง พร้อม Locker ไว้ให้บริการด้วยครับ
อีกฝั่งหนึ่งเป็น Tea Tree Spa ซึ่งลูกค้าที่จะใช้บริการสปา จะต้องทำ Spa Consultation ก่อน เพื่อให้ได้รับบริการที่เหมาะสม ผลิตภัณฑ์ที่ทางสปาใช้จะเป็น Local Products ที่มีมะพร้าวเป็นส่วนประกอบ
ด้านในมีทั้งโซนทำเล็บ ห้องนวดน้ำมัน ห้องนวดไทย และอ่าง Jacuzzi ไว้บริการ
มาต่อที่ชั้น 5 ซึ่งถือได้ว่าเป็นสวรรค์ของเด็กๆ เลย เพราะมี Bryde’s Kids Club ขนาดใหญ่ มีของเล่นมากมาย ทั้งบ้านบอล งานศิลปะ กิจกรรม Outdoor อาทิ เป่าลูกโป่ง โยคะ ฯลฯ แถมพี่ๆ ที่นี่ยังใจดีมากๆ ด้วย ที่สำคัญไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมด้วยนะครับ รับรองว่าเด็กที่มาที่ชั้นนี้ ยากที่จะออกไปง่ายๆ เป็นแน่ เปิดให้บริการเวลา 9:00 – 18:00 น.
ถัดลงมาที่ชั้น M (ชั้น 2) มี Meeting Rooms ไว้ให้บริการถึง 5 ห้อง สามารถรองรับได้ห้องละประมาณ 150 คน สามารถจัดห้องได้หลายแบบ ตามความต้องการ ทั้งแบบโต๊ะกลม โต๊ะ Lecture ฯลฯ อีกทั้งยังมี Boardroom ไว้ให้บริการอีก 1 ห้อง
ดู Facility ของโรงแรมกันมาหมดทุกมุมแล้ว มาดูเรื่องอาหาร ที่ห้องอาหาร Plamong กันบ้าง สำหรับ อาหารเช้า จะเป็นแบบ International Buffet ไลน์อาหารเยอะมากๆ มีให้เลือกทุกแนวทั้งจีน ไทย ฝรั่ง
มีให้เลือกทั้งสลัด ผักสด Cold Cut ไข่ดาว Omelette เบคอน ไส้กรอก ขนมปังต่างๆ ครัวซอง ข้าวสวย ข้าวต้ม ข้าวผัด กับข้าวไทย ติ่มซำ ขนมจีบ ฮะเก๋า ซาลาเปา วาฟเฟิล แพนเค้ก
เครื่องดื่มก็มีให้เลือกมากมาย ทั้งน้ำผลไม้ ชาไทย ชาเขียว ไมโล กาแฟ อีกทั้งยังมีไอศกรีมมะพร้าว พิสตาชิโอ มะม่วง มะนาว พร้อมเครื่องต่างๆ ด้วย ตุนพลังงานกันได้อย่างเต็มที่ ก่อนที่จะไปเล่นสวนน้ำกันครับ
ส่วนอาหารกลางวันและอาหารเย็น เป็นแบบ A la carte มีให้เลือกทั้งอาหารไทยและอาหารเทศ สำหรับมื้อกลางวัน ผมลองสั่งเป็นอาหารไทย – จีน ดู เริ่มต้นจานแรกกันที่ออเดิร์ฟ เป็นข้าวเกรียบกุ้งน้ำพริกเผา ทานเรียกน้ำย่อยกันเพลินๆ ต่อด้วยสลัดมะม่วงสดและปลาแซลมอนย่าง ตกแต่งด้วยเม็ดแมคคาเดเมีย และ Spicy Tuna Tartar ลาบปลาทูน่าสไตล์ไทย พร้อมเครื่องเคียงอย่างแครอทและแตงกวาสด
มากันที่จานหลักจานแรก อย่าง Crispy Shredded Duck เป็ดกรอบบนแป้งปอเปี๊ยะสด ราดด้วยซอสฮอยซิน เนื้อเป็ดกรอบนุ่ม แป้งบาง ละมุนลิ้น ห่อมาพอดีคำ ทานง่าย
จานถัดมานับว่าเด็ดทีเดียวครับ ชื่อว่า Our Secret Recipe เป็นยำส้มโอสูตรลับเฉพาะ เสิร์ฟกับกุ้งและปูนิ่มทอด จานนี้ขอ Recommend นะครับ อร่อย ทานเพลิน มีเม็ดขนุนที่หาทานได้ยากด้วย
จานนี้เห็นปุ๊บคงรู้ทันทีว่าคือผัดไทกุ้งสด ที่ตกแต่งมาอย่างสวยงาม รสชาติดีทีเดียว กุ้งตัวใหญ่ๆ สดๆ ตบท้ายด้วยแกงปูใบชะพลูกับเส้นหมี่ รสชาติกลางๆ ไม่เผ็ดมาก มาพร้อมเนื้อปูบึ้มๆ และถั่วทอด เข้ากั้นเข้ากัน
เครื่องดื่มที่เหมาะกับอากาศร้อนๆ เห็นจะหนีไม่พ้น Coconut Smoothie ครับ หอม หวาน ชื่นใจ ตบท้ายด้วยของหวานอย่าง Fruit Salad Custard คัสตาร์ดที่มาพร้อมผลไม้แน่นๆ
สำหรับอาหารเย็น ขอเริ่มกันที่เครื่องดื่มแบบใสๆ ไม่เน้น Alcohol อย่าง Virgin Mojito รสชาติเปรี้ยวซ่าด้วยมะนาวและโซดา หอมกลิ่นมิ้นต์ โรยหน้าด้วย Bubble สีฟ้า น่ารักๆ แก้วถัดมาเป็น Blue Sea ให้เข้ากับธีมของโรงแรมซะหน่อย แก้วนี้สีสวย สดใส หวานอมเปรี้ยวนิดๆ ด้วยส่วนผสมอย่างสับปะรด ลิ้นจี่ และมะนาว
ออเดิร์ฟมื้อนี้เป็นข้าวเกรียบกุ้งน้ำพริกเผา และขนมปังทาเนยครับ จุดเด่นของอาหารที่นี่คือ เบเกอรี่ทุกอย่าง เชฟจะทำเองทั้งหมด รับรองว่าสด ใหม่แน่นอน ส่วนอาหารจานหลัก ผมได้ลองทาน Smoked Salmon แซนวิชแซลมอนพร้อมด้วยขนมปังธัญพืช เสิร์ฟพร้อมเฟรนส์ฟรายซุปเปอร์อวบ และมะเขือเทศสด รสชาติกลมกล่อม ไม่เลี่ยน
ตามมาด้วย Grilled Pork Chop ที่เสิร์ฟพร้อมเฟรนซ์ฟราย ผักย่าง และมาซาล่าซอส เนื้อหมูนุ่มมาก หั่นมาแต่ละคำนี่ฉ่ำสุดๆ ถัดมาเป็น Pan-fried Wild Ocean Tuna ปลาทูน่าน้ำลึกย่างในกะทะ เสิร์ฟพร้อมกับกระเทียม เห็ด และเลมอนซอส เนื้อปลาชิ้นใหญ่ นุ่มมากๆ
อีกจานที่เด็ดไม่แพ้กัน นั่นก็คือ Croque-Monsieur แซนวิชชีสและแฮมย่าง อร่อยครับ ต่อด้วย Wild Mushroom Risotto ข้าวอิตาเลียนกับเห็ดป่า ใส่น้ำมันเห็ดทรัฟเฟิล หอมมากๆ เลยครับ
หากใครชอบทานเนื้อ ขอแนะนำ Grilled Rib Eye of Angus Beef เนื้อแองกัส ริบอายย่าง ที่สามารเลือกระดับความสุกได้ตามต้องการ
ของหวานมื้อนี้เป็น Home Made Brownie ราดด้วยซอสราสเบอร์รี่ สีสันสดใส น่ารักๆ รสชาติดี ไม่หวานจนเกินไป
กล่าวถึงโรงแรมกันมาครบแล้ว ทีนี้ก็ถึงตาพระรองอย่างสวนน้ำวานา นาวา ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น Asia’s First Water Jungle กันบ้าง ลูกค้าโรงแรมหลังจาก Activate RFID เรียบร้อยแล้ว สามารถเข้าสวนน้ำได้ฟรีตลอดทั้งวันเลยครับ จะเข้า-ออกกี่รอบก็ได้ แถมมีทางเข้าเฉพาะ ไม่ต้องไปเบียดกับคนอื่นๆ ให้เหนื่อย อีกทั้งยังได้ผ้าขนหนูและ Locker แบบฟรีๆ อีกด้วย (หากเป็นลูกค้าทั่วไปจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) แต่เค้าห้ามไม่ให้นำอาหารและเครื่องดื่มจากข้างนอกเข้าไปทานในสวนน้ำ หากจะซื้ออาหาร/เครื่องดื่มในสวนน้ำ ต้องเติมเงินเข้าใน RFID ก่อน ถึงจะใช้ได้
มาที่เครื่องเล่นในสวนน้ำวานา นาวา แห่งนี้กันบ้าง พอเข้ามาด้านใน ก็จะเจอกับ Aqua Course ซึ่งผู้เล่นจะต้องสูงเกิน 122 ซม. ถัดเข้ามาอีกนิดจะเป็น Fisherman’s café ที่จำหน่ายขนม ไอศกรีม และเครื่องดื่ม
ต่อมาจะพบกับ Rain Fortress ที่จะมีผู้คนมากมายไปลุ้นกันว่าน้ำจะเทลงมาจากถังตอนไหน บริเวณนี้มีบันได เชือก สไลเดอร์ไว้ให้เล่นกันเพลินๆ ด้วยครับ
มาที่เครื่องเล่นสุดเสียวกัน นั่นก็คือ Abyss ที่มีลักษณะเหมือนปากแตร (ขอไม่สปอยนะครับ กลัวไม่เสียวตอนเล่น อิอิ) ด้านข้างก็หวาดเสียวไม่แพ้กัน กับ Boomerango (แนะนำว่าถ้าสูงเกิน 122 ซม. ห้ามพลาด) หลายๆเครื่องเล่นจะต้องชั่งน้ำหนักรวมก่อนเพื่อไม่ให้น้ำหนักเบา หรือหนักจนเกินไป และ 2 เครื่องเล่นนี้ควรมีผู้เล่นอย่างน้อย 3 คนขึ้นไป แต่ไม่ควรเกิน 6 คน ถ้าน้ำหนักรวมไม่พอ สามารถรอคนอื่นขึ้นมาสมทบแล้วสนุกไปด้วยกัน ^^
หากอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศมาลอยตัวชิวๆ ขอแนะนำให้มาลอง Coconut Beach Wave Pool ที่จำลองชายหาดมาได้อย่างลงตัว เหมือนเดินอยู่ริมหาดยังไงยังงั้น มีทั้งหาดทรายและเก้าอี้นั่งชายหาดด้วย และบริเวณตลอดข้างทางเดินจะมี Beach Hut ไว้ให้นั่งพักผ่อนจุดนี้ถ้าเป็นลูกค้าโรงแรมจะได้ฟรีด้วยนะครับ (ลูกค้าทั่วไปมีค่าใช้จ่าย) แค่ได้เข้ามาพักโรงแรมและได้สิทธิประโยชน์แบบนี้ก็คุ้มแล้ว
อีกหนึ่งโซนที่อยากให้ทุกคนได้มาลองเล่น นั่นก็คือ โซนที่มีทั้ง Rattler, Inner Tube, Super Bowl, และ Master Blaster ที่ผู้เล่นจะต้องแบกห่วงยางขึ้นไปเอง ส่วนจะเล่นเครื่องเล่นไหน ก็สามารถเลือกได้ตามความสูงและความหวาดเสียวกันเลย
ที่ข้างๆ มีสไลเดอร์ Free Fall (สีม่วง) ที่เหมือนดิ่งลงมาจากข้างบน และ Aqua Loop ที่เหมือนเราเข้าไปอยู่ในแคปซูลแล้ววนลงมาด้านล่างครับ ทั้ง 2 เครื่องเล่นนี้ต้องใช้ความกล้าพอสมควร ผมงี้แค่ขึ้นไปก็ขาอ่อนแรงแล้ว ฮ่าๆๆๆ
อีกหนึ่งโซนที่เป็นที่นิยม นั่นก็คือ Surf Zone ที่ให้เราได้ลองเล่นเซิร์ฟ ซึ่งมีคนสอนและคอยดูแลตลอด
หลังจากเล่น (เกือบ) ครบทุกเครื่องเล่นแล้วก็ถึงเวลากลับ แต่หากใครยังอยากสนุกที่สวนน้ำต่อ ขอแนะนำเช็คเอ้าท์ให้เรียบร้อยแล้วมาเล่นต่อ โดยทางโรงแรมจะให้สายรัดข้อมือแบบกระดาษมา ให้เอามาเปลี่ยนเป็น RFID ได้ที่ทางเข้า ทีนี้ก็สนุกต่อได้ทั้งวัน ฟินและมันส์กับเครื่องเล่นได้ไม่จำกัดรอบจนกว่าสวนน้ำจะปิดกันเลย
“โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ วานา นาวา หัวหิน – Holiday Inn Vana Nava Hua Hin” นับว่าเป็นอีกหนึ่งโรงแรมที่ตอบโจทย์ได้อย่างครบถ้วน ลงตัว เหมาะสำหรับคนทุกเพศ ทุกวัย เพราะมีกิจกรรมต่างๆ ให้ทำมากมายจริงๆ ถือว่าเป็นการใช้วันหยุดสุดสัปดาห์ได้อย่างคุ้มค่า หากเพื่อนๆ มีเวลา ลองหาโอกาสมาพักผ่อนที่นี่ดูนะครับ รับรองว่าจะต้องติดใจเหมือนผม ที่อยากกลับมาพักที่นี่อีกแน่นอน ^^
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^