ผมเชื่อว่าเพื่อนๆ คงจะรู้จักหรือเคยได้ยินชื่อประเทศฮ่องกงกันอย่างแน่นอน ฮ่องกง แบ่งออกเป็น 4 เขตใหญ่ คือ เขตเกาลูน เขตเกาะฮ่องกง เขตนิวแทริทอรี่ส์ และหมู่เกาะรอบนอก เขตเกาลูนและเขตนิวแทริทอรี่ส์ตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่ทางตอนเหนือของอ่าววิคตอเรีย เกาะฮ่องกงตั้งอยู่ทางด้านใต้ตรงข้ามกับเกาลูน ส่วนหมู่เกาะรอบนอกนั้นหมายถึงบรรดาเกาะต่างๆ กว่า 200 เกาะรอบๆ บริเวณเกาะฮ่องกง ทุกๆ ครั้งที่มาเที่ยว ผมมักจะพักแถวเกาะเกาลูนหรือฮ่องกงเป็นหลัก เพราะใกล้แหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหาร รวมถึงที่เที่ยวต่างๆ แต่รอบนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศมาพักที่เกาะลันเตาบ้าง ซึ่งต้องไม่ธรรมดาแน่นอนเพราะที่พักคราวนี้เป็นธีมนักเดินทาง นักสำรวจ ที่อยู่ในสวนสนุกใหญ่ชื่อดังอีกด้วย พร้อมออกไปสำรวจและท่องโลกแห่งจินตนาการด้วยกันแล้วหรือยังกับที่พักแห่งนี้…“Explorers Lodge Hong Kong Disneyland”
จากสนามบินดอนเมือง นั่งเครื่องเพียง 3 ชม. ก็มาถึงสนามบิน Hong Kong International Airport หรือที่เรียกกันว่าสนามบิน Chek Lap Kok เมื่อลงเครื่องปุ๊บ นั่งรถไฟภายในสนามบินมาที่ Immigration พอมาถึง Arrival Hall เดินตามป้าย Taxi เพื่อหารถไปยังที่พัก ครั้งนี้ผมพักที่ Disneyland Resort ซึ่งอยู่บนเกาะลันเตา เลยเรียก Taxi สีเขียว (NT Taxi) ซึ่งราคาถูกกว่าสีอื่น นั่งจากสนามบินใช้เวลาประมาณ 15 นาที ค่า Taxi ประมาณ HK$ 130 (ค่า Taxi เริ่มต้นที่ HK$ 20.50) ผมลองดู Uber ราคาไม่ต่างกันเท่าไหร่
โรงแรมใน Disneyland Hong Kong มี 3 แห่ง ได้แก่ Hong Kong Disneyland Hotel , Disney’s Hollywood Hotel และ Disney Explorers Lodge ซึ่งเป็นโรงแรมที่เปิดใหม่ล่าสุดของ Hong Kong Disneyland เปิดเมื่อเดือนเมษายน 2017 ที่ผ่านมา เรียกว่ายังใหม่เลยทีเดียว สามารถเช็คราคา , จองห้องพัก -> Disneyland Resort หรือซื้อบัตรเข้าสวนสนุกล่วงหน้าได้ที่ -> Disneyland Hong Kong
คราวนี้ผมมาพักที่โรงแรม Explorers Lodge Hong Kong Disneyland ซึ่งตกแต่งในธีมนักสำรวจ เมื่อก้าวเข้ามารู้สึกราวกับว่าได้เข้าไปผจญภัยในดินแดนต่างๆ พร้อมกับมิกกี้และมินนี่ แม้ว่าที่นี่จะเป็นโรงแรมน้องใหม่ แต่ความใหญ่โตอลังการไม่แพ้โรงแรมรุ่นพี่ทั้ง 2 แห่งเลยครับ เข้ามาที่บริเวณ Lobby ก็ต้องตกตะลึงกับความอลังการงานสร้าง ที่เสมือนเราได้หลุดเข้ามาอยู่ในท้องเรือขนาดใหญ่ซึ่งพร้อมจะพาเราไปผจญภัยไปยังดินแดนแห่งนี้ บริเวณ Lobby มีที่นั่งมากมาย ทั้งโต๊ะ โคมไฟ และอุปกรณ์ต่างๆ ตกแต่งให้ความรู้สึกธีมของนักสำรวจโดยแท้ รวมทั้งแผนที่โลกขนาดใหญ่ด้านหลังเคาน์เตอร์ Check in ที่เหมือนเราเป็นนักสำรวจจริงๆ
ตอน Check In พนักงานให้ข้อมูลต่างๆ ทั้งของโรงแรมและของสวนสนุก Disneyland อย่างละเอียดยิบ รวมทั้งรอบรถ Shuttle Bus รับส่งไปยัง Disneyland และโรงแรมในโซนต่างๆ อีกทั้งยังให้บัตร Priority Pass เพื่อนำไปใช้ในการเข้าคิวเครื่องเล่นใน Disneyland ได้อีกด้วย โดยเราสามารถเข้าช่องพิเศษได้โดยไม่ต้องต่อแถวยาวๆ สามารถใช้ได้แค่เครื่องเล่นทั้ง 8 ตามที่ระบุไว้บนหน้าบัตรเท่านั้นนะครับ แค่ดูชื่อเครื่องเล่นแต่ละประเภทก็ถือว่าคุ้มแล้ว เพราะแต่ละอันเด็ดๆ ทั้งนั้น ยังไม่หมดเท่านี้ พนักงานยังให้บัตรเข้าชมโชว์ Lion King โดยให้เราระบุเวลาที่จะเข้าชม แล้วนำไปยื่นที่จุดแสดง เพื่อเข้าช่องพิเศษก่อนใครได้เลย อ่อ…เวลาเข้าไปที่ Disneyland อย่าลืมนำ Key Card ของทางโรงแรมไปด้วยนะครับ เพราะสามารถเข้าช่อง Hotel Guest ตอนตรวจกระเป๋าและตอนตรวจตั๋วได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาต่อคิว สิทธิพิเศษมากมายจริงๆ ส่วนด้านข้างของเคาน์เตอร์ Check In มี Kid Zone ให้เด็กๆ นั่งดูการ์ตูนรอด้วยครับ
ฝั่งตรงข้ามเคาน์เตอร์ Check In มีโซนจัดแสดงเครื่องใช้ต่างๆ ของ Goofy , Minnie , Mickey และ Donald จัดแสดงไว้ให้ชมกันด้วย
ด้วยตัวโรงแรมเป็นแนวยาว ขนานกับท้องทะเล เราสามารถเดินเล่นเรียบทะเลเพลินๆ ได้ ส่วนของห้องพัก แบ่งเป็น 4 โซน คือ Africa , South America , Asia และ Oceania ซึ่งแต่ละโซนจะตกแต่งแตกต่างกัน
และแต่ละโซนจะมีสวนของตัวเอง อย่างโซน Africa มีสวนชื่อ Rafiki Garden
โซน South America มีสวนชื่อ Kevin Garden
โซน Asia มีสวนชื่อ Hathi Jr. Garden สัญลักษณ์เป็นรูปช้างน่ารัก ^^
และโซน Oceania มีสวนชื่อ Little Squirt Garden สัญลักษณ์เป็นเต่าทะเล
ห้องพักที่นี่ มีให้เลือกหลายแบบ ทั้งแบบ Standard , Deluxe , Premium และ Sea View ซึ่งวิวก็จะแตกต่างกันตามตำแหน่งที่ตั้งของแต่ละห้อง ห้องที่ผมพักอยู่ชั้น 5 โซน Oceania ซึ่งเป็นห้องแบบ Sea View (Lobby ของโรงแรมอยู่ชั้น 3) ห้องพักมีขนาดใหญ่ ห้องน้ำแบ่งเป็นสัดส่วน เตียงนอนขนาด Queen Size 2 เตียง นุ่ม สบาย นอนได้สูงสุดถึง 4 คนเลยครับ ภายในห้องก็ตกแต่งเข้าธีมมากๆ
ที่เก๋สุดๆ ก็คือ Amenity Kit ในห้องทั้ง Key Card , รองเท้าแตะลาย Disney น่ารักๆ มีทั้งของผู้ใหญ่และของเด็ก , สมุดโน้ตพร้อมดินสอ , ชาและกาแฟ , ของใช้ในห้องน้ำทั้งแชมพู สบู่ ฯลฯ ซึ่งเป็นแบรนด์ H2O+ รวมทั้งกล่องเหล็กใส่แปรงสีฟัน ทั้งหมดนี้สามารถเอากลับบ้านไปใช้ได้หมดเลย (ทางโรงแรมจะเข้ามาเติมของให้ทุกวันด้วยนะครับ ^^) ส่วนบริเวณ Mini Bar มีกาต้มน้ำ กระติกน้ำแข็งที่สามารถเอาไปใส่น้ำแข็งที่ห้อง Ice Machine ด้านนอกได้ พร้อมน้ำเปล่าวันละ 4 ขวด ทั้งหมดนี้อยู่ในห้องพัก
มาดูอาหารเช้าของโรงแรมกันบ้างว่าจะน่ารักมุ้งมิ้งแค่ไหน ผมรับประทานที่ห้องอาหาร Dragon Wind ชั้น 2 ของโรงแรม
ภายในห้องอาหารค่อนข้างใหญ่ มีโต๊ะมากมาย ถึงคนจะเยอะ แต่รอคิวไม่นานเพราะการบริหารจัดคิวที่นี่ทำดีมากๆ ครับ เป็นระเบียบ รวดเร็ว อาหารก็มีมาเติมตลอดไม่ขาดเลย อาหารเช้าที่นี่เปิดให้บริการเวลา 7:30-11:00 น. ราคา HK$ 298 สำหรับผู้ใหญ่ และ HK$ 188 สำหรับเด็กอายุ 3-11 ปี
อาหารเช้าเป็นแบบ International Buffet มีให้เลือกหลากหลายทั้งติ่มซำ ขนมจีบลูกโตๆ ซาลาเปาหลากไส้ ก๋วยเตี๋ยวหลอด ปอเปี๊ยะ เสี่ยวหลงเปา ฯลฯ ถัดมาเป็นโซนที่เราสามารถสั่งได้ทั้งก๋วยเตี๋ยว เกี๊ยว ผมเลยลองสั่งเกี๊ยวน้ำพร้อมลูกชิ้นปลามาทานครับ พนักงานปรุงชามต่อชาม หากใครอยากทานก๋วยเตี๋ยวสามารถเลือกเส้นได้ตามชอบ ลูกชิ้นก็มีให้เลือกทั้งลูกชิ้นปลา และลูกชิ้นเนื้อ มุมสลัดก็มีผักให้เลือกมากมาย สดๆ ทั้งนั้น ที่ผมชอบสุดเห็นจะเป็นแซลมอนรมควันนี่แหละ ส่วน Main Course มีให้เลือกทั้งอาหารจีนอย่างหมี่ผัด ข้าวผัด ผัดผักที่มากันเป็นต้นเลย แซลมอนย่างราดซอสเทริยากิ แฮมราดซอสเกรวี่ก็อร่อยสุดๆ
Waffle และ Pancake ก็น่ารักเป็นรูปมิกกี้ ถูกใจน้องๆหนูๆ เป็นที่สุด จาน ชาม สำหรับเด็กของที่นี่ก็เข้าธีม Explorers Lodge นะครับ
ที่มุมด้านในมีตัวการ์ตูน Mickey และ Minnie มายืนแอ๊คท่าให้น้องๆมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกด้วยนะ และนอกจากอาหารเช้าแล้ว ที่ห้องอาหาร Dragon Wind ยังให้บริการอาหารกลางวันและอาหารเย็นด้วยครับ โดยอาหารกลางวันจะเป็นแบบ Asian Cuisine Buffet ให้บริการ เวลา 12:30-15:00 น. ราคา HK$ 368 (ผู้ใหญ่) และ HK$ 248 (เด็ก) ส่วนอาหารเย็นจะเป็นแบบ Chinese Cuisine ให้บริการเวลา 17:30-22:30 น. ส่วนผมได้ลองทานแต่อาหารเช้าที่นี่ เพราะมื้ออื่นๆ จะเข้าไปทานใน Dieneyland กันครับ
ที่นี่เค้ามีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ด้วยนะ Raindrop Pool เป็นสระว่ายน้ำที่กว้างมาก สระว่ายน้ำหนึ่งเดียวของ Explorers Lodge แห่งนี้ มี Life Guard คอยดูแลความปลอดภัยอยู่ตลอด ใครที่อยากจะมาเล่นน้ำที่สระนี้จะต้องเตรียมชุดและเปลี่ยนมาให้เรียบร้อย ส่วนผ้าเช็ดตัวไม่ต้องนำมานะ เพราะที่นี่มีเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เห็นแล้วอยากกระโดด ตูม!!! ลงสระกันเลย ^^
จบในส่วนของที่พัก Explorers Lodge Hong Kong Disneyland กันแล้ว เดี๋ยวเราจะไปสนุกกันต่อที่สวนสนุก Hong Kong Disneyland กันครับ การเดินทางจากโรงแรมไปยัง Disneyland สะดวกสบาย สามารถขึ้น Resort Shuttle Bus ซึ่งจะให้บริการตลอด 24 ชม. (ระหว่างเวลา 6:00-9:30 น. และ 22:00-01:00 น. รถจะออกทุกๆ 15-20 นาที / ระหว่างเวลา 9:30-22:00 น. รถจะออกทุกๆ 10-15 นาที / ระหว่างเวลา 1:00-6:00 น. จะต้องแจ้งทางโรงแรมหากต้องการใช้บริการ) รถ Shuttle Bus นี้จะวิ่งเป็น Loop จาก Disney Resort Public Transportation Interchange (สถานีที่อยู่ด้านหน้า Disneyland) ไปยัง The Hong Kong Disneyland Hotel ต่อไปยัง Disney Explorers Lodge และ Disney’s Hollywood Hotel ตามลำดับ สามารถโดยสารได้ทั้งขาไปและขากลับครับ สำหรับท่านที่ไม่ได้พักในบริเวณ Disney Resort สามารถเดินทางมาเที่ยว Disneyland ได้ทาง MTR หากมาจากแถว Tsim Sha Tsui ให้นั่งมาลงที่สถานี Lai King แล้วเปลี่ยนเป็นสายสีส้มมาลงที่สถานี Sunny Bay แล้วต่อรถ MTR สายสีชมพูมาที่ Disneyland Resort ได้เลยครับ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที หากมาจากสนามบิน นั่งรถบัสสาย S1 มาลงที่ Tung Chung แล้วต่อ MRT มาได้เช่นกัน
หากมาช่วงสายๆ แถวจะยาวสักนิด แต่โชคดีที่ผมมีบัตรห้องพักที่โรงแรม Explorers Lodge Hong Kong Disneyland เลยสามารถเข้าเลนพิเศษที่เขียนว่า Hotel Guest ได้เลย ไม่ต้องรอคิวยาวๆ ที่นี่มีจุดตรวจ 2 จุดครับ จุดแรกจะเป็นการตราวจกระเป๋า จุดที่ 2 เป็นจุดตรวจบัตรเข้าด้านใน ราคาบัตรเข้า Disneyland สำหรับผู้ใหญ่ (อายุ 12-64 ปี) ราคา HK$ 589 สำหรับเด็ก (อายุ 3-11 ปี) ราคา HK$419 และสำหรับผู้สูงอายุ (อายุ 65 ปีขี้นไป) ราคา HK$ 100 แต่หากต้องการซื้อตั๋วล่วงหน้าและราคาถูกกว่าที่หน้าเคาน์เตอร์ สามารถซื้อได้ที่ -> Disneyland Hong Kong
เตรียมตั๋วให้พร้อมแล้วนำไป Scan ที่หน้าทางเข้าได้เลย ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงปลายเดือนตุลาคม ทาง Disney ทำเป็นธีม Halloween พอเดินเข้ามาด้านใน ก็ได้กลิ่นไอของ Halloween เลยครับ ที่นี่จะแบ่งเป็น 8 โซน ได้แก่ Main Street USA , Adventure Land , Grizzy Gulch , Mystic Point , Toy Story Land , Fantasy Land , Tomorrow Land และ The Pavilion ครับ
เพื่อความสะดวก ขอแนะนำให้โหลด Mobile Official Application โดย Search หา App ชื่อว่า “Hong Kong Disneyland” สะดวกมากๆ แถมบอกเวลาในการรอคิวแต่ละเครื่องเล่นให้ด้วย ช่วยในการวางแผนได้ดีทีเดียว
โซนแรกที่เข้ามาแล้วเจอเลยคือโซน Main Street USA สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าน่ารักๆ ตุ๊กตาก็มุ้งมิ้งน่าสะสม ทั้งมิกกี้ มินนี่ เดซี่ ดัฟฟี่ เชลลี่เมย์ Tsum Tsum ฯลฯ สินค้าต่างๆ จาก Star Wars ก็เท่ห์ไม่เบา
โซน Adventure Land มาล่องเรือ Jungle River Cruise ผจญป่า กับข้ามฟากไปที่บ้านทาร์ซานด้วยแพ Rafts to Tarzan’s Tree House กันครับ
นอกจากนี้ยังมีการแสดง Festival of The Lion King ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของซิมบ้า เจ้าป่าน้อย นาร่า และตัวร้ายของเรื่องอย่าง Scar
โซนต่อไป คือ Grizzy Gulch ที่จำลองเรื่องราวในอดีต สมัยยุคเหมืองทองแบบตะวันตก เครื่องเล่นที่เป็นไฮไลท์และเป็นเครื่องเล่นที่ผมชอบมากที่สุดก็คือ Big Grizzly Mountain Runaway Mine Cars เป็นรถไฟที่จะพาเราตะลุยเข้าไปในเหมืองแร่ ตื่นเต้น และหวาดเสียวครับ ขอไม่สปอยล์ อยากให้ไปลองเอง สนุกแค่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าผมยอมต่อแถวเล่นซ้ำอีกหลายรอบเลย ^^
อีกโซนที่น่าประทับใจ นั่นก็คือ Mystic Point มีจุดเด่นคือ Mystic Manor ลักษณะเครื่องเล่นจะเป็นการนั่งรถลากมิสทิค แมคนิโต อิเลคทริค แคริเอจ เข้าไปสำรวจห้องต่างๆ ในคฤหาสถ์มิสทิคและพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวของ Lord Henry นักเดินทางและนักสะสมของหายากจากทั่วทุกมุกโลก โดยมีตัวการ์ตูนลิงชื่อ Albert ที่เป็นต้นเรื่องของความสนุกสนาน แสง สี เสียงภายในห้องต่างๆ สวยงาม อลังการทีเดียว
มาต่อกันที่โซน Toy Story Land กันครับ เริ่มด้วยโดดร่มกันที่เครื่องเล่น Toy Soldier Parachute Drop นั่งเพลินๆ ดูวิวสวยๆ อากาศดีๆ ฟินเลย
ต่อมาเป็นเครื่องเล่นที่มีชื่อว่า RC Racer ซึ่งเป็นรถบังคับคันโปรดของ Andy จากเรื่อง Toy Story ลักษณะคล้ายไวกิ้ง ความสูงประมาณตึก 5-6 ชั้น หากใครชอบความหวาดเสียว ขอแนะนำให้นั่งแถวหลังสุด แล้วจะรู้สึกว่าตัวหวิวๆแบบไม่รู้ตัว
หากมองเห็นปราสาทเจ้าหญิงนิทรา นั่นแปลว่าเรากำลังจะเข้าไปในโซน Fantasy Land ซึ่งเราจะได้พบกับ Cinderella Carousel ม้าหมุนในตำนานซึ่งเล่นได้ทุกเพศทุกวัย บรรยากาศเหมือนหลุดเข้าไปในหนังฝรั่งยังไงยังงั้นเลย ถัดมาเป็นเครื่องเล่นช้างดัมโบ้ เด็กๆ ชอบกันแน่นอนงานนี้ ข้อระวังที่นี่เค้าจะไม่อนุญาตให้ให้ใช้ไม้เซลฟี่ขณะเล่นนะครับ
มาต่อกันที่โซน Tomorrow Land ซึ่งมีเครื่องเล่นสุดฮิตอย่าง Hyperspace Mountain เครื่องเล่นนี้เร็วมาก เหวี่ยงด้วย ต้องตั้งสติให้ดีก่อนเล่น อารมณ์จะเหมือนนั่งรถไฟเหาะที่หลุดเข้าไปในโลกของ Star Wars เด็กที่จะเล่นได้ต้องสูงเกิน 120 ซม.
อีกหนึ่งเครื่องเล่นที่ผมตั้งใจมาในครั้งนี้ คือ Iron Man Experience เป็นห้องภาพยนตร์ 4 มิติ เราต้องใส่แว่นเข้าไปดู ได้อารมณ์เหมือนนั่งในยานที่กำลังแล่นไปในเมือง เหนือตึกต่างๆ สมจริงมากครับ อีกทั้งยังมี Iron Man Tech Showcase ที่ให้เราสามารถถ่ายรูปคู่กับฮีโร่ต่างๆได้ ส่วนบริเวณ Expo Shop ก็มีของที่ระลึกของตระกูล Marvel ให้เลือกซื้อสะสมมากมาย
ในเวลา 19:30 น. มีขบวนพาเหรดธีม Halloween ชื่อ “Villians Night Out” ควรมาถึงก่อนเวลาสักนิด เพราะผู้คนต่างพากันมาจับจองที่นั่งริมทางที่ขบวนพาเหรดผ่านกันแน่นขนัด พาเหรดนี้จะได้เห็นตัวการ์ตูนต่างๆ พากันออกมาเต้นด้วยใบหน้าที่น่าสะพรึงกลัว
ปิดท้ายตอน 20:30 น. คือการแสดงพุ Disney in the Stars Fireworks ที่บริเวณปราสาท Sleeping Beauty Castle อลังการงานสร้าง คุ้มค่า สมกับการรอคอย
ไหนๆก็มาในธีม Halloween ทั้งที ขอเดินดูบรรยากาศการตกแต่งสวนสนุกในธีมที่หาดูได้ยากกันหน่อย ทั้งฟักทอง ทั้งปราสาท รวมถึงไฟตามทางเดิน ดูแปลกตาไปจากเดิม ทำให้ลืมไปได้พักหนึ่งเลยว่านี่คือสวนสนุก Hong Kong Disneyland
ฮ่องกง ถ้าผู้ใหญ่อย่างเราๆมาเที่ยวคงหาร้านอร่อยหรือที่เที่ยวสวยๆถ่ายรูปชิคๆก็เพียงพอ แต่ถ้าวัยเด็กเค้าคงจะนึกถึงที่สวนสนุกแห่งนี้เป็นลำดับแรก ใครจะรู้ว่าทั้ง 2 กลุ่มเป้าหมายเดินทางสามารถมาบรรจบกันได้
ที่ที่มีทั้งสวนสนุกให้วัยเด็ก
ที่ที่มีที่พักสวยๆในธีมนักสำรวจให้วัยผู้ใหญ่มาพักผ่อน
ที่ที่มีแต่ความสนุกและรอยยิ้มของครอบครัว
เพราะจุดหมายของทุกคนอยู่ที่เดียวกัน…“Explorers Lodge Hong Kong Disneyland”
ใครมีคำถามสงสัยตรงไหน สามารถสอบถามได้ทาง blog รีวิวนี้
หรือในเพจของผมก็ได้ http://www.facebook.com/Nejuphoto
ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านกระทู้รีวิวนี้จนจบ… ^^